มีสุภาษิตประชาธิปไตย อยู่บทหนึ่งว่า ถ้าหากเกิดความผิดหรือเลวร้ายในสังคม แต่หาคนผิดหรือต้นเหตุไม่ได้ ก็สมควร ต้องโทษรัฐบาล
ผมว่าคนไทยเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อสุภาษิตนี้ก็ได้ แต่สมควร ต้องนำมาคิด
คิดทำไม คิดเพื่อแก้ไข มิใช่คิดเพื่อแก้ตัว หรือเข้าข้างผู้หนึ่งผู้ใด ตามความลำเอียงหรืออุปาทาน หรือผลประโยชน์ของตัวเอง
มีคำพังเพยอีกนั่นแหละ แต่คราวนี้เป็นของไทย บอกว่า “คนดีชอบแก้ไข-คนจัญไรชอบแก้ตัว”
ในการพูดหรือการเขียนของผม ผมเน้นอยู่เสมอว่า ผมมิได้วางจุดหนักอยู่ที่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่พฤติกรรมและการกระทำ
ใครจะหาว่าผมลำเอียงเข้าข้างคนนั้นคนนี้ก็แล้วแต่ ผมไม่อยากปฏิเสธแต่ขอให้ดูการกระทำของผมว่า ผมทำหน้าที่นักวิชาการคือคิด เขียนหรือวิเคราะห์เฉยๆ
ผมมิได้ถือหางหรือไปเข้าขบวนแห่ของใคร ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อผม เอาข้อคิดของผมไปปฏิบัติหรือกระทืบ ก็เป็นสิทธิที่จะกระทำได้เท่าๆกัน
“ปรากฎการณ์สนธิ(กับทักษิณ)” ครั้งนี้มิใช่ปรากฏการณ์ธรรมดา มีหลายคนหลายฝ่ายที่โทร.หรือมาหาผม พยายามจะให้ผมเชื่อว่า สนธิ(หรือทักษิณ)เลวอย่างนั้นเลวอย่างนี้ พร้อมทั้งยกเหตุผลและข้อมูลสารพัดเรื่องมาอ้างอิง แล้วกล่าวเตือน(หรือขู่)ผมว่า
อาจารย์อย่าไปยุ่งกับเขาเลย “ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน” อันนี้เขาพูดถึงกองเชียร์ของทั้งสองฝ่าย มิได้หมายถึงนายกฯทักษิณหรือคุณสนธิ ผมตอบว่า คุณคิดผิด
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องฝนตกขี้หมูไหล เป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพและเรื่องของความสงสัยว่าหัวหน้ารัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตยและใช้อำนาจในทางที่ผิด ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ปล่อยให้ “บ้านเก่า-เหล่าทัพ-ทรัพย์สมบัติ-บริษัทบริวาร” ของตัว กอบโกยและคดโกงแผ่นดิน
หลักการในเรื่องนี้ คือต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่หน้าที่พิสูจน์เป็นของทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายกล่าวหาและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ใหญ่กว่าและเสียเปรียบ เพราะเป็นผู้มีอำนาจ จำจะต้องเอื้ออำนวยช่วยให้ฝ่ายที่กล่าวหาพิสูจน์ได้อย่างเต็มที่ หากไม่มีอะไร รัฐบาลก็ออกมาดีเอง ก็มีสุภาษิตอีกนั่นแหละ เกี่ยวกับจริยธรรมของผู้ปกครอง ว่าไม่ต้องถึงขนาดลงมือทำความเลวเองหรอก เพียงแต่ทำให้เขาเกิดความสงสัยว่าทำความเลวก็ผิดแล้ว ยิ่งมาทำตะแบง ปล่อยให้ลูกน้องแข่งกันออกมาข่มขู่อีกฝ่ายหนึ่งก็ยิ่งหนักขึ้น
เรื่องที่สองก็คืออย่ามัวหลงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องฝนตกขี้หมูไหล เรื่องนี้มิใช่เรื่องคนจัญไร แต่เป็นเรื่องของระบบไม่ดี ที่ดูดให้ทุกฝ่ายทุกคน ดีหรือชั่วไม่มีเว้น ให้เข้ามาตกเป็นเหยื่อด้วยกันทั้งหมด คนไทยมักจะเชื่อผิดๆว่า ถ้าหากคนดีเสียอย่าง ระบบไม่ดีก็ไม่เป็นไร คนไทยไม่เข้าใจว่าระบบไม่ดี บังคับมิให้คนดีทำดีได้ ความซื่อสัตย์ของนายกฯสัญญา นายกฯเปรมทำให้รัฐบาลหรือราชการปลอดหรือปลดคอร์รัปชั่นออกจากบ้านเมืองได้หรือไม่ เราก็ทราบกันอยู่ ในทางตรงกันข้าม หากระบบดี จะป้องกันและไม่เปิดโอกาสให้คนชั่วกระทำความเลวได้ง่ายๆ เพราะระบบดีย่อมมีความโปร่งใสและมีกลไกตรวจสอบครบถ้วน ไล่ลงมาตั้งแต่สัญลักษณ์ โครงสร้างหรือกลไก องค์ประกอบ และพฤติกรรมของรัฐบาล
ขณะนี้ ระบบหรือรัฐธรรมนูญของเราไม่ดี รัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถผลิตองค์ประกอบและพฤติกรรมที่ดีให้กับรัฐบาลได้ บ้านเมืองจึงต้องหวานอมขมกลืนกับองค์ประกอบที่ “ยี้” และพฤติกรรมที่ “แย่” ในทางการเมือง ตลอดจนความผิดพลาดชะงักงันที่ทำให้รัฐธรรมนูญติดหล่มเป็นระยะตลอดมาหลายเรื่องด้วยกัน เช่นเรื่อง ซุกหุ้น เรื่องคตง. เรื่องครู เรื่องกสช. เป็นต้น ทางที่ดีที่สุดนายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้นำแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งระบบ อย่าติดยึดหวงแหนอำนาจและความได้เปรียบของตนเพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ควรฉวยโอกาสพึ่งพระราชอำนาจ พระราชวินิจฉัย และจารีตธรรมเนียมประชาธิปไตย ซึ่งนายกฯเองก็มีความรู้ดี
ขณะนี้มีข่าวลือที่เป็นอกุศลต่างๆมากมาย และกองเชียร์ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามชี้นิ้วไปยังฝ่ายตรงกันข้าม ถ้าขิงก็ราข่าก็แรง ผลเสียก็จะตกแก่บ้านเมือง ข่าวปฏิวัติรัฐประหารอย่างมากก็ทำให้หุ้นตก ไม่เป็นไรดอก เศรษฐี นักพนัน และนักลงทุนหุ้นมีไม่กี่คน เมื่อเทียบกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย แต่ถ้าหากเกิดการปฏิวัติหรือยึดอำนาจขึ้นจริงๆบ้านเมืองจะเสียหายย่อยยับ
พูดอย่างนี้ อย่าหาว่าผมเข้ากับทักษิณ ในเดือนมิถุนายน 2527 ผมเขียนหนังสือถึงพลเอกอาทิตย์ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจและถูกยุให้ทำการยึดอำนาจว่า “หากใครยึด อำนาจ ชาติจะแย่ ไทยแท้แท้ ขนเงินหนี มีเท่าไหร่ ปฏิวัติ แต่ละที ดีอะไร ลองอีกครั้ง พลั้งไป เลือดไทยริน” ผมได้คัดค้านการปฏิรูปของรสช.มาตลอด ตั้งแต่ตอนเริ่มคิดและภายหลังที่ได้กระทำไปแล้ว และผมได้เขียนหนังสือเตือนทั้งโดยส่วนตัว และในสื่อว่าอย่าปล่อยให้มีการนองเลือดอีก หนังสือของผมไม่ถูกเก็บแต่ถูกซื้อเกลี้ยงไปหมดโดยผู้ซื้อรายเดียว
ที่ผมนำมาพิมพ์ใหม่ในผู้จัดการนั้นมิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องเก่าที่กำลังจะคล้ายๆกับเรื่องปัจจุบัน
ผมขอพูดให้ชัดๆอีกครั้งว่าผมคัดค้านการเปลี่ยนรัฐบาลด้วยม็อบ ทั้งนี้มิใช่ผมเมตตาทักษิณหรือไม่กรุณาสนธิ ผมอยากเตือนปรากฏการณ์สนธิว่าอย่าลืมสัญญาที่จะใช้อวิหิงสาและเคลื่อนไหวภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ถึงแม้จะเกินเลยรัฐธรรมนูญไปอีกหากเป็นความเคลื่อนไหวโดยสงบ มีจุดมุ่งหมายทีดี ภายใต้จิตวิญญาณประชาธิปไตย ตามเงื่อนไขของหลัก Social Contract ผมก็ยอมรับได้ หลัก Social Contract เป็นอย่างไรนายกฯทักษิณท่านรู้ดี แต่คนที่รู้ดีและจะอธิบายได้ดีกว่าผมคืออาจารย์สมบัติ จันทรวงศ์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คราวนี้ ผมก็ขอพูดกับรัฐบาลกับลูกหาบว่า ปรากฎการณ์ครั้งนี้ หากรัฐบาลใจเย็น ก็เกือบจะมีระฆังช่วยอยู่แล้ว นั่นก็คือวันมหามงคลที่จะมาถึงในวันที่ 5 ธันวาคม นี้ ซึ่งคนไทยทั้งชาติต้องรวมใจเพื่อถวายพระพรชัยแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมขอให้รัฐบาลกลับไปอ่านพระราชดำรัสของพระองค์ท่านให้จริงจังหลายตระหลบ แล้วนำมาใส่หัวใส่เกล้ารีบปฏิบัติหรือแก้ไขเสีย
รัฐบาลจะต้องยอมรับว่า ความเคลื่อนไหวที่ลุกลามอยู่ถึงขณะนี้ มีมูลเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมอันชวนสงสัยของรัฐบาลหนึ่ง และปฏิกิริยาอันไม่สมควรของฝ่ายรัฐบาลอีกหนึ่ง หากฝ่ายรัฐบาลยังดันทุรังเดินหน้าไปในครรลองเดิมอีก ความเสียหายที่เกิดมากขึ้นจะโทษใครต่อไปอีกไม่ได้นอกจากรัฐบาล
การที่คนของรัฐบาลออกมาโต้ตอบ และตักเตือนว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นความเคลื่อนไหวของฝ่ายที่เป็นขาประจำต้องการล้มรัฐบาล หรือระวังจะเกิดมือที่สามโยนระเบิดหรือระวังจะมีการปฏิวัติยึดอำนาจ และการวิ่งใช้อำนาจของศาลอย่างพร่ำเพรื่อนั้น ช่างเป็นเรื่องที่โฉดเขลาหรือไร้เดียงสาเสียเต็มประดา ถ้าหากสิ่งที่รัฐบาลพูดนั้นมีวี่แวว รัฐบาลย่อมมีภารกิจอันยิ่งยวดที่จะต้องเงียบกริบและตระเตรียมมิให้สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นได้ รัฐบาลจะต้องคอยจับกระรอกให้ได้ถ้ากระรอกมีจริง แต่จะต้องไม่ออกมาพูดแบบชี้โพรงให้กระรอก แล้วเป็นผู้ไปปล่อยกระรอกออกมาเสียเอง
ในฉบับก่อนๆ ผมเคยพูดถึงเรื่อง civil disobedience และ passive resistance โดยมิได้อธิบายเป็นภาษาไทย สิ่งแรกก็คือ การขัดขืนไม่เชื่อฟังคำสั่งของรัฐบาล ที่เป็นการกระทบกระเทือนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน สิ่งที่สองก็คือ การต่อต้านอย่างสงบและอวิหิงสา ทั้งสองประการนี้เป็นอาวุธทางประชาธิปไตย หากปฏิบัติเป็นกลับจะเป็นหลักประกันมิให้เกิดการใช้กำลังในทางที่ผิดของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย หากปิดกั้นหรือปฏิบัติไม่เป็น กลับจะกระทำให้วิธีการและการต่อสู้ในทางการเมืองกลายแบบไปสู่ความหลากหลายและเหี้ยมโหดยิ่งขึ้น
ผมเคยเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาตนเองมาหลายแห่งหลายประเทศแล้ว ผมไม่ปรารถนาจะเห็นมันอีกในบ้านของเรา จึงอยากจะเล่าให้ฟังว่า ในประเทศที่เจริญ เขาทำอย่างไรจึงป้องกันมิให้การประท้วงและชุมนุมต่อต้านรัฐบาลบานปลาย เอาแค่ตัวอย่างญี่ปุ่นก็ได้ ก็คือ รัฐบาลเขาจะไปช่วยจัดที่ไว้ให้ ช่วยประกาศโฆษณาให้ ช่วยขยายพื้นที่ให้ความสะดวกแก่ผู้มาชุมนุม และสมทบทุนหาอุปกรณ์เครื่องกระจายเสียงมาให้ ช่วยจัดระบบป้องกันรักษาความปลอดภัยไว้ให้ ช่วยป้องกันมิให้มือที่สามมาโยนระเบิด ฯลฯ
ของแค่นี้ ทำไมรัฐบาลไทยจึงจะมองไม่เห็น หรือทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้และบ้านเมืองเสียหายไปมากกว่านี้ แสดงว่า รัฐบาลไม่มีฝีมือ
อย่าไปโทษคนอื่น ต้องโทษรัฐบาล!!!!
ผมว่าคนไทยเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อสุภาษิตนี้ก็ได้ แต่สมควร ต้องนำมาคิด
คิดทำไม คิดเพื่อแก้ไข มิใช่คิดเพื่อแก้ตัว หรือเข้าข้างผู้หนึ่งผู้ใด ตามความลำเอียงหรืออุปาทาน หรือผลประโยชน์ของตัวเอง
มีคำพังเพยอีกนั่นแหละ แต่คราวนี้เป็นของไทย บอกว่า “คนดีชอบแก้ไข-คนจัญไรชอบแก้ตัว”
ในการพูดหรือการเขียนของผม ผมเน้นอยู่เสมอว่า ผมมิได้วางจุดหนักอยู่ที่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่พฤติกรรมและการกระทำ
ใครจะหาว่าผมลำเอียงเข้าข้างคนนั้นคนนี้ก็แล้วแต่ ผมไม่อยากปฏิเสธแต่ขอให้ดูการกระทำของผมว่า ผมทำหน้าที่นักวิชาการคือคิด เขียนหรือวิเคราะห์เฉยๆ
ผมมิได้ถือหางหรือไปเข้าขบวนแห่ของใคร ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อผม เอาข้อคิดของผมไปปฏิบัติหรือกระทืบ ก็เป็นสิทธิที่จะกระทำได้เท่าๆกัน
“ปรากฎการณ์สนธิ(กับทักษิณ)” ครั้งนี้มิใช่ปรากฏการณ์ธรรมดา มีหลายคนหลายฝ่ายที่โทร.หรือมาหาผม พยายามจะให้ผมเชื่อว่า สนธิ(หรือทักษิณ)เลวอย่างนั้นเลวอย่างนี้ พร้อมทั้งยกเหตุผลและข้อมูลสารพัดเรื่องมาอ้างอิง แล้วกล่าวเตือน(หรือขู่)ผมว่า
อาจารย์อย่าไปยุ่งกับเขาเลย “ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน” อันนี้เขาพูดถึงกองเชียร์ของทั้งสองฝ่าย มิได้หมายถึงนายกฯทักษิณหรือคุณสนธิ ผมตอบว่า คุณคิดผิด
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องฝนตกขี้หมูไหล เป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพและเรื่องของความสงสัยว่าหัวหน้ารัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตยและใช้อำนาจในทางที่ผิด ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ปล่อยให้ “บ้านเก่า-เหล่าทัพ-ทรัพย์สมบัติ-บริษัทบริวาร” ของตัว กอบโกยและคดโกงแผ่นดิน
หลักการในเรื่องนี้ คือต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่หน้าที่พิสูจน์เป็นของทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายกล่าวหาและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ใหญ่กว่าและเสียเปรียบ เพราะเป็นผู้มีอำนาจ จำจะต้องเอื้ออำนวยช่วยให้ฝ่ายที่กล่าวหาพิสูจน์ได้อย่างเต็มที่ หากไม่มีอะไร รัฐบาลก็ออกมาดีเอง ก็มีสุภาษิตอีกนั่นแหละ เกี่ยวกับจริยธรรมของผู้ปกครอง ว่าไม่ต้องถึงขนาดลงมือทำความเลวเองหรอก เพียงแต่ทำให้เขาเกิดความสงสัยว่าทำความเลวก็ผิดแล้ว ยิ่งมาทำตะแบง ปล่อยให้ลูกน้องแข่งกันออกมาข่มขู่อีกฝ่ายหนึ่งก็ยิ่งหนักขึ้น
เรื่องที่สองก็คืออย่ามัวหลงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องฝนตกขี้หมูไหล เรื่องนี้มิใช่เรื่องคนจัญไร แต่เป็นเรื่องของระบบไม่ดี ที่ดูดให้ทุกฝ่ายทุกคน ดีหรือชั่วไม่มีเว้น ให้เข้ามาตกเป็นเหยื่อด้วยกันทั้งหมด คนไทยมักจะเชื่อผิดๆว่า ถ้าหากคนดีเสียอย่าง ระบบไม่ดีก็ไม่เป็นไร คนไทยไม่เข้าใจว่าระบบไม่ดี บังคับมิให้คนดีทำดีได้ ความซื่อสัตย์ของนายกฯสัญญา นายกฯเปรมทำให้รัฐบาลหรือราชการปลอดหรือปลดคอร์รัปชั่นออกจากบ้านเมืองได้หรือไม่ เราก็ทราบกันอยู่ ในทางตรงกันข้าม หากระบบดี จะป้องกันและไม่เปิดโอกาสให้คนชั่วกระทำความเลวได้ง่ายๆ เพราะระบบดีย่อมมีความโปร่งใสและมีกลไกตรวจสอบครบถ้วน ไล่ลงมาตั้งแต่สัญลักษณ์ โครงสร้างหรือกลไก องค์ประกอบ และพฤติกรรมของรัฐบาล
ขณะนี้ ระบบหรือรัฐธรรมนูญของเราไม่ดี รัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถผลิตองค์ประกอบและพฤติกรรมที่ดีให้กับรัฐบาลได้ บ้านเมืองจึงต้องหวานอมขมกลืนกับองค์ประกอบที่ “ยี้” และพฤติกรรมที่ “แย่” ในทางการเมือง ตลอดจนความผิดพลาดชะงักงันที่ทำให้รัฐธรรมนูญติดหล่มเป็นระยะตลอดมาหลายเรื่องด้วยกัน เช่นเรื่อง ซุกหุ้น เรื่องคตง. เรื่องครู เรื่องกสช. เป็นต้น ทางที่ดีที่สุดนายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้นำแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งระบบ อย่าติดยึดหวงแหนอำนาจและความได้เปรียบของตนเพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ควรฉวยโอกาสพึ่งพระราชอำนาจ พระราชวินิจฉัย และจารีตธรรมเนียมประชาธิปไตย ซึ่งนายกฯเองก็มีความรู้ดี
ขณะนี้มีข่าวลือที่เป็นอกุศลต่างๆมากมาย และกองเชียร์ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามชี้นิ้วไปยังฝ่ายตรงกันข้าม ถ้าขิงก็ราข่าก็แรง ผลเสียก็จะตกแก่บ้านเมือง ข่าวปฏิวัติรัฐประหารอย่างมากก็ทำให้หุ้นตก ไม่เป็นไรดอก เศรษฐี นักพนัน และนักลงทุนหุ้นมีไม่กี่คน เมื่อเทียบกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย แต่ถ้าหากเกิดการปฏิวัติหรือยึดอำนาจขึ้นจริงๆบ้านเมืองจะเสียหายย่อยยับ
พูดอย่างนี้ อย่าหาว่าผมเข้ากับทักษิณ ในเดือนมิถุนายน 2527 ผมเขียนหนังสือถึงพลเอกอาทิตย์ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจและถูกยุให้ทำการยึดอำนาจว่า “หากใครยึด อำนาจ ชาติจะแย่ ไทยแท้แท้ ขนเงินหนี มีเท่าไหร่ ปฏิวัติ แต่ละที ดีอะไร ลองอีกครั้ง พลั้งไป เลือดไทยริน” ผมได้คัดค้านการปฏิรูปของรสช.มาตลอด ตั้งแต่ตอนเริ่มคิดและภายหลังที่ได้กระทำไปแล้ว และผมได้เขียนหนังสือเตือนทั้งโดยส่วนตัว และในสื่อว่าอย่าปล่อยให้มีการนองเลือดอีก หนังสือของผมไม่ถูกเก็บแต่ถูกซื้อเกลี้ยงไปหมดโดยผู้ซื้อรายเดียว
ที่ผมนำมาพิมพ์ใหม่ในผู้จัดการนั้นมิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องเก่าที่กำลังจะคล้ายๆกับเรื่องปัจจุบัน
ผมขอพูดให้ชัดๆอีกครั้งว่าผมคัดค้านการเปลี่ยนรัฐบาลด้วยม็อบ ทั้งนี้มิใช่ผมเมตตาทักษิณหรือไม่กรุณาสนธิ ผมอยากเตือนปรากฏการณ์สนธิว่าอย่าลืมสัญญาที่จะใช้อวิหิงสาและเคลื่อนไหวภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ถึงแม้จะเกินเลยรัฐธรรมนูญไปอีกหากเป็นความเคลื่อนไหวโดยสงบ มีจุดมุ่งหมายทีดี ภายใต้จิตวิญญาณประชาธิปไตย ตามเงื่อนไขของหลัก Social Contract ผมก็ยอมรับได้ หลัก Social Contract เป็นอย่างไรนายกฯทักษิณท่านรู้ดี แต่คนที่รู้ดีและจะอธิบายได้ดีกว่าผมคืออาจารย์สมบัติ จันทรวงศ์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คราวนี้ ผมก็ขอพูดกับรัฐบาลกับลูกหาบว่า ปรากฎการณ์ครั้งนี้ หากรัฐบาลใจเย็น ก็เกือบจะมีระฆังช่วยอยู่แล้ว นั่นก็คือวันมหามงคลที่จะมาถึงในวันที่ 5 ธันวาคม นี้ ซึ่งคนไทยทั้งชาติต้องรวมใจเพื่อถวายพระพรชัยแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมขอให้รัฐบาลกลับไปอ่านพระราชดำรัสของพระองค์ท่านให้จริงจังหลายตระหลบ แล้วนำมาใส่หัวใส่เกล้ารีบปฏิบัติหรือแก้ไขเสีย
รัฐบาลจะต้องยอมรับว่า ความเคลื่อนไหวที่ลุกลามอยู่ถึงขณะนี้ มีมูลเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมอันชวนสงสัยของรัฐบาลหนึ่ง และปฏิกิริยาอันไม่สมควรของฝ่ายรัฐบาลอีกหนึ่ง หากฝ่ายรัฐบาลยังดันทุรังเดินหน้าไปในครรลองเดิมอีก ความเสียหายที่เกิดมากขึ้นจะโทษใครต่อไปอีกไม่ได้นอกจากรัฐบาล
การที่คนของรัฐบาลออกมาโต้ตอบ และตักเตือนว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นความเคลื่อนไหวของฝ่ายที่เป็นขาประจำต้องการล้มรัฐบาล หรือระวังจะเกิดมือที่สามโยนระเบิดหรือระวังจะมีการปฏิวัติยึดอำนาจ และการวิ่งใช้อำนาจของศาลอย่างพร่ำเพรื่อนั้น ช่างเป็นเรื่องที่โฉดเขลาหรือไร้เดียงสาเสียเต็มประดา ถ้าหากสิ่งที่รัฐบาลพูดนั้นมีวี่แวว รัฐบาลย่อมมีภารกิจอันยิ่งยวดที่จะต้องเงียบกริบและตระเตรียมมิให้สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นได้ รัฐบาลจะต้องคอยจับกระรอกให้ได้ถ้ากระรอกมีจริง แต่จะต้องไม่ออกมาพูดแบบชี้โพรงให้กระรอก แล้วเป็นผู้ไปปล่อยกระรอกออกมาเสียเอง
ในฉบับก่อนๆ ผมเคยพูดถึงเรื่อง civil disobedience และ passive resistance โดยมิได้อธิบายเป็นภาษาไทย สิ่งแรกก็คือ การขัดขืนไม่เชื่อฟังคำสั่งของรัฐบาล ที่เป็นการกระทบกระเทือนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน สิ่งที่สองก็คือ การต่อต้านอย่างสงบและอวิหิงสา ทั้งสองประการนี้เป็นอาวุธทางประชาธิปไตย หากปฏิบัติเป็นกลับจะเป็นหลักประกันมิให้เกิดการใช้กำลังในทางที่ผิดของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย หากปิดกั้นหรือปฏิบัติไม่เป็น กลับจะกระทำให้วิธีการและการต่อสู้ในทางการเมืองกลายแบบไปสู่ความหลากหลายและเหี้ยมโหดยิ่งขึ้น
ผมเคยเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาตนเองมาหลายแห่งหลายประเทศแล้ว ผมไม่ปรารถนาจะเห็นมันอีกในบ้านของเรา จึงอยากจะเล่าให้ฟังว่า ในประเทศที่เจริญ เขาทำอย่างไรจึงป้องกันมิให้การประท้วงและชุมนุมต่อต้านรัฐบาลบานปลาย เอาแค่ตัวอย่างญี่ปุ่นก็ได้ ก็คือ รัฐบาลเขาจะไปช่วยจัดที่ไว้ให้ ช่วยประกาศโฆษณาให้ ช่วยขยายพื้นที่ให้ความสะดวกแก่ผู้มาชุมนุม และสมทบทุนหาอุปกรณ์เครื่องกระจายเสียงมาให้ ช่วยจัดระบบป้องกันรักษาความปลอดภัยไว้ให้ ช่วยป้องกันมิให้มือที่สามมาโยนระเบิด ฯลฯ
ของแค่นี้ ทำไมรัฐบาลไทยจึงจะมองไม่เห็น หรือทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้และบ้านเมืองเสียหายไปมากกว่านี้ แสดงว่า รัฐบาลไม่มีฝีมือ
อย่าไปโทษคนอื่น ต้องโทษรัฐบาล!!!!