ถาม กฎไตรลักษณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ผู้นำใหม่ทุกระดับ จะต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างเกี่ยวกับกฎธรรมชาติด้านสังขตธรรม (สภาวธรรม, สิ่งที่มาประชุมกันแล้วสิ้นไป) คือเกิดมาทั้งทีชีวิตนี้ต้องรู้ให้ได้ เพราะการรู้สภาวะสังขตธรรม ก็คือการเข้าใจกฎไตรลักษณ์ เข้าใจกฎอิทัปปัจจยตา (ความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล) และเข้าใจกฎปฏิจจสมุปบาทอย่างกระจ่างแจ้ง "ผู้ใดเห็นกฎปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ได้เห็นธรรม ผู้นั้นเห็น (พบ) พระพุทธเจ้า"
"สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความแตกต่างหลากหลาย สิ่งนั้นเป็นสังขตธรรม" สิ่งใดเป็นสังขตธรรม สิ่งนั้นต้องตกอยู่ใต้อำนาจกฎไตรลักษณ์ สิ่งใดตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ สิ่งนั้นไม่เที่ยง (อนิจจัง) สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ (ทุกขัง, ขัดแย้งกันระหว่างสิ่งสองสิ่ง, ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้) สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่เป็นตัวตน (อนัตตา) สมดังพุทธพจน์ "สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งมวลนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา" เป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา)
ทีนี้เราลองพิจารณาร่างกายของเรา มีองค์ประกอบคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เรียกด้านรูปหรือกาย และด้านนามธรรมได้แก่ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุหรือธาตุรู้มาประชุมกัน เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิไปจนถึงตายเพราะกายแตกดับ จะเห็ยว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์
ทีนี้ถามว่า "กฎไตรลักษณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร" อันว่า กฎไตรลักษณ์นี้เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรือตาเนื้อ แต่รู้ด้วยปัญญาตามเป็นไป จากการ "วิปัสสนา" การกระทำอันเป็นอุบายเพื่อให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง จึงรู้ได้ด้วย "ธรรมจักษุ"
เรานำแก้วใบหนึ่งมาจ้องดู พิจารณาดู ไม่เห็นกฎไตรลักษณ์ แต่ถ้าเรารู้ว่าแก้วใบนี้ เป็นสิ่งที่ธาตุต่างๆ อย่างน้อยสองอย่างขึ้นไป มาประชุมกันด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็ตาม ด้วยมนุษย์สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีก็ตาม สิ่งนั้นต้องตกอยู่ในอำนาจกฎไตรลักษณ์ ใครจะมาต้านทานอย่างไรก็ไม่เป็นผล สักวันหนึ่งแก้วใบนี้ก็จะเสื่อมสลายไปในที่สุด ทั้งรูปสังขารและจิตสังขาร เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์
ชีวิตมนุษย์ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 ต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์อย่างแน่นอนดังที่ได้กล่าวแล้ว เราจะไม่แก่ได้ไหม ก็ไม่ได้ ไม่เจ็บได้ไหม ก็ไม่ได้ ไม่ตายได้ไหม ก็ตอบว่าไม่ได้เช่นกัน "สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา" นี่คือสุดยอดวิชาแห่งพระพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นอรหัตตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
ประโยชน์ยิ่งใหญ่มหาศาลจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ศึกษาเข้าใจกฎไตรลักษณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างนี้เรื่อยไป ตามที่กล่าวแล้วก็จะไม่ยึดมั่น ถ่ายถอนถือมั่นว่านี่เป็นตัวเรา นี่เป็นของเรา เราจะเป็นนั่นเป็นนี่ ให้เบาบางลง ให้เบาบางลง เป็นอุปการะ เป็นปัจจัยต่อการดำเนินชีวิตตามวิถีธรรม มีปณิธานที่ถูกต้องทั้งตนเองและประเทศชาติ "เราคือพุทธะ ผู้ลดละความกลัว (อสุรกาย) ความโลภ (เปรต) ความโกรธ (สัตว์นรก) ความหลง (เดรัจฉาน) ให้เบาบางลง ให้เบาบางลง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สร้างสรรค์มหาเมตตาปัญญาญาณ ให้มีความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อรับใช้มนุษยชาติ"
จะทำอย่างไรที่จะให้คนไทยเข้าใจกฎไตรลักษณ์ได้มากๆ ขึ้น ก็จะต้องใช้ความเพียร ความพยายาม ความเมตตามหาเมตตาในการอธิบาย อธิบาย ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงดำเนินมาแล้วว่า "พร่ำสอน" และอันนี้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน โดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็อุปการะหนึ่งที่ได้มีกุศลเจตนาเดินตามรอยบาทพระบรมศาสดา ย่อมเป็นมหากุศลและเป็นแบบอย่างที่ดียิ่ง
การเข้าใจกฎธรรมชาติในหลายๆ มิติ ย่อมเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติ ต่อปวงชนและตนเองเป็นอันมาก เมื่อเรารู้ตามความเป็นจริงมากขึ้นๆ ก็ย่อมที่จะลดละกิเลสให้เบาบางลงๆ ไม่เห็นแก่ตัว จะมีชีวิตอยู่เพื่อหน้าที่, ภารกิจเพื่อประเทศชาติ "หัวใจดวงนี้มีไว้มอบให้แผ่นดิน" ความคิดความอ่านก็จะกว้างไกล ยิ่งใหญ่ ก้าวหน้าด้วยเพราะเจริญรอยบาทพระบรมศาสดาแล้วนั่นเอง
แต่ทุกวันนี้ถ้าไปมองนักการเมือง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชนอันสำคัญยิ่ง ไม่ใคร่จะสนใจสัจธรรมคำสอนในศาสนาของตนเอง ถ้านักการเมืองไม่ศึกษา ไม่เป็นแบบอย่าง ไม่รู้จักตนเอง เป็นนักการเมืองแบบสัญชาตญาณ คิดดูเถิดผลเป็นอย่างไร ก็เป็นไปแล้วดังเช่นทุกวันนี้ เมื่อไม่รู้จักตนเองแล้วจะคิดแก้ปัญหาประเทศชาติได้อย่างไร เขาจะเป็นผู้แทนได้อย่างไร กลายเป็นผู้แทนที่รับใช้ฝ่ายกิเลสมาร ทั้งปล่อยและส่งเสริมให้มีอบายมุขเต็มบ้านเต็มเมือง
จะเป็นนักการเมืองต้องศึกษาสัจจะ ปฏิบัติธรรมให้เป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ไปทอดกฐินเพียงอย่างเดียว ที่กล่าวมาเพราะเห็นความสำคัญของความเป็นผู้แทนปวงชน ชี้ด้วยความเมตตา เมตตา นักการเมืองต้องเป็นผู้แทนธรรมะ นำธรรมะไปปฏิบัตินำประชาชนไปสู่สันติสุข
เราน่าจะฉุกคิดกันบ้างว่า...การปกครองปัจจุบัน ทำไมเรามีรัฐธรรมนูญมากมายมโหฬาร ทำไมยิ่งเลือกตั้ง ยิ่งปกครอง ยิ่งมีสถาบันตรวจสอบมากมาย แต่ประชาชนกลับยิ่งยากจน ยากจนลงๆ เราต้องกู้เงินมาบริหารประเทศ พูดง่ายๆ ยิ่งปกครองยิ่งเป็นหนี้ ปวงชนไทยน่าจะคิดกันบ้าง ทั้งไม่ใช่อะไรหรอกเพียงระบอบการเมืองไทย ไม่มีหลักธรรมเป็นหลักในการปกครองนั่นเอง
แม้ว่า "พระประมุขแห่งแผ่นดิน" ได้ทรงกล่าวเตือนให้สติ ให้คิด แต่เชื่อเถอะนักการเมืองไทยนั้นรับรองได้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา การขัดขากันนั้นอยู่ที่ระบอบการเมืองเป็นเบื้องต้น ระบอบรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคที่ร้ายแรงของแผ่นดิน จึงทำให้เกิดคิดอย่างทำอย่าง คิดได้แต่ทำไม่ได้
ถ้านักการเมืองเดินตามวิถีธรรม ตามคำสอนแห่งพระพุทธองค์แล้วจะแก้ไขเหตุวิกฤตของประเทศชาติได้ Double Standard ก็จะหมดไป ความยิ่งใหญ่ของแผ่นดินจะกลับคืนมา
ถ้าจะย้อนกลับไปดูตัวอย่าง พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ท่านทรงสร้างชาติไทยด้วยหลักธรรมอะไร? พระองค์ทรงสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นด้วยธรรมะ พระองค์ทรงฝักใฝ่พระพุทธศาสนา นิมนต์พระสงฆ์จากลังกา และนครศรีธรรมราช มาเป็นพระสังฆราชในหมู่คณะสงฆ์ให้เป็นปึกแผ่น ทรงสร้างพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ขึ้นไว้ในท่ามกลางดงตาลเมืองสุโขทัย เมื่อถึงวันพระ 8 ค่ำ 15 ค่ำ ก็นิมนต์พระสงฆ์มาเทศนาสั่งสอนศีลธรรมแก่ราษฎร
ประชาชนในเมืองสุโขทัยสมัยนั้นจึงอยู่ในศีล กินในธรรม ตักบาตรทำบุญ ถือศีลฟังธรรม ทำมาหากินด้วยความสุข เพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำประชาชนในทางบุญกุศล ชักนำให้ประชาชนสร้างเสริมปัญญาสว่างไสวในทางพระพุทธศาสนา ปัญญาในทางศาสนาย่อมเป็นปัจจัยให้ประชาชนมีจิตที่ดี คิดดี ทำดี ประเทศชาติก็สงบสุข
แต่ทุกวันนี้นักการเมืองไทยด้อยคุณภาพ ในสมองมีแต่ความโลภ จะคิดแต่จะกอบโกย เพื่อสร้างทุนซื้อเสียง ซื้ออำนาจ ชักนำนักการเมืองใหญ่น้อยทุกระดับ ล้วนเป็นไปในทางขี้โกง คอร์รัปชัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นนักการเมืองก็หวังที่จะเข้ามาแทะเล็มชาติบ้านเมือง มึงที กูที อะไรที่เป็นสมบัติแห่งชาติ เป็นสมบัติของแผ่นดิน ก็ใช้ชั้นเชิงกลอุบายทั้งอำนาจและความฉ้อฉลที่มีอยู่ในใจ สลับสับเปลี่ยนโยกย้ายเอามาเป็นของตนและพวกพ้อง นักการเมืองไทยภายใต้ระบอบปัจจุบัน (เผด็จการระบบรัฐสภา) ล้วนเป็นสัญชาติปลวก แทะเล็มบ้านเมืองจนพินาศ
อันนี้เกิดจากความหลงโดยรวมของชนในแผ่นดิน และโดยเฉพาะผู้นำในสถาบันหลักๆ ของชาติต่างก็อ่อนแอ สิ้นปัญญา หมดทางแก้ เห็นความชั่วของนักการเมืองเป็นเรื่องธรรมดา มองไม่เห็นระบอบการเมืองที่เลวร้ายอันเป็นเหตุแห่งการทำลายประเทศชาติและประชาชน
ผู้เขียนได้ชี้แสดงเหตุผลไว้มากแล้วว่า อุปสรรคของประเทศไทย คือ ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา (แต่ถูกบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยชูประเด็นการเลือกตั้ง ก็การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการหนึ่ง และการมีรัฐสภา, ส.ส., ส.ว. ก็เป็นเพียงรูปแบบการปกครองและวิธีการปกครองเท่านั้น หากใช่ระบอบประชาธิปไตยไม่ ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องคือ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ก็ในเมื่อความเป็นจริงอำนาจอธิปไตยไม่เป็นของปวงชน และพวกเขารู้สึกว่าไม่มีเสรีภาพ และความเสมอภาคทางการเมือง อันเป็นจุดอ่อน เป็นเงื่อนไข และพวกไม่หวังดีต่อประเทศก็จ้องอยู่แล้ว จึงทำให้ขบวนการก่อการร้ายและแนวร่วมแบ่งแยกดินแดนเติบโตขึ้น
ผู้มีอำนาจหรือใครที่อยากจะคิดแก้ปัญหาบ้านเมืองให้รอดปลอดภัย ชนในชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นเอกภาพและมั่นคงแล้วละก็ จะต้องอิสระเสียจากระบอบการเมืองปัจจุบัน แล้วสร้างวิธีคิดจากการวิปัสสนา เพื่อให้รู้แจ้งกฎธรรมชาติ จากนั้นประยุกต์ให้เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทยเป็นหลักธรรมาธิปไตย 9 โดยมีหลักการที่ท้าทายต่อปัญญาชนทั้งหลาย ว่าโดยย่อคือ 1. หลักธรรมาธิปไตย 2. หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ 3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน 4. หลักเสรีภาพบริบูรณ์ 5. หลักความเสมอภาค 6. ภราดรภาพ 7. หลักดุลยภาพ 8. หลักเอกภาพ 9. หลักนิติธรรม จากนั้นให้ปรับปรุงหมวดและมาตราต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครองทั้ง 9 หรือหมายความว่า หมวดและมาตราต่างๆ จะต้องขึ้นต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เสมอไป
และมีทางเดียวเท่านั้น คือ องค์พระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ ทรงสถาปนาหลักการปกครองแบบธรรมาธิปไตย จากนั้นก็ดำเนินการในขั้นตอนปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่าไม่ยากเลย ทำสำเร็จจะสามารถขจัดเงื่อนไขอันเลวร้ายต่างๆ ได้อย่างมากมายในแผ่นดินนี้ นำเสนอเพื่อส่งเสริมพระบรมเดชานุภาพแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์บนฐานแห่งอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้มั่นคงยั่งยืนสืบไป
และในท้ายนี้ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย ได้ไปให้กำลังใจ คุณสมาน ศรีงาม นักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ได้อดข้าวแบบพุทธอหิงสาธรรม จุดประกายแสงธรรมนำแผ่นดิน ขจัดสิ้นเหตุวิกฤตชาติ ประท้วงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รักษาสมบัติแห่งชาติ ไม่ให้ตกไปเป็นของผู้มีอำนาจบางคนที่บริเวณหน้าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ บางกรวย อย่าลืมไปให้กำลังใจกันนะ
ผู้นำใหม่ทุกระดับ จะต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างเกี่ยวกับกฎธรรมชาติด้านสังขตธรรม (สภาวธรรม, สิ่งที่มาประชุมกันแล้วสิ้นไป) คือเกิดมาทั้งทีชีวิตนี้ต้องรู้ให้ได้ เพราะการรู้สภาวะสังขตธรรม ก็คือการเข้าใจกฎไตรลักษณ์ เข้าใจกฎอิทัปปัจจยตา (ความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล) และเข้าใจกฎปฏิจจสมุปบาทอย่างกระจ่างแจ้ง "ผู้ใดเห็นกฎปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ได้เห็นธรรม ผู้นั้นเห็น (พบ) พระพุทธเจ้า"
"สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความแตกต่างหลากหลาย สิ่งนั้นเป็นสังขตธรรม" สิ่งใดเป็นสังขตธรรม สิ่งนั้นต้องตกอยู่ใต้อำนาจกฎไตรลักษณ์ สิ่งใดตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ สิ่งนั้นไม่เที่ยง (อนิจจัง) สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ (ทุกขัง, ขัดแย้งกันระหว่างสิ่งสองสิ่ง, ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้) สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่เป็นตัวตน (อนัตตา) สมดังพุทธพจน์ "สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งมวลนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา" เป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา)
ทีนี้เราลองพิจารณาร่างกายของเรา มีองค์ประกอบคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เรียกด้านรูปหรือกาย และด้านนามธรรมได้แก่ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุหรือธาตุรู้มาประชุมกัน เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิไปจนถึงตายเพราะกายแตกดับ จะเห็ยว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์
ทีนี้ถามว่า "กฎไตรลักษณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร" อันว่า กฎไตรลักษณ์นี้เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรือตาเนื้อ แต่รู้ด้วยปัญญาตามเป็นไป จากการ "วิปัสสนา" การกระทำอันเป็นอุบายเพื่อให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง จึงรู้ได้ด้วย "ธรรมจักษุ"
เรานำแก้วใบหนึ่งมาจ้องดู พิจารณาดู ไม่เห็นกฎไตรลักษณ์ แต่ถ้าเรารู้ว่าแก้วใบนี้ เป็นสิ่งที่ธาตุต่างๆ อย่างน้อยสองอย่างขึ้นไป มาประชุมกันด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็ตาม ด้วยมนุษย์สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีก็ตาม สิ่งนั้นต้องตกอยู่ในอำนาจกฎไตรลักษณ์ ใครจะมาต้านทานอย่างไรก็ไม่เป็นผล สักวันหนึ่งแก้วใบนี้ก็จะเสื่อมสลายไปในที่สุด ทั้งรูปสังขารและจิตสังขาร เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์
ชีวิตมนุษย์ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 ต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์อย่างแน่นอนดังที่ได้กล่าวแล้ว เราจะไม่แก่ได้ไหม ก็ไม่ได้ ไม่เจ็บได้ไหม ก็ไม่ได้ ไม่ตายได้ไหม ก็ตอบว่าไม่ได้เช่นกัน "สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา" นี่คือสุดยอดวิชาแห่งพระพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นอรหัตตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
ประโยชน์ยิ่งใหญ่มหาศาลจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ศึกษาเข้าใจกฎไตรลักษณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างนี้เรื่อยไป ตามที่กล่าวแล้วก็จะไม่ยึดมั่น ถ่ายถอนถือมั่นว่านี่เป็นตัวเรา นี่เป็นของเรา เราจะเป็นนั่นเป็นนี่ ให้เบาบางลง ให้เบาบางลง เป็นอุปการะ เป็นปัจจัยต่อการดำเนินชีวิตตามวิถีธรรม มีปณิธานที่ถูกต้องทั้งตนเองและประเทศชาติ "เราคือพุทธะ ผู้ลดละความกลัว (อสุรกาย) ความโลภ (เปรต) ความโกรธ (สัตว์นรก) ความหลง (เดรัจฉาน) ให้เบาบางลง ให้เบาบางลง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สร้างสรรค์มหาเมตตาปัญญาญาณ ให้มีความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อรับใช้มนุษยชาติ"
จะทำอย่างไรที่จะให้คนไทยเข้าใจกฎไตรลักษณ์ได้มากๆ ขึ้น ก็จะต้องใช้ความเพียร ความพยายาม ความเมตตามหาเมตตาในการอธิบาย อธิบาย ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงดำเนินมาแล้วว่า "พร่ำสอน" และอันนี้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน โดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็อุปการะหนึ่งที่ได้มีกุศลเจตนาเดินตามรอยบาทพระบรมศาสดา ย่อมเป็นมหากุศลและเป็นแบบอย่างที่ดียิ่ง
การเข้าใจกฎธรรมชาติในหลายๆ มิติ ย่อมเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติ ต่อปวงชนและตนเองเป็นอันมาก เมื่อเรารู้ตามความเป็นจริงมากขึ้นๆ ก็ย่อมที่จะลดละกิเลสให้เบาบางลงๆ ไม่เห็นแก่ตัว จะมีชีวิตอยู่เพื่อหน้าที่, ภารกิจเพื่อประเทศชาติ "หัวใจดวงนี้มีไว้มอบให้แผ่นดิน" ความคิดความอ่านก็จะกว้างไกล ยิ่งใหญ่ ก้าวหน้าด้วยเพราะเจริญรอยบาทพระบรมศาสดาแล้วนั่นเอง
แต่ทุกวันนี้ถ้าไปมองนักการเมือง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชนอันสำคัญยิ่ง ไม่ใคร่จะสนใจสัจธรรมคำสอนในศาสนาของตนเอง ถ้านักการเมืองไม่ศึกษา ไม่เป็นแบบอย่าง ไม่รู้จักตนเอง เป็นนักการเมืองแบบสัญชาตญาณ คิดดูเถิดผลเป็นอย่างไร ก็เป็นไปแล้วดังเช่นทุกวันนี้ เมื่อไม่รู้จักตนเองแล้วจะคิดแก้ปัญหาประเทศชาติได้อย่างไร เขาจะเป็นผู้แทนได้อย่างไร กลายเป็นผู้แทนที่รับใช้ฝ่ายกิเลสมาร ทั้งปล่อยและส่งเสริมให้มีอบายมุขเต็มบ้านเต็มเมือง
จะเป็นนักการเมืองต้องศึกษาสัจจะ ปฏิบัติธรรมให้เป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ไปทอดกฐินเพียงอย่างเดียว ที่กล่าวมาเพราะเห็นความสำคัญของความเป็นผู้แทนปวงชน ชี้ด้วยความเมตตา เมตตา นักการเมืองต้องเป็นผู้แทนธรรมะ นำธรรมะไปปฏิบัตินำประชาชนไปสู่สันติสุข
เราน่าจะฉุกคิดกันบ้างว่า...การปกครองปัจจุบัน ทำไมเรามีรัฐธรรมนูญมากมายมโหฬาร ทำไมยิ่งเลือกตั้ง ยิ่งปกครอง ยิ่งมีสถาบันตรวจสอบมากมาย แต่ประชาชนกลับยิ่งยากจน ยากจนลงๆ เราต้องกู้เงินมาบริหารประเทศ พูดง่ายๆ ยิ่งปกครองยิ่งเป็นหนี้ ปวงชนไทยน่าจะคิดกันบ้าง ทั้งไม่ใช่อะไรหรอกเพียงระบอบการเมืองไทย ไม่มีหลักธรรมเป็นหลักในการปกครองนั่นเอง
แม้ว่า "พระประมุขแห่งแผ่นดิน" ได้ทรงกล่าวเตือนให้สติ ให้คิด แต่เชื่อเถอะนักการเมืองไทยนั้นรับรองได้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา การขัดขากันนั้นอยู่ที่ระบอบการเมืองเป็นเบื้องต้น ระบอบรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคที่ร้ายแรงของแผ่นดิน จึงทำให้เกิดคิดอย่างทำอย่าง คิดได้แต่ทำไม่ได้
ถ้านักการเมืองเดินตามวิถีธรรม ตามคำสอนแห่งพระพุทธองค์แล้วจะแก้ไขเหตุวิกฤตของประเทศชาติได้ Double Standard ก็จะหมดไป ความยิ่งใหญ่ของแผ่นดินจะกลับคืนมา
ถ้าจะย้อนกลับไปดูตัวอย่าง พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ท่านทรงสร้างชาติไทยด้วยหลักธรรมอะไร? พระองค์ทรงสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นด้วยธรรมะ พระองค์ทรงฝักใฝ่พระพุทธศาสนา นิมนต์พระสงฆ์จากลังกา และนครศรีธรรมราช มาเป็นพระสังฆราชในหมู่คณะสงฆ์ให้เป็นปึกแผ่น ทรงสร้างพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ขึ้นไว้ในท่ามกลางดงตาลเมืองสุโขทัย เมื่อถึงวันพระ 8 ค่ำ 15 ค่ำ ก็นิมนต์พระสงฆ์มาเทศนาสั่งสอนศีลธรรมแก่ราษฎร
ประชาชนในเมืองสุโขทัยสมัยนั้นจึงอยู่ในศีล กินในธรรม ตักบาตรทำบุญ ถือศีลฟังธรรม ทำมาหากินด้วยความสุข เพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำประชาชนในทางบุญกุศล ชักนำให้ประชาชนสร้างเสริมปัญญาสว่างไสวในทางพระพุทธศาสนา ปัญญาในทางศาสนาย่อมเป็นปัจจัยให้ประชาชนมีจิตที่ดี คิดดี ทำดี ประเทศชาติก็สงบสุข
แต่ทุกวันนี้นักการเมืองไทยด้อยคุณภาพ ในสมองมีแต่ความโลภ จะคิดแต่จะกอบโกย เพื่อสร้างทุนซื้อเสียง ซื้ออำนาจ ชักนำนักการเมืองใหญ่น้อยทุกระดับ ล้วนเป็นไปในทางขี้โกง คอร์รัปชัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นนักการเมืองก็หวังที่จะเข้ามาแทะเล็มชาติบ้านเมือง มึงที กูที อะไรที่เป็นสมบัติแห่งชาติ เป็นสมบัติของแผ่นดิน ก็ใช้ชั้นเชิงกลอุบายทั้งอำนาจและความฉ้อฉลที่มีอยู่ในใจ สลับสับเปลี่ยนโยกย้ายเอามาเป็นของตนและพวกพ้อง นักการเมืองไทยภายใต้ระบอบปัจจุบัน (เผด็จการระบบรัฐสภา) ล้วนเป็นสัญชาติปลวก แทะเล็มบ้านเมืองจนพินาศ
อันนี้เกิดจากความหลงโดยรวมของชนในแผ่นดิน และโดยเฉพาะผู้นำในสถาบันหลักๆ ของชาติต่างก็อ่อนแอ สิ้นปัญญา หมดทางแก้ เห็นความชั่วของนักการเมืองเป็นเรื่องธรรมดา มองไม่เห็นระบอบการเมืองที่เลวร้ายอันเป็นเหตุแห่งการทำลายประเทศชาติและประชาชน
ผู้เขียนได้ชี้แสดงเหตุผลไว้มากแล้วว่า อุปสรรคของประเทศไทย คือ ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา (แต่ถูกบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยชูประเด็นการเลือกตั้ง ก็การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการหนึ่ง และการมีรัฐสภา, ส.ส., ส.ว. ก็เป็นเพียงรูปแบบการปกครองและวิธีการปกครองเท่านั้น หากใช่ระบอบประชาธิปไตยไม่ ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องคือ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ก็ในเมื่อความเป็นจริงอำนาจอธิปไตยไม่เป็นของปวงชน และพวกเขารู้สึกว่าไม่มีเสรีภาพ และความเสมอภาคทางการเมือง อันเป็นจุดอ่อน เป็นเงื่อนไข และพวกไม่หวังดีต่อประเทศก็จ้องอยู่แล้ว จึงทำให้ขบวนการก่อการร้ายและแนวร่วมแบ่งแยกดินแดนเติบโตขึ้น
ผู้มีอำนาจหรือใครที่อยากจะคิดแก้ปัญหาบ้านเมืองให้รอดปลอดภัย ชนในชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นเอกภาพและมั่นคงแล้วละก็ จะต้องอิสระเสียจากระบอบการเมืองปัจจุบัน แล้วสร้างวิธีคิดจากการวิปัสสนา เพื่อให้รู้แจ้งกฎธรรมชาติ จากนั้นประยุกต์ให้เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทยเป็นหลักธรรมาธิปไตย 9 โดยมีหลักการที่ท้าทายต่อปัญญาชนทั้งหลาย ว่าโดยย่อคือ 1. หลักธรรมาธิปไตย 2. หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ 3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน 4. หลักเสรีภาพบริบูรณ์ 5. หลักความเสมอภาค 6. ภราดรภาพ 7. หลักดุลยภาพ 8. หลักเอกภาพ 9. หลักนิติธรรม จากนั้นให้ปรับปรุงหมวดและมาตราต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครองทั้ง 9 หรือหมายความว่า หมวดและมาตราต่างๆ จะต้องขึ้นต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เสมอไป
และมีทางเดียวเท่านั้น คือ องค์พระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ ทรงสถาปนาหลักการปกครองแบบธรรมาธิปไตย จากนั้นก็ดำเนินการในขั้นตอนปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่าไม่ยากเลย ทำสำเร็จจะสามารถขจัดเงื่อนไขอันเลวร้ายต่างๆ ได้อย่างมากมายในแผ่นดินนี้ นำเสนอเพื่อส่งเสริมพระบรมเดชานุภาพแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์บนฐานแห่งอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้มั่นคงยั่งยืนสืบไป
และในท้ายนี้ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย ได้ไปให้กำลังใจ คุณสมาน ศรีงาม นักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ได้อดข้าวแบบพุทธอหิงสาธรรม จุดประกายแสงธรรมนำแผ่นดิน ขจัดสิ้นเหตุวิกฤตชาติ ประท้วงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รักษาสมบัติแห่งชาติ ไม่ให้ตกไปเป็นของผู้มีอำนาจบางคนที่บริเวณหน้าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ บางกรวย อย่าลืมไปให้กำลังใจกันนะ