อดีตอธิบดีกรมตำรวจ“ประทิน สันติประภพ”สอนมวย"พล.ต.ท.สถาพร"ผบช.ภ.4 สั่งผู้ใต้บังคับบัญชาเก็บหลักฐานดำเนินคดี “สนธิ” เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ระบุชัด คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หากพบความผิด สตช.ต้องเป็นผู้ดำเนินการเอง ไม่ใช่แจ้งจับสร้างความวุ่นวายไปทั่ว ขณะที่ "โฆษก"ตร.เผย หากภาค 4 ไม่พบหลักฐาน ก็ไม่มีการดำเนินคดี ยัน ตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับ"สนธิ"แน่นอน
วานนี้(25 พ.ย.)พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีต ส.ว.กทม และอดีตอธิบดีกรมตำรวจ เปิดเผยถึงกรณีที่ พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4) เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีมีคำสั่งถึงตำรวจทุกโรงพักในพื้นที่ 11 จังหวัด ทำการรวบรวมหลักฐานเพื่อทำการแจ้งความฟ้องร้องเอาผิดกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ว่า ในฐานะที่เป็นอดีตอธิบดีกรมตำรวจ มองเรื่องนี้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบช.ภ.เห็นว่า การกระทำของนายสนธิ อาจเข้าข่ายความผิดก็สามารถตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเพื่อรวมรวมพยานหลักฐานได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งความให้เกิดเป็นคดีความหลายท้องที่เหมือนกับที่ตำรวจทำอยู่ในขณะนี้
อดีตอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น บุคคลที่สามารถเป็นผู้สั่งคดีได้ มีเฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพียงคนเดียวเท่านั้น และการที่ ตำรวจภูธรภาค 3 สั่งคดีมีมูล และเสนอศาลอนุมัติหมายจับกุมนายสนธิจึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ต่อข้อถามว่าการทำหน้าที่สื่อของนายสนธิ ในช่วงที่ผ่านมาเห็นว่าได้ทำถูกต้องหรือไม่ พล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า โดยส่วนตัวได้ติดตามนายสนธิมาโดยตลอด ซึ่งนายสนธิ ได้ทำหน้าที่สื่ออย่างแท้จริง โดยนำข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้ ดังนั้น เมื่อบุคคลใดเข้ามาเป็นบุคคลสาธารณะก็จะต้องยอมรับในระบบการตรวจสอบ หากเรื่องใดทำไม่ถูกต้องก็ต้องแก้ไข และหากเห็นว่าสื่อนำเสนอข้อมูลเป็นเท็จก็มีสิทธิที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมได้ แต่ไม่ควรใช้อำนาจรังแกสื่อเหมือนกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ด้าน พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการสั่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเอาผิดกับนายสนธิ และ น.ส.สโรชา ของ ผบช.ภ.4 ว่าเรื่องดังกล่าว เป็นอำนาจหน้าที่ของ ผบช.ภ.4 ที่สั่งให้ดำเนินการและไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าวว่า หากสุดท้ายแล้ว การรวบรวมพยานหลักฐานไม่พบความผิด ก็ไม่มีการดำเนินคดี แต่หากมีหลักฐานเพียงพอ ก็จะต้องผ่านการสอบสวนในรูปของคณะกรรมการตามปกติ ดังนั้น ขอให้นายสนธิ ไม่ต้องห่วงว่า ตำรวจจะกลั่นแกล้ง พร้อมกับยืนยัน ว่าตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่มีเจตตาดีต่อประเทศชาติบ้านเมือง
วานนี้(25 พ.ย.)พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีต ส.ว.กทม และอดีตอธิบดีกรมตำรวจ เปิดเผยถึงกรณีที่ พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4) เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีมีคำสั่งถึงตำรวจทุกโรงพักในพื้นที่ 11 จังหวัด ทำการรวบรวมหลักฐานเพื่อทำการแจ้งความฟ้องร้องเอาผิดกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ว่า ในฐานะที่เป็นอดีตอธิบดีกรมตำรวจ มองเรื่องนี้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบช.ภ.เห็นว่า การกระทำของนายสนธิ อาจเข้าข่ายความผิดก็สามารถตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเพื่อรวมรวมพยานหลักฐานได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งความให้เกิดเป็นคดีความหลายท้องที่เหมือนกับที่ตำรวจทำอยู่ในขณะนี้
อดีตอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น บุคคลที่สามารถเป็นผู้สั่งคดีได้ มีเฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพียงคนเดียวเท่านั้น และการที่ ตำรวจภูธรภาค 3 สั่งคดีมีมูล และเสนอศาลอนุมัติหมายจับกุมนายสนธิจึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ต่อข้อถามว่าการทำหน้าที่สื่อของนายสนธิ ในช่วงที่ผ่านมาเห็นว่าได้ทำถูกต้องหรือไม่ พล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า โดยส่วนตัวได้ติดตามนายสนธิมาโดยตลอด ซึ่งนายสนธิ ได้ทำหน้าที่สื่ออย่างแท้จริง โดยนำข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้ ดังนั้น เมื่อบุคคลใดเข้ามาเป็นบุคคลสาธารณะก็จะต้องยอมรับในระบบการตรวจสอบ หากเรื่องใดทำไม่ถูกต้องก็ต้องแก้ไข และหากเห็นว่าสื่อนำเสนอข้อมูลเป็นเท็จก็มีสิทธิที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมได้ แต่ไม่ควรใช้อำนาจรังแกสื่อเหมือนกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ด้าน พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการสั่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเอาผิดกับนายสนธิ และ น.ส.สโรชา ของ ผบช.ภ.4 ว่าเรื่องดังกล่าว เป็นอำนาจหน้าที่ของ ผบช.ภ.4 ที่สั่งให้ดำเนินการและไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าวว่า หากสุดท้ายแล้ว การรวบรวมพยานหลักฐานไม่พบความผิด ก็ไม่มีการดำเนินคดี แต่หากมีหลักฐานเพียงพอ ก็จะต้องผ่านการสอบสวนในรูปของคณะกรรมการตามปกติ ดังนั้น ขอให้นายสนธิ ไม่ต้องห่วงว่า ตำรวจจะกลั่นแกล้ง พร้อมกับยืนยัน ว่าตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่มีเจตตาดีต่อประเทศชาติบ้านเมือง