xs
xsm
sm
md
lg

ความหวังของคนเป็นโรคพาร์กินสัน

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ในทุกวันนี้การแพทย์แผนตะวันตกมีความเชื่อมั่นว่าโรคพาร์กินสันเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่งที่ทำให้คนตายด้วยความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง และต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์ทรมานจากโรคนี้เป็นเวลายาวนาน ทั้งเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และความเชื่อเช่นนี้ก็แพร่ขยายเข้ามายังประเทศของเรา ซึ่งนิยมชมชอบและนับถือตามความเชื่อของฝรั่ง

อย่าว่าแต่ระดับคนธรรมดาเลย ระดับอดีตประธานาธิบดีของชาติมหาอำนาจก็ป่วยตายด้วยโรคพาร์กินสันนี้ และเป็นการตายด้วยความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลานานมากกว่าจะตาย แม้ว่าได้ใช้แบบแผนการรักษาหรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าทันสมัยอย่างไรก็ปรากฏว่าไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายได้

ดังนั้นจึงเป็นอันว่าปัจจุบันนี้การแพทย์แผนตะวันตกยังไม่มีขีดความสามารถในการรักษาโรคพาร์กินสันให้หายได้ แล้วยังได้สร้างความเชื่อต่อชาวโลกว่าโรคนี้รักษาไม่หาย จึงสร้างความสะพรึงกลัวให้แก่ผู้คนทั้งปวง และทำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้มีความหมดหวังในชีวิต

บางรายกลัวความทุกข์ทรมานหรือทนทุกข์ทรมานไม่ไหว จึงถึงกับต้องฆ่าตัวตายก็มี คนไข้ฝรั่งจำนวนหนึ่งจึงได้รณรงค์ขอสิทธิ์ในการตายอย่างสงบ คือเมื่อเป็นโรคแล้วก็ขอสิทธิ์ในการที่จะให้หมอฉีดยาให้ถึงแก่ความตาย หรือทำให้ถึงแก่ความตายด้วยวิธีที่สบายกว่าการทนทุกข์ทรมาน

ในบ้านเมืองของเราก็มีผู้ป่วยด้วยโรคพาร์กินสันเป็นจำนวนมาก และเมื่อเชื่อตามฝรั่งก็ท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก แล้วเกิดเป็นปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม บางคนไม่ตายเปล่าแต่คนเดียว กลัวว่าตัวเองตายแล้วคนข้างหลังจะลำบาก จึงพานฆ่าลูกฆ่าเมียแล้วฆ่าตัวตายตาม ซึ่งเคยเป็นข่าวเช่นนี้มาบ้างแล้ว

ในวันนี้ต้องขอบอกกล่าวให้ได้รู้ทั่วกันว่าโรคพาร์กินสันไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หายอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยวิธีทางการแพทย์ประยุกต์แผนปัจจุบันกับแผนจีนโบราณ ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ในเวลาสั้น ๆ ไม่เกินเดือนเดียวเท่านั้น

เหตุที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ด้วยการประสานงานของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งความจริงก็เป็นคนที่กลัวการเป็นโรคพาร์กินสันเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ กับรัฐบาลและกองทัพภาคที่ 4 ของจีน ให้มีการเชิญคณะผู้บริหารโรงพยาบาลของกองทัพไทย นำโดยท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและผู้อำนวยการโรงพยาบาลทหารค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วม 10 คน เดินทางไปเยือนมณฑลส่านซี ประเทศจีน

เป็นการเดินทางของคณะผู้บริหารทางการแพทย์ของกองทัพเพื่อให้เกิดความร่วมมือทางด้านการแพทย์ระหว่างไทย-จีนเป็นครั้งแรก นับเป็นการบุกเบิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งความสัมพันธ์ไทย-จีนในโอกาสที่ไทย-จีนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตมาครบ 30 ปีในปีนี้ การเดินทางครั้งนี้จึงมีฐานะและนัยทางประวัติศาสตร์ความร่วมมือไทย-จีนที่ควรให้ความสนใจอย่างยิ่ง

รัฐบาลมณฑลส่านซี รัฐบาลเมืองเสียนหยาง รัฐบาลเมืองซีอัน และผู้บริหารมหาวิทยาลัยการแพทย์กองทัพภาคที่ 4 ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ได้ร่วมกันให้การต้อนรับคณะผู้แทนดังกล่าวอย่างดียิ่งและสมเกียรติอย่างยิ่ง ทำให้เกิดความประทับใจและซาบซึ้งตรึงใจต่อคณะผู้แทนเป็นอันมาก

คณะผู้แทนดังกล่าวได้ไปทัศนศึกษาดูงานทางการแพทย์ที่มณฑลส่านซี ซึ่งเคยกล่าวมาบ้างแล้วว่าที่นี่แหละคือศูนย์กลางการแพทย์แผนโบราณของจีน ซึ่งวันนี้ได้พัฒนาก้าวหน้าไปไกลกว่าที่คนไทยได้รู้ได้เห็นมาแต่ก่อนมากนัก

คือพัฒนาทั้งแบบแผนการรักษาแบบโบราณของจีนทุกแขนง ทั้งยารักษาโรคแผนโบราณ ทั้งแบบแผนปัจจุบัน ตลอดจนการประยุกต์แผนปัจจุบันเข้ากับแผนโบราณ ทำให้การรักษาแบบหมอหลวงตั้งแต่ยุคหลายพันปีก่อนและสืบทอดต่อเนื่องมาโดยไม่ขาดสายได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง

จนสามารถสร้างความสำเร็จที่อาจจะตกตะลึงงันกันไปทั่วโลกก็ได้!

คณะผู้แทนทางการแพทย์ของกองทัพไทยได้ไปดูแบบแผนการรักษาโรคมะเร็งก็ปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง รายงานการดูงานในเรื่องนี้ระบุอย่างชัดเจนว่า “ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งในระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ไม่ควรรับการรักษาโดยวิธีผ่าตัดหรือฉายรังสีหรือสารใด ๆ เพราะจะทำให้ชีวิตสั้นลง”

ซึ่งเป็นดังที่ได้เคยกล่าวมาหลายครั้งแล้วว่าแบบแผนการรักษาเช่นนี้ทำให้คนตายก่อนเวลาอันสมควรที่จะตาย เพราะทนพิษการรักษาไม่ได้ เนื่องจากการรักษาแบบนี้ได้ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อที่ดี ๆ ไปเป็นอันมาก ทำให้ร่างกายทนไม่ได้และถึงแก่ความตายในที่สุด

บ้างก็ตกใจตายเสียก่อน

รายงานสรุปว่าต้องถนอมชีวิตให้ยืนยาว ต้องทำให้สามารถอยู่ร่วมกับมะเร็งได้อย่างสันติ ซึ่งมียาแผนโบราณของจีนที่ได้พัฒนาปรับปรุงประยุกต์แล้ว ทำให้โรคมะเร็งหยุดการขยายตัวแล้วฝ่อลงไป จากนั้นเซลล์ต่าง ๆ ก็จะฟื้นคืนดี และทำให้หายได้

ปัจจุบันนี้มีชาวต่างชาติไปรับการรักษาแบบนี้กว่า 200,000 คน ใครสนใจในเรื่องนี้ก็สอบถามเอาจากคณะผู้ไปดูงานของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลทหารค่ายสุรนารีได้

ส่วนโรคพาร์กินสันนั้นความจริงเป็นโรคเก่าแก่มีมานานแล้วเช่นเดียวกับโรคมะเร็งนั่นแหละ คนเป็นโรคนี้จะมีอาการสั่น ชักกระตุกมากน้อยตามอาการของโรค ในสมัยโบราณเขาเรียกโรคนี้ว่าโรคสันนิบาต ซึ่งมีประเภทย่อย ๆ อีกหลายประเภท

แต่อาการโดยรวมก็คือการชักกระตุก การสั่นกระตุก แล้วเกิดการเลอะเลือนเจ็บปวด ทุกข์ทรมานจนกระทั่งตายไปในที่สุด

เมื่อ 50-60 ปีก่อนหน้านี้ก็มีคนป่วยด้วยโรคนี้เป็นจำนวนมากแต่เขาก็ไม่เห็นเป็นโรคร้ายแรงอะไร กินยาหม้อ ยาต้มไปตามประสาก็ทุเลาบ้าง หายบ้าง ตายบ้าง แต่มาเห็นเป็นเรื่องร้ายแรงเอาก็ตอนที่รับเอาแบบแผนการรักษาแบบฝรั่งแล้วพิพากษากันไว้ว่าโรคนี้รักษาไม่หาย

การรักษาโรคพาร์กินสันของมหาวิทยาลัยการแพทย์กองทัพภาคที่ 4 นั้นง่ายอย่างคาดคิดไม่ถึง และแทบไม่มีใครในโลกนี้จะคาดคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้

วิธีการรักษาช่างง่ายดายนัก ไม่มีการใช้ยาสลบ หากเพียงแต่ใช้ยาชาเท่านั้น หรือไม่ก็ใช้การฝังเข็ม ในขณะที่คนไข้ซึ่งมีอาการสั่นกระตุกยังสามารถอ่านหนังสือได้ ฟังเพลงได้ และเขาก็จะให้เกิดความบันเทิงใจตามที่คนไข้ชอบ เช่น เปิดเพลงให้ฟังบ้าง เอาหนังสือให้อ่านบ้าง

เมื่อมีความชาเกิดขึ้นแล้วก็มีการเจาะที่บริเวณด้านข้างลำคอ เข้าใจว่าจะเป็นการเจาะตรงบริเวณเส้นเลือดใดเส้นเลือดหนึ่ง จากนั้นก็สอดหลอดเล็ก ๆ เข้าไปแล้วดันขึ้นไปผ่านทางโพรงของสมองเข้าไปที่ประสาทส่วนสมอง ซึ่งเรียกรายละเอียดทางการแพทย์ไม่ถูกเหมือนกัน

หลอดเล็ก ๆ ที่ว่านี้ก็คล้าย ๆ กับหลอดที่ใช้ในการทำบอลลูนในการขยายเส้นเลือดหัวใจตีบที่รักษากันในปัจจุบันนั่นเอง เป็นแต่ว่าแทนที่จะสอดเข้าไปตรงบริเวณจุดขาพับขึ้นมาที่หัวใจ เป็นการสอดเข้าไปที่ด้านข้างลำคอผ่านช่องกะโหลกเข้าไปที่ช่องสมอง

ในขณะที่สอดหลอดเลือดเข้าไปคนไข้ก็ยังคงชักกระตุกอยู่นั่นเอง แต่เมื่อหลอดที่ว่านี้ผ่านโพรงกะโหลกศีรษะเข้าไปถึงจุดอะไรก็ไม่รู้ อาการชักกระตุกก็จะหยุด ไม่ต้องมัด ไม่ต้องจับอีกต่อไป

คนไข้สามารถหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านเองได้ ในขณะที่หยุดอาการกระตุกนั้น ราวกับว่าไม่เจ็บไม่ปวดอะไรเลยซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลก

ใช้เวลาราว 20 นาทีก็เสร็จ เมื่อดึงหลอดเล็ก ๆ ออกแล้วหลังจากนั้นก็ใช้ปลาสเตอร์ปิดบริเวณแผลที่เจาะเป็นอันเสร็จ คนไข้ก็จะหยุดอาการชักกระตุกไปเลย มีอาการเหมือนคนธรรมดาทุกประการ

เขาก็ให้ยาจีนกินเป็นยาบำรุง แล้วทำกายภาพบำบัดอีกราวเดือนเดียวก็หายขาดเหตุที่ต้องทำกายภาพบำบัดต่อก็เพราะว่าคนที่เป็นโรคพาร์กินสันมาระยะหนึ่งแล้วร่างกายจะมีความเคยชินกับการสั่นกระตุก

ดังนั้นจึงต้องฝึกความเคยชินใหม่ด้วยวิธีการกายภาพบำบัด

ได้ทราบว่าวิดีทัศน์เกี่ยวกับการรักษาโรคนี้ทางมหาวิทยาลัยการแพทย์กองทัพภาคที่ 4 ได้มอบให้แก่คณะผู้แทนทางการแพทย์ของกองทัพไทยมาด้วยแล้ว ใครสนใจก็ลองไปติดตามดูกันเอาเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมมีความหวังสำหรับคนที่เป็นโรคพาร์กินสันเพราะไม่ใช่โรคที่รักษาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว หากเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ และในเวลาอันสั้น ไม่ยุ่งยาก ไม่ลำบาก ไม่เจ็บปวดมากนัก

เข้าใจว่าค่ารักษาพยาบาลในเรื่องนี้ก็ไม่แพงเท่าใดเพราะใช้เวลาน้อยมาก แต่แน่นอนละว่าเขาต้องคิดค่าภูมิปัญญาของเขาบ้าง แต่ถ้าภูมิปัญญานี้ได้รับการถ่ายทอดมาสู่การแพทย์ของกองทัพไทยแล้ว ค่ารักษาพยาบาลก็น่าจะถูกลงมาก

ในการเดินทางไปครั้งนี้ได้ยินว่ามีการลงนามในเอกสารความร่วมมือทางการแพทย์กันถึง 3 ฉบับ ซึ่งนับว่าเป็นการเริ่มต้นที่จะทำให้ความหวังของคนที่เป็นโรคพาร์กินสันก็ดี โรคมะเร็งก็ดี มีความหวังว่าจะมีชีวิตรอดยืนยาวต่อไปได้โดยไม่เบียดเบียนญาติพี่น้องและไม่เป็นทุกข์ทรมานสำหรับตนเองดังที่เคยเป็นมาแต่อดีต

ก็ได้แต่หวังว่าโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลทหารค่ายสุรนารีจะได้เร่งรัดทำให้ความร่วมมือนี้ปรากฏเป็นจริงขึ้น ทำให้ความหวังของคนเป็นโรคมะเร็งและโรคพาร์กินสันในประเทศไทยปรากฏเป็นจริงขึ้น และต้องถือว่าเป็นการทำบุญทำคุณแก่มนุษยชาติและคนไทยครั้งใหญ่ที่สุด

ขณะเดียวกันก็ได้แต่หวังว่ารัฐบาลและกระทรวงกลาโหมจะได้สนับสนุนโครงการความร่วมมือนี้ให้ก้าวหน้าไปในอัตราที่เร็วเพื่อช่วยเหลือคนไทยที่มีความป่วยเจ็บด้วยโรคมะเร็ง และโรคพาร์กินสันเป็นอันมากให้มีความเป็นอยู่ที่เป็นปกติสุขโดยเร็ว

วันนี้บอกกล่าวกันแค่โรคพาร์กินสัน และย้ำเรื่องโรคมะเร็งให้ได้รู้โดยทั่วหน้ากัน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วการรักษาโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเส้นเลือดในสมองตีบตันและโรคหัวใจเขาก็ประสพความสำเร็จอย่างน่ามหัศจรรย์เช่นเดียวกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น