เรื่องของปากกับใจนั้นเป็นหัวข้อหนึ่งที่มักจะแวะเวียนเข้ามาในชีวิตคนเราอยู่เสมอ เวลาที่แวะเวียนมานั้นมักไม่ใช่เรื่องปกติ ซ้ำร้ายยังอาจทำให้คนบางคนเสียความรู้สึกอีกด้วย เมื่อจับได้ว่าคนใกล้ตัวหรือคนที่สนิทสนมกันกำลังทำเรื่องที่เรียกว่า “ปากกับใจไม่ตรงกัน” หรือ “ปากอย่างใจอย่าง”
เหตุการณ์ในแบบปากกับใจไม่ตรงกันนี้มีมานานแล้วในทุกสังคม ทั้งนี้อาจดูได้จากตำนานหรือคัมภีร์โบราณของแต่ละสังคมที่มักจะมีที่ใดที่หนึ่งหรือตอนใดตอนหนึ่ง ที่บอกเล่าเรื่องราวของคนที่ปากกับใจไม่ตรงกัน เช่นใน “ไบเบิล” นั้น แค่เริ่มเรื่องได้ไม่นาน (ไม่กี่หน้า) อาดัมกับอีฟก็แสดงอาการแบบปากกับใจไม่ตรงกันกับพระเจ้าเสียแล้ว ด้วยได้ไปกินผลแอปเปิ้ลที่พระเจ้าได้ห้ามเอาไว้ เป็นต้น
คงเป็นการยากที่จะบอกได้ตรงๆ ว่า อาการปากกับใจไม่ตรงกันของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เราทำได้แต่เพียงตั้งข้อสังเกตเท่านั้น ว่าปรากฏการณ์ปากกับใจไม่ตรงกันนี้มักจะเกิดขึ้นกับสังคมที่สลับซับซ้อนอยู่เสมอ ยิ่งสลับซับซ้อนมากขึ้นเท่าไร ปรากฏการณ์ที่ว่าก็ยิ่งมีมากขึ้น
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นขอให้ดูคนในชนบทเป็นตัวอย่าง หากใครที่เคยได้สัมผัสหรือพูดคุยกับคนชนบทแล้ว จะพบว่า คนชนบทพูดอะไรก็พูดอย่างจริงใจหรือด้วยประสาซื่อ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคนในชนบทไม่ได้มีชีวิตที่สลับซับซ้อนอะไรมากนักและมีชีวิตที่เรียบง่ายสมถะ ชีวิตแบบนี้ไม่มีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนถึงกับต้องปกปิดผู้คนด้วยการพูดอะไรที่ไม่ตรงกับใจ
ที่ผมยกชนบทขึ้นมานี้ผมว่าไปตามภาพรวม ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าคนทุกคนในชนบทจะเป็นเช่นนั้นไปเสียหมด หรือไม่มีใครที่ไม่กะล่อนเลยก็หาไม่ ยิ่งวัตถุนิยมและบริโภคนิยมทะลักเข้าไปในชนบทจากสิบยี่สิบปีที่ผ่านมาด้วยแล้ว ภาพของชนบทที่ผมว่ามาข้างต้นก็เปลี่ยนไปไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
ผมควรกล่าวด้วยว่า ปรากฏการณ์ของคนที่ปากกับใจไม่ตรงกันนี้ในหลายกรณีก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด ซึ่งเราสามารถพบเห็นว่า บางครั้งคำที่ว่านี้ได้ถูกนำมาพูดล้อเล่นกันในหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทสนมกันและคนที่ถูกล้อก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด
แน่นอนว่า การที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะอาการปากกับใจไม่ตรงกันของคนคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่สลักสำคัญอะไรมากนัก โดยสรุปก็คือ ถ้าเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปของการคบหากันฉันเพื่อนฝูงแล้ว คนคนนี้ย่อมเป็นคนที่จริงใจกับเพื่อนอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง
แต่ในตรงข้าม ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญ สังคมก็จะมีปฏิกิริยาทันทีทันควันขึ้นมาเหมือนกัน
ผมคิดว่า ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่า กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่สังคมแทบทุกสังคมมักจะให้ความคาดหวังในเรื่องปากกับใจตรงกันเป็นอย่างสูงก็คือ กลุ่มนักการเมือง แต่ก็มีน้อยครั้งที่สามารถคาดหวังได้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมานักการเมืองมักจะถูกสังคมค่อนแคะอยู่เสมอว่า ปากกับใจไม่ตรงกัน เช่น บอกว่าจะทำโน่นทำนี่ให้ พอเอาเข้าจริงก็เหลวเป๋ว พร้อมกับข้อแก้ตัวไปต่างๆ นานา หรือบอกว่าจะไม่คอร์รัปชันหรือจะปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง แต่เอาเข้าจริงกลับปรากฏว่ามีการคอรัปชั่นกันอย่างเอิกเกริก เป็นต้น
ด้วยเหตุที่คาดหวังเช่นนั้น (แต่ไม่เคยได้) สังคมจึงมักจะส่งเสริมหรือชื่นชมนักการเมืองที่ปากกับใจตรงกันเสมอมา อย่างเช่นกรณีของ คุณประทิน สันติประภพ นั่นปะไร พอท่านไปชกหน้า ส.ว.คนหนึ่งเข้า ก็รู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตนและได้ประกาศลาออก แล้วท่านก็ทำอย่างท่านพูดจริงๆ ซ้ำยังทำอย่างสมเหตุสมผลอีกด้วย คือเลือกลาออกเอาตอนที่ไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ให้เสียงบประมาณแผ่นดินไปเปล่าๆ ปลี้ๆ
ถึงแม้สังคมจะชื่นชมนักการเมืองที่ปากกับใจตรงกันก็ตาม แต่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่า จำเป็นต้องเป็นทุกกรณีเสมอไปหรือไม่ที่นักการเมืองประเภทที่ว่าจะต้องได้รับความชื่นชม?
ที่สงสัยก็เพราะผมเห็นสังคมและสื่อมวลชนต่างสามัคคีกันวิพากษ์วิจารณ์ คุณทักษิณ ชินวัตร กันอย่างหนักเมื่อ คุณทักษิณ ท่านประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำภายหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมไป 2 เขตเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ว่าต่อไปจะดูแลจังหวัดที่เลือก ส.ส.ของพรรคไทยรักไทยยกจังหวัดเป็นพิเศษ ส่วนจังหวัดไหนไว้วางใจน้อยก็จะดูแลทีหลัง
นอกจากนี้ ตอนที่ คุณทักษิณ ประกาศถ้อยคำดังกล่าวนั้น ท่านไม่ได้ประกาศเปล่านะครับ ท่านยังเปิดเผยอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกด้วยว่า ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม พูดง่ายๆ คือ ที่ประกาศไปนั้นท่านพูดจากใจจริง ซึ่งถ้าว่าตามบทความนี้ก็ต้องว่า ท่านเป็นคนปากกับใจตรงกันนั่นเอง
แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน คือ ถ้อยแถลงของท่านได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันจนไม่มีชิ้นดี ถึงท่านจะมาแก้เกี้ยวทีหลังว่าท่านพูดไปเพราะเครียดกับงาน แต่ดูเหมือนว่าไม่สามารถลบล้างสิ่งที่ท่านได้ประกาศไป ก็จะลบล้างได้อย่างไรละครับ เพราะเมื่อตอนต้นปีนี้แท้ๆ ท่านเองก็ประกาศในทำนองเดียวกันนี้หลังรู้ผลการเลือกตั้งที่ปักษ์ใต้ว่าประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.ไปเกือบทั้งยวง
เอาเป็นว่าทุกคนต่างเชื่อว่า คุณทักษิณ ได้ประกาศอย่างชนิดที่ปากกับใจตรงกันจริงๆ
เห็นมั้ยละครับว่า คนที่ปากกับใจตรงกันนั้นไม่แน่เสมอไปว่าจะได้รับคำชื่นชมไปหมดทุกคน ทั้งๆ ที่เราต่างก็เรียกร้องที่จะให้สังคมมีคนแบบนี้ โดยเฉพาะนักการเมือง
ตรงนี้แหละครับที่ผมคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างเนื้อหาที่นักการเมืองพูดออกมาด้วยความจริงใจกับความจริงใจในแบบปากกับใจตรงกันของนักการเมือง กล่าวคือว่า เนื้อหาที่นักการเมืองพูดออกมาด้วยความจริงใจนั้น เราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยย่อมเป็นสิทธิของเรา และย่อมเป็นเสรีภาพของเราที่จะสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องยอมรับว่า การที่นักการเมืองมีปากกับใจตรงกันนั้นเป็นเรื่องที่ควรชื่นชมยกย่องด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุผลในประการหลัง ผมจึงสนับสนุนให้ คุณทักษิณ รักษาคุณสมบัติข้อนี้เอาไว้ต่อไป เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนเดียวกันนี้เมื่อ 9 ปีก่อน (พฤศจิกายน 2540) ผมเคยยกย่อง คุณสมัคร สุนทรเวช ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ผ่านบทความชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในคอลัมน์ “บูรพาวาทกรรม” ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันแห่งนี้เช่นกัน ซึ่งหลังจากคุณสมัคร แล้วผมก็ไม่พบนักการเมืองคนไหนที่ปากกับใจตรงกันอีกเลย นอกจาก คุณทักษิณ
และที่ผมยกย่องชื่นชมนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวกันอีกด้วย นั่นคือ การได้รู้ความคิดจากใจจริงๆ ของนักการเมือง (ซึ่งหาได้ยาก หากไม่พูดออกมาด้วยความเผลอเรอหรือโง่ๆ) และเมื่อได้รู้ ผมก็สามารถใช้ดุลยพินิจของผมได้อย่างถ่องแท้ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกนักการเมืองคนนั้นให้มีตำแหน่งทางการเมือง
เช่น เมื่อผมรู้ความคิดจากใจจริงของ คุณสมัคร ผมก็สามารถตัดสินใจที่จะไม่เลือกเขา เพราะผมไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา ผิดกับนักการเมืองแบบปากอย่างใจอย่างที่ทำให้ผมและพ่อแม่พี่น้องต้องเขวอยู่เรื่อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงเชียร์ คุณทักษิณ ได้มีปากกับใจที่ตรงกันเช่นนี้ต่อไปให้สมกับที่ท่านบอกว่าเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่อ้อมค้อม ฉะนั้น หากจะมีสิ่งใดที่ยังค้างคาใจ คุณทักษิณ แต่ยังไม่พูดออกมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความเกรงใจก็ดี หรือกลัวว่าคนอื่นจะวิพากษ์วิจารณ์ก็ดี ผมขอให้พูดออกมาเถิด อย่าได้เก็บเอาไว้เลย
ขอให้ คุณทักษิณ เชื่อเถิดว่า อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งละที่รอฟัง คุณทักษิณ พูดแบบปากกับใจตรงกันอย่างมีความสุขยิ่ง
เหตุการณ์ในแบบปากกับใจไม่ตรงกันนี้มีมานานแล้วในทุกสังคม ทั้งนี้อาจดูได้จากตำนานหรือคัมภีร์โบราณของแต่ละสังคมที่มักจะมีที่ใดที่หนึ่งหรือตอนใดตอนหนึ่ง ที่บอกเล่าเรื่องราวของคนที่ปากกับใจไม่ตรงกัน เช่นใน “ไบเบิล” นั้น แค่เริ่มเรื่องได้ไม่นาน (ไม่กี่หน้า) อาดัมกับอีฟก็แสดงอาการแบบปากกับใจไม่ตรงกันกับพระเจ้าเสียแล้ว ด้วยได้ไปกินผลแอปเปิ้ลที่พระเจ้าได้ห้ามเอาไว้ เป็นต้น
คงเป็นการยากที่จะบอกได้ตรงๆ ว่า อาการปากกับใจไม่ตรงกันของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เราทำได้แต่เพียงตั้งข้อสังเกตเท่านั้น ว่าปรากฏการณ์ปากกับใจไม่ตรงกันนี้มักจะเกิดขึ้นกับสังคมที่สลับซับซ้อนอยู่เสมอ ยิ่งสลับซับซ้อนมากขึ้นเท่าไร ปรากฏการณ์ที่ว่าก็ยิ่งมีมากขึ้น
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นขอให้ดูคนในชนบทเป็นตัวอย่าง หากใครที่เคยได้สัมผัสหรือพูดคุยกับคนชนบทแล้ว จะพบว่า คนชนบทพูดอะไรก็พูดอย่างจริงใจหรือด้วยประสาซื่อ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคนในชนบทไม่ได้มีชีวิตที่สลับซับซ้อนอะไรมากนักและมีชีวิตที่เรียบง่ายสมถะ ชีวิตแบบนี้ไม่มีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนถึงกับต้องปกปิดผู้คนด้วยการพูดอะไรที่ไม่ตรงกับใจ
ที่ผมยกชนบทขึ้นมานี้ผมว่าไปตามภาพรวม ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าคนทุกคนในชนบทจะเป็นเช่นนั้นไปเสียหมด หรือไม่มีใครที่ไม่กะล่อนเลยก็หาไม่ ยิ่งวัตถุนิยมและบริโภคนิยมทะลักเข้าไปในชนบทจากสิบยี่สิบปีที่ผ่านมาด้วยแล้ว ภาพของชนบทที่ผมว่ามาข้างต้นก็เปลี่ยนไปไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
ผมควรกล่าวด้วยว่า ปรากฏการณ์ของคนที่ปากกับใจไม่ตรงกันนี้ในหลายกรณีก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด ซึ่งเราสามารถพบเห็นว่า บางครั้งคำที่ว่านี้ได้ถูกนำมาพูดล้อเล่นกันในหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทสนมกันและคนที่ถูกล้อก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด
แน่นอนว่า การที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะอาการปากกับใจไม่ตรงกันของคนคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่สลักสำคัญอะไรมากนัก โดยสรุปก็คือ ถ้าเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปของการคบหากันฉันเพื่อนฝูงแล้ว คนคนนี้ย่อมเป็นคนที่จริงใจกับเพื่อนอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง
แต่ในตรงข้าม ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญ สังคมก็จะมีปฏิกิริยาทันทีทันควันขึ้นมาเหมือนกัน
ผมคิดว่า ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่า กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่สังคมแทบทุกสังคมมักจะให้ความคาดหวังในเรื่องปากกับใจตรงกันเป็นอย่างสูงก็คือ กลุ่มนักการเมือง แต่ก็มีน้อยครั้งที่สามารถคาดหวังได้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมานักการเมืองมักจะถูกสังคมค่อนแคะอยู่เสมอว่า ปากกับใจไม่ตรงกัน เช่น บอกว่าจะทำโน่นทำนี่ให้ พอเอาเข้าจริงก็เหลวเป๋ว พร้อมกับข้อแก้ตัวไปต่างๆ นานา หรือบอกว่าจะไม่คอร์รัปชันหรือจะปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง แต่เอาเข้าจริงกลับปรากฏว่ามีการคอรัปชั่นกันอย่างเอิกเกริก เป็นต้น
ด้วยเหตุที่คาดหวังเช่นนั้น (แต่ไม่เคยได้) สังคมจึงมักจะส่งเสริมหรือชื่นชมนักการเมืองที่ปากกับใจตรงกันเสมอมา อย่างเช่นกรณีของ คุณประทิน สันติประภพ นั่นปะไร พอท่านไปชกหน้า ส.ว.คนหนึ่งเข้า ก็รู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตนและได้ประกาศลาออก แล้วท่านก็ทำอย่างท่านพูดจริงๆ ซ้ำยังทำอย่างสมเหตุสมผลอีกด้วย คือเลือกลาออกเอาตอนที่ไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ให้เสียงบประมาณแผ่นดินไปเปล่าๆ ปลี้ๆ
ถึงแม้สังคมจะชื่นชมนักการเมืองที่ปากกับใจตรงกันก็ตาม แต่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่า จำเป็นต้องเป็นทุกกรณีเสมอไปหรือไม่ที่นักการเมืองประเภทที่ว่าจะต้องได้รับความชื่นชม?
ที่สงสัยก็เพราะผมเห็นสังคมและสื่อมวลชนต่างสามัคคีกันวิพากษ์วิจารณ์ คุณทักษิณ ชินวัตร กันอย่างหนักเมื่อ คุณทักษิณ ท่านประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำภายหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมไป 2 เขตเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ว่าต่อไปจะดูแลจังหวัดที่เลือก ส.ส.ของพรรคไทยรักไทยยกจังหวัดเป็นพิเศษ ส่วนจังหวัดไหนไว้วางใจน้อยก็จะดูแลทีหลัง
นอกจากนี้ ตอนที่ คุณทักษิณ ประกาศถ้อยคำดังกล่าวนั้น ท่านไม่ได้ประกาศเปล่านะครับ ท่านยังเปิดเผยอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกด้วยว่า ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม พูดง่ายๆ คือ ที่ประกาศไปนั้นท่านพูดจากใจจริง ซึ่งถ้าว่าตามบทความนี้ก็ต้องว่า ท่านเป็นคนปากกับใจตรงกันนั่นเอง
แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน คือ ถ้อยแถลงของท่านได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันจนไม่มีชิ้นดี ถึงท่านจะมาแก้เกี้ยวทีหลังว่าท่านพูดไปเพราะเครียดกับงาน แต่ดูเหมือนว่าไม่สามารถลบล้างสิ่งที่ท่านได้ประกาศไป ก็จะลบล้างได้อย่างไรละครับ เพราะเมื่อตอนต้นปีนี้แท้ๆ ท่านเองก็ประกาศในทำนองเดียวกันนี้หลังรู้ผลการเลือกตั้งที่ปักษ์ใต้ว่าประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.ไปเกือบทั้งยวง
เอาเป็นว่าทุกคนต่างเชื่อว่า คุณทักษิณ ได้ประกาศอย่างชนิดที่ปากกับใจตรงกันจริงๆ
เห็นมั้ยละครับว่า คนที่ปากกับใจตรงกันนั้นไม่แน่เสมอไปว่าจะได้รับคำชื่นชมไปหมดทุกคน ทั้งๆ ที่เราต่างก็เรียกร้องที่จะให้สังคมมีคนแบบนี้ โดยเฉพาะนักการเมือง
ตรงนี้แหละครับที่ผมคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างเนื้อหาที่นักการเมืองพูดออกมาด้วยความจริงใจกับความจริงใจในแบบปากกับใจตรงกันของนักการเมือง กล่าวคือว่า เนื้อหาที่นักการเมืองพูดออกมาด้วยความจริงใจนั้น เราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยย่อมเป็นสิทธิของเรา และย่อมเป็นเสรีภาพของเราที่จะสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องยอมรับว่า การที่นักการเมืองมีปากกับใจตรงกันนั้นเป็นเรื่องที่ควรชื่นชมยกย่องด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุผลในประการหลัง ผมจึงสนับสนุนให้ คุณทักษิณ รักษาคุณสมบัติข้อนี้เอาไว้ต่อไป เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนเดียวกันนี้เมื่อ 9 ปีก่อน (พฤศจิกายน 2540) ผมเคยยกย่อง คุณสมัคร สุนทรเวช ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ผ่านบทความชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในคอลัมน์ “บูรพาวาทกรรม” ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันแห่งนี้เช่นกัน ซึ่งหลังจากคุณสมัคร แล้วผมก็ไม่พบนักการเมืองคนไหนที่ปากกับใจตรงกันอีกเลย นอกจาก คุณทักษิณ
และที่ผมยกย่องชื่นชมนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวกันอีกด้วย นั่นคือ การได้รู้ความคิดจากใจจริงๆ ของนักการเมือง (ซึ่งหาได้ยาก หากไม่พูดออกมาด้วยความเผลอเรอหรือโง่ๆ) และเมื่อได้รู้ ผมก็สามารถใช้ดุลยพินิจของผมได้อย่างถ่องแท้ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกนักการเมืองคนนั้นให้มีตำแหน่งทางการเมือง
เช่น เมื่อผมรู้ความคิดจากใจจริงของ คุณสมัคร ผมก็สามารถตัดสินใจที่จะไม่เลือกเขา เพราะผมไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา ผิดกับนักการเมืองแบบปากอย่างใจอย่างที่ทำให้ผมและพ่อแม่พี่น้องต้องเขวอยู่เรื่อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงเชียร์ คุณทักษิณ ได้มีปากกับใจที่ตรงกันเช่นนี้ต่อไปให้สมกับที่ท่านบอกว่าเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่อ้อมค้อม ฉะนั้น หากจะมีสิ่งใดที่ยังค้างคาใจ คุณทักษิณ แต่ยังไม่พูดออกมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความเกรงใจก็ดี หรือกลัวว่าคนอื่นจะวิพากษ์วิจารณ์ก็ดี ผมขอให้พูดออกมาเถิด อย่าได้เก็บเอาไว้เลย
ขอให้ คุณทักษิณ เชื่อเถิดว่า อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งละที่รอฟัง คุณทักษิณ พูดแบบปากกับใจตรงกันอย่างมีความสุขยิ่ง