xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่ม‘ไทยซัมมิท’ทุ่ม900ล้านไล่ซื้อบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - กลุ่มไทยซัมมิทของตระกูล “จึงรุ่งเรืองกิจ” สยายปีกรุกธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยนต์ ทุ่มเม็ดเงิน 900 ล้านบาท ไล่กว้านซื้อกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทย หลังประสบความสำเร็จส่งบริษัทลูก “ทีเอสพีเคเค” เข้าไปเทกโอเวอร์บริษัทผลิตแชสซีในเครือนิสสัน “เอสเอเอ็ม” มูลค่ากว่า 350 ล้านบาท ทำให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่แชสซีในไทย มีแชร์มากถึง 70% เผยไม่เกิน 2-3 เดือน การเจรจาซื้อกิจการรายใหม่น่าจะจบอีก 2 ราย มูลค่ารวม 540 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้มั่นใจรายได้ทั้งกลุ่มทะลุ 8.2 พันล้านบาท

นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกลุ่มไทยซัมมิท และประธานกรรมการบริษัท ไทยซัมมิท พีเคเค จำกัด (TSPKK) กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยภายหลังเซ็นสัญญาซื้อหุ้นบริษัท สยาม ออโตแมนูแฟคเจอริง จำกัด (SAM) ว่า การตกลงทำสัญญาในครั้งนี้มีความสำคัญมาก แต่ไม่ใช่เพราะเข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมดของเอสเอเอ็มมูลค่ารวมกว่า 350 ล้านมา แต่เป็นเพราะการขยายลงทุนครั้งนี้ จะทำให้ทีเอสพีเคเคกลายเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนปิกอัพ 1 ตันที่ใหญ่ที่สุดในไทย
“ปัจจุบันทีเอสพีเคเคเป็นผู้ผลิตแชสซีและเพลารถปิกอัพ ส่งให้กับผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของไทย ไม่ว่าจะเป็น อีซูซุ มิตซูบิชิ และออโต้อัลลายแอนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างฟอร์ดและมาสด้า การเข้าไปซื้อเอสเอเอ็มที่เป็นบริษัทในเครือของนิสสันครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถขยายฐานให้กับนิสสันเพิ่มอีกราย และส่งผลให้มีแชร์ตลาดแชสซีเป็น 70% หรือมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในไทย”
นายโคซาคุ โฮโซคาวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เปิดเผยว่า เอสเอเอ็มเป็นบริษัทลูกของนิสสัน และเป็นผู้ผลิตแชสซีปิกอัพเพียงรายเดียว สำหรับปิกอัพ 1 ตันของนิสสัน การตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้กับทีเอสเอพีเคเค เนื่องจากมั่นใจในศัยภาพและมาตรฐานของทีเอสเอพีเคเค ซึ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และมีหุ้นส่วนเป็นบริษัท เพรส โกเงียว ที่นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ไว้วางใจให้ผลิตแชสซีป้อนให้มาโดยตลอด
“การขายกิจการครั้งนี้ไม่ใช่เป็นไปตามนโยบายปรับโครงสร้างธุรกิจของนิสสัน มอเตอร์ ที่จะขายธุรกิจที่ไม่ประสบความสำเร็จออกไป แต่การตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดของเอสเอเอ็ม เป็นเพราะนิสสันมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจหลักของเรา ในเรื่องการประกอบรถยนต์และจำหน่ายรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพมากกว่า”
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกลุ่มไทยซัมมิท เปิดเผยว่า การซื้อหุ้นทั้งหมดของเอสเอเอ็ม จะทำให้ทีเอสพีเคเคสามารถตอบสนองอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังเติบโตได้รวดเร็วขึ้น และที่สำคัญยังจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง จากการผสานจุดแข็งของทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน ทำให้กลุ่มไทยซัมมิทเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้สูงขึ้น ซึ่งขณะนี้ทางกลุ่มไทยซัมมิทกำลังเจรจาซื้อกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มอีก 2 ราย
“ภายใน 2-3 เดือนนี้ คาดว่าจะสามารถเจรจาซื้อธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จบอีก 2 ราย มีมูลค่ารวมประมาณ 540 ล้านบาท โดยการเจรจาแรกน่าจะจบและเซ็นสัญญาได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ ส่วนอีกรายน่าจะเจรจาเสร็จในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่การเข้าไปซื้อกิจการทั้งสองรายนี้ไทยซัมมิทจะเป็นฝ่ายซื้อเอง ดังนั้นเมื่อรวมการเข้าไปซื้อหุ้นเอสเอเอ็มของทีเอสพีเคเค กลุ่มไทยซัมมิทจะมีการซื้อกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในช่วงระยเวลานี้ประมาณ 900 ล้านบาท”
สำหรับผลประกอบการของทีเอสพีเคเค คาดว่าปีนี้จะมีรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเข้าซื้อกิจการทั้งหมดของเอสเอเอ็ม แม้ในช่วงระยะ 1-2 ปีแรก จะยังไม่เห็นผลมากนัก แต่เชื่อว่าจะทำให้รายได้ของทีเอสพีเคเค เพิ่มขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท และกำลังการผลิตแชสซีของทีเอสพีเคเคเพิ่มขึ้นเป็น 5.8 แสนชุดต่อปี
นายธนาธรกล่าวว่า ปัจจุบันทีเอสพีเคเคส่งแชสซีให้กับมิตซูบิชิ 1.3 แสนชุดต่อปี ออโตอัลลายแอนซ์(ฟอร์ด-มาสด้า) 1.2 แสนชุดต่อปี อีซูซุ 8.4 หมื่นชุดต่อปี และล่าสุดนิสสันอีก 5 หมื่นชุดต่อปี แต่เมื่อนิสสันได้เพิ่มกำลังการผลิตปิกอัพโมเดลใหม่เป็น 1.2 แสนคันต่อปี จะทำให้ทีเอสพีเคเคมีกำลังผลิตเป็น 5.8 แสนชุดต่อปี และเพื่อเตรียมรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นของนิสสัน ทีเอสพีเคเคกำลังพิจารณาขยายการลงทุนในเอสเอเอ็มเร็วๆ นี้ด้วย
“หากการซื้อกิจการใน 2 บริษัทที่เหลือ รวมถึงเอสเอเอ็มที่เซ็นสัญญาซื้อขายไปแล้ว จะทำให้กลุ่มไทยซัมมิทมีผลประกอบการที่ก้าวกระโดดเป็นอย่างมากในอนาคต ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8.2 พันล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-30% เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเติบโตสูง ทั้งตลาดในประเทศและการส่งออกรถยนต์จากไทยของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ”นาย
ธนาธรกล่าวตบท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น