xs
xsm
sm
md
lg

ฟ้ามีตา! IT TAKES ONE TO KNOW ONE!

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

พลันที่ศาลแพ่งแก้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้สิทธิคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ตามรัฐธรรมนูญวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินได้ ในฐานะที่เป็น "บุคคลสาธารณะ" แต่ห้ามพูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งศาลยโสธรยกคำร้องขอออกหมายจับคุณสนธิและคุณสโรชา ระบุไม่บังควรแต่มิได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ชี้ถ้อยคำในรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" มุ่งวิพากษ์วิจารณ์ที่ตัวนายกรัฐมนตรี

รายละเอียดจากทั้งสองศาลที่ "แสงแดด" อยากสาธยายคำสั่งศาลเพื่อความกระจ่างชัดเจน โดยเริ่มที่ศาลแพ่งมีคำสั่งแก้ไขการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลยในความผิดละเมิดจากการหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาท

แต่ในที่สุด ศาลแพ่งใต้มีคำสั่ง เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2548 ให้แก้ไขคำสั่งยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่เคยห้ามจำเลยกับพวกกล่าวข้อความเผยแพร่ภาพและเสียงในวีซีดีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร แต่มิให้กล่าวพาดพิงถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อนมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็น "บุคคลสาธารณะ" จึงอนุญาตให้กล่าวถึงได้ ถือว่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้รับประโยชน์อีกก้าวสำคัญก้าวหนึ่ง

ส่วนศาลยโสธรพิจารณาคำร้องของพนักงานสอบสวน สภอ.เมืองยโสธร ที่ขออำนาจศาลออกหมายจับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ดำเนินรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ตามที่ พ.ต.ท.สำเนียง ลือเจียงคำ รอง ผกก. สภ.อ.เมืองยโสธร ได้เข้าแจ้งความกล่าวหาบุคคลทั้งสองในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

และแล้วศาลยโสธรก็ได้พิจารณาว่า ถ้อยคำที่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองนั้นเป็นการวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีโดยตรง แม้จะมีถ้อยคำบางคำที่กล่าวถึงและเปรียบเทียบพระมหากษัตริย์และรัชทายาท ซึ่งถือว่าไม่บังควร แต่ถ้อยคำไม่ถึงกับหมิ่นประมาทหรืออาฆาตมาดร้าย หลักฐานของพนักงานสอบสวนไม่เพียงพอที่จะทำให้เชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองน่าจะทำผิดอาญาร้ายแรง จึงมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว แต่ถึงอย่างไรถ้าพนักงานสอบสวนเห็นว่าคำร้องนั้นมีน้ำหนัก พนักงานสอบสวนก็สามารถขออุทธรณ์ได้

คำสั่งของศาลพร้อมเนื้อความข้างต้น "แสงแดด" ได้คัดลอกพร้อมเพิ่มเติมจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้ โดยหน้าหนึ่งมีการพาดหัวข่าวตัวเบ้อเร่อว่า "ศาลชี้ สนธิ ไม่หมิ่น" และ "ไม่อนุมัติหมายจับ-ยกคำร้อง ทักษิณ ขอปิดปาก"

เท่าที่ "แสงแดด" ระดมเก็บข้อมูลพร้อมเงี่ยหูฟังจากประชาชนทั่วไปเมื่อบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน และช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน ประชาชนส่วนใหญ่พร้อม "แฟน-แนวร่วม" คุณสนธิกับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ต่าง "ไชโย-เฮ!" กันลั่นที่เป็นการแสดงออกถึง "ความจริงใจ" และแน่นอน "ความซาบซึ้ง" ต่อ "ความเป็นธรรม"

อย่างน้อยที่สุดคนไทยส่วนใหญ่ยังมี "ความหวัง" ต่อ "ศาล" ที่ยังคงไว้ซึ่ง "ความสถิตยุติธรรม" เป็นเสาหลักให้สังคมไทย "ยึดมั่น-เกาะ" ได้อยู่ท่ามกลาง "ความอยุติธรรม" ต่างๆ ที่นับวันเริ่มขยายวงกว้างในสังคมไทย

ทั้งเรื่องการแทรกแซง ขยายวงแผ่อิทธิพลอำนาจ ใช้อำนาจรัฐฟุ่มเฟือย แสดงความข่มขู่ เหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปเป็น "อนาธิปไตย" เบียดเบียน รังแกผู้อื่น สารพัดรุกคืบธุรกิจผู้อื่น จนคนไทยปัจจุบันนับวันเอือมระอาที่สุดกับคำว่า "ธรรมาภิบาล" ที่พร่ำเพรื่อพูด แต่ไม่ได้นำไปถูกปฏิบัติจนต้องยอมรับว่า "ขาดความขลังศักดิ์สิทธิ์" ไปเรียบร้อยแล้ว

วิกฤตศรัทธาที่มีต่อรัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 "ฉบับประชาชน" ที่พยายามปฏิรูปการเมืองให้เป็น "ธรรมาภิบาล" มากที่สุด ตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส ด้วยการมีองค์กรอิสระถึง 8 องค์กร ให้มาทำหน้าที่ "ตรวจสอบ-โปร่งใส" ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้การบริหารราชการบ้านเมืองของรัฐบาลมีประสิทธิภาพประสิทธิผล แต่ขณะนี้กำลังเกิดขึ้นในวงกว้างขึ้นทุกวัน จะมีการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเพื่อ "การปฏิรูปการเมือง" รอบใหม่

ภายใต้วิกฤตศรัทธาที่คนไทยมีต่อ "ฝ่ายบริหาร" และ "ฝ่ายนิติบัญญัติ" ผนวกกับองค์กรอิสระต่างๆ ที่ "ไม่อิสระ" จริง แต่คนไทยยังหน้าชื่นตาบาน พร้อมมี "ความหวัง" และยึดมั่นได้กับ "ฝ่ายตุลาการ" หรือ "ศาลสถิตยุติธรรม"

ทั้งนี้ "แสงแดด" มั่นใจว่านับแต่นี้เป็นต้นไปสารพัด "ศาล" ไม่ว่าศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ตลอดจนศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง จะคงความ "สถิตยุติธรรม" และอนุรักษ์ "ความถูกต้อง" อย่างเข้มข้นมากกว่าเดิมเพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชน พร้อมทั้งปกปักรักษา "ศักดิ์ศรี-เกียรติภูมิ" ของคำว่า "ศาลยุติธรรม"

ต้องขอย้ำกราบขอบพระคุณ "ศาล" ทั้งสองที่คงความยุติธรรมให้แก่ชาวผู้จัดการ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ทำให้เราชาวคณะผู้จัดการและแฟนๆ ของรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" มีความสง่างาม เปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น แต่ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกที่ว่า "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย!" จะได้ถูกนำมาเผยแพร่ให้สังคมไทยได้รับรู้รับทราบต่อไป

สิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนในระบบการเมืองการปกครองเสรีประชาธิปไตยนั้นต้องมีอย่างเต็มเปี่ยม ดั่งเช่นหลากหลายประเทศที่เราไปลอกรัฐธรรมนูญจนเป็น "ยำใหญ่" ของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 ปัจจุบัน ที่ในต่างประเทศนั้นความพยายามที่จะ "แทรกแซง" จนถึงขั้น "ปิดหู ปิดตา ปิดปาก" สื่อสารมวลชนนั้นแทบไม่เคยปรากฏหรือไม่เคยปรากฏเลย จะมีก็เพียงแต่ประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบ "เผด็จการเบ็ดเสร็จ" หรือ TOTALITARIAN เท่านั้น

ความพยายามของรัฐบาลไม่ว่าประเทศใดที่พยายามทั้ง "แทรกแซง" และในที่สุด "ปิดหู ปิดตา ปิดปาก" ทั้งสื่อมวลชนและสังคมแล้ว ต้องส่อนัยชัดเจนว่ามีพฤติการณ์และพฤติกรรมที่ "ไม่ชอบมาพากล-ไม่ถูกทำนองคลองธรรม" จึงพยายามปกปิดไม่ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ "ข้อเท็จจริง!"

ปรากฏการณ์ทางสังคมการเมืองไทยที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมานี้โดยเฉพาะช่วงที่เข้มข้นจริงๆ ก็ประมาณ 7-8 เดือนที่ผ่านมา เราต้องยอมรับว่า "ไม่ธรรมดา" ที่อย่างน้อยที่สุด คนไทยมีความรู้ความเข้าใจและความฉลาดมากยิ่งขึ้น หนึ่ง ล่ะ สอง คนไทย "สังหรณ์ใจ" มาโดยตลอดถึงความพยายามปกปิดต้องมีอะไร "ผิดปกติ!" สาม ความฉงนสงสัยค่อยๆ คืบคลานมาสู่ "ความระแวง!" และ "เฝ้าระวัง" ที่จ้องคอย "จับพิรุธ" เริ่มขยายวงกว้างขึ้น สี่ ประชาชนเริ่ม "ผิดหวัง" ที่ให้ "ความหวัง-ความไว้วางใจ" มาโดยตลอดว่ารัฐบาลเจตนาดีในการบริหารประเทศ และ ห้า "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย!" ที่ประชาชนเริ่ม "สนใจ-ใฝ่รู้" จนเพียรพยายามเจาะลึกหาข้อมูล สอดส่องตลอดเวลา

จนในที่สุดก็มาระเบิดขึ้นหลังที่จากที่นานาสารพัด "ข้อคลางแคลงใจ-สงสัย" ปะทุระเบิดขึ้นมาหลังจากการพยายาม "ฮุบสื่อฯ" ทั้ง "นสพ.มติชน" และ "บางกอกโพสต์" โดยอาจพิสูจน์ไม่ได้ว่าเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ "คนไทยกินข้าว ไม่ได้กินแกลบ" พร้อมทั้ง "กลิ่นเหม็นหึ่ง!" เริ่มโชยมาแตะจมูกคนไทยจนระเบิดลูกสุดท้ายเกิดกับคุณสนธิ คุณสโรชา และรายการเมืองไทยรายสัปดาห์

"แนวร่วม" พร้อม "ศัตรู" จ้องหาโอกาสผสมโรงอยู่แล้ว "คุณสนธิ" ที่หายเงียบซุ่มตัวออกจากวงการสื่อฯ ไปนาน จึงกลายเป็น "ฮีโร่" ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวันและรายสัปดาห์เกือบทุกฉบับ โดยเฉพาะ "เนชั่นสุดสัปดาห์-มติชน-มติชนสุดสัปดาห์" ฉบับล่าสุด

ความจริงที่เราต้องยอมรับอีกครั้งว่า "วิกฤตศรัทธา" ต่อนักการเมืองไทยมีมานานแล้ว และหวังที่สุดว่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ที่เป็นอภิมหาเศรษฐีจะบริหารประเทศชาติ แบบ "ธรรมาภิบาล" แต่การณ์กลับตาลปัตร พร้อมทั้งวาจาแต่ละครั้งดูถูกดูแคลนประชาชน จนปัจจุบันวิกฤตศรัทธาค่อยๆ คืบคลานสู่ "รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน" ที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองอีกคำรบหนึ่ง

แต่ "แสงแดด" ขอวิงวอนประชาชนชาวไทยว่า "ได้โปรดอย่ามีวิกฤตศรัทธา" ต่อ "ระบอบการปกครองประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุข" โดยเด็ดขาด

เราคงยังมีความหวังต่อ "พระเจ้าอยู่หัว" ที่พระองค์ท่านทรงไว้ซึ่ง "ทศพิธราชธรรม" และการปกครองชาติบ้านเมืองที่ประชาชนต้องมีส่วนร่วม รวมทั้งประชาชนชาวไทยปรารถนาที่สุดที่ระบบการเมืองการปกครองต้องเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุข และเรายังคงมีความหวังต่อ "ศาลสถิตยุติธรรม" ในที่สุด

...................

"แสงแดด" เคยได้ยินคำกล่าวภาษาอังกฤษว่า "IT TAKES ONE TO KNOW ONE!" ซึ่งแปลว่า "ต้องใช้คนหนึ่งคนที่รู้จักอีกหนึ่งคนอย่างดี ถึงจะรู้เท่าทันกัน!"

คำกล่าวข้างต้น สอดคล้องเหมาะเหม็งที่สุดกับปรากฏการณ์ระหว่างคุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ความจริงเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า คุณสนธิ รู้จักคุ้นเคยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มายาวนานหลายสิบปี ตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มทำธุรกิจ ตั้งตัวใหม่ๆ เท่านั้นยังไม่พอ องคาพยพใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คุณสนธิ รู้จักหมดเรียกว่า "รู้ไส้รู้พุง-รู้เช่นเห็นชาติ" กันมาตลอด ทั้งสองฝ่ายต่าง "เอื้ออาทร อุปถัมภ์ ค้ำจุน" กันมาในอดีต แม้กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อต้นปี 2544 คุณสนธิ และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเชียร์รัฐบาลอย่างออกหน้าออกตา เนื่องด้วยความเป็นสังคมไทย

ความสัมพันธ์อันดีงามค่อยๆ ย่อยสลายลง เมื่อรัฐบาลค่อยๆ รุกคืบ ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพทั้งสื่อสารมวลชนและประชาชนคนไทย โดยเฉพาะนักธุรกิจหรือใครก็ตามที่อยู่คนละฝ่ายกับรัฐบาล

จนในที่สุดผู้คนในวงการสื่อสารมวลชนถูก "รังแก" ความเป็นสื่อฯ ของคุณสนธิ และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการจึงต้องลุกขึ้นมา "ชี้แจง-แฉ" และ "ปกป้อง" เจตนารมณ์และปรัชญาของ "สื่อสารมวลชน"

จนต้องทำให้คุณสนธิที่เป็น "ผู้รู้นอกรู้ใน" ต้องทำหน้าที่เป็น "หัวหอก" ในการ "ชำแหละ" นำขบวนแนวร่วมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแบบ "สะใจ-เข้มข้น" เพราะความจริงเกิดจากผู้รู้จริง ดังคำกล่าว IT TAKES ONE TO KNOW ONE!
กำลังโหลดความคิดเห็น