“สนธิ” ยันไม่เคยขอประโยชน์จาก “ทักษิณ”แม้แต่บาทเดียว แฉกลับนายกฯ ต่างหากเคยรับหุ้นไออีซี ราคาพาร์ไปขายเอากำไร 400 ล้าน ท้าแน่จริงให้ออกมาโต้ ระบุถ้ายังบริหารประเทศต่อไปต้องเสียดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แน่ พร้อมชี้ จัดตั้ง “นครสุวรรณภูมิ” เหมือนกำลังหาทางกินมะพร้าวทั้งลูก แฉอีกเปิดเสรี 20 ธุรกิจ ถางทางนักการเมืองย้ายเงินทุจริตกลับเข้าประเทศ
รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 5 วานนี้ (21 ต.ค.) ยังคงบรรยากาศคึกคักเช่นเคย โดยมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดำเนินรายการ ที่หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เมื่อเริ่มรายการ นายสนธิได้ตำหนิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีที่ฟ้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ฐานลงตีพิมพ์คำเทศนาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แต่นายกฯไม่ฟ้องหลวงตามหาบัว อ้างว่าเพราะมีความเมตตาหลวงตามหาบัวนั้น นายกฯคงคิดว่าเป็นศาสดานิกายศาสนาใหม่ ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะคำว่าเมตตาผู้น้อยจะไม่ใช้กับพ่อแม่ หรือกับพระสงฆ์หรืออริยสงฆ์ พร้อมทั้งเตือนให้นายกฯให้หยุดสติแตก เพราะจะทำให้ประเทศชาติสับสน
“การที่หลวงตามหาบัวท่านเทศน์เตือนสติว่า ท่านเลยเทวทัตไปแล้ว เหมือนกำลังดุด่าลูกศิษย์ เป็นการเตือนศิษย์ครั้งสุดท้าย หากไม่ฟังก็จะวางเฉยหรือถืออุเบกขา แล้วปล่อยไปตามกรรม” นายสนธิระบุ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณลืมบุญคุณของหลวงตาบัวที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อปี 2544 ให้รอดพ้นจากเครื่องบินระเบิดโดยให้ นายทองก้อน วงศ์สมุทร ลูกศิษย์ถือจดหมายมาเตือนภัยถึงที่บ้าน แต่จนถึงวันนี้ท่านลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว
นายสนธิ ยังกล่าวถึงสาเหตุการย้าย น.พ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ (พ.ศ.) ว่าน่าจะมาจากกรณีที่มีการส่งเสริมและเชิดชูสมเด็จพระสังฆราช มีการทูลเชิญให้เสด็จไปตามสถานที่ต่างๆ หลายแห่งให้ประชาชนได้เห็นและได้รับทราบซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน และล่าสุดได้จัดงานวันประสูติของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา สร้างความไม่พอใจให้กับผู้มีอำนาจบางคน จนทำให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธศาสนา แต่กลับเรียก น.พ.จักรธรรมไปพบ แล้วบอกว่าจะย้ายกลับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง น.พ.จักรธรรมไม่มีปัญหาอะไรเพราะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ก็เคยให้สัมภาษณ์เปิดใจว่าไม่อยากย้ายกลับต้นสังกัดเดิม
นายสนธิยังได้ตอบโต้คำพูดของนายกฯ ที่ว่าสาเหตุที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เพราะขออะไรแล้วไม่ได้ ซ้ำบอกว่าจะให้อภัยกับหากสำนึกผิดแล้วไปขอโทษ ซึ่งในช่วงนี้ได้มีการเปิดเสียงการให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ พอพูดจบ นายสนธิได้ยกมือท่วมหัว และกล่าวว่า นายกพูดคะนองปากทั้งที่ไม่เป็นความจริง
“ขอบคุณที่ท่านนายกฯ พูดเรื่องนี้ออกมา ผมอมเลือดมานาน เพราะถ้าผมพูดไปก่อนเหมือนกับกินปูนร้อนท้อง ก่อนหน้านี้พวกสุนัขรับใช้ไปเผยแพร่ปล่อยข่าวว่าผมโกรธเพราะขอท่านแล้วท่านไม่ให้ ผมจะบอกให้ฟังว่าผมเคยถูกธนาคารนครหลวงไทยฟ้องสมัยนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรีคลัง ฟ้องล้มละลายปี 2543 และศาลพิพากษาพิทักษ์ทรัพย์ในปีเดียวกัน จากนั้นตามกระบวนการตามกฎหมายก็หลุดพ้นจากการล้มละลายใน 2 ปีต่อมา แล้วนายกฯ มีอะไรมาช่วยอะไรผม บ้าหรือเปล่า”นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวยอมรับว่า เคยสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ จริง เพราะเข้าใจว่ามีความตั้งใจทำเพื่อบ้านเมือง จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2457 ที่เห็นว่าไม่ไหวแล้วก็เริ่มวิจารณ์รัฐบาลจนกระทั่งถูกปิดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังจากตั้งคำถามเรื่องสมเด็จพระสังฆราช 2 องค์ สถานะคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนำจดหมายเรื่องลูกแกะหลงทางมาอ่านให้ฟังทำให้สติแตก
นายสนธิ ยังเปิดเผยว่า กำลังเตรียมฟ้องผู้บริหาร อสมท เป็นคดีที่ 4 ในเร็วๆ นี้ ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และว่าสาเหตุที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ขออำนาจศาลเพื่อขอไต่สวนฉุกเฉินห้ามไม่ให้เขาวิพากษ์วิจารณ์ เป็นเพราะได้รับคำปรึกษาว่าเกรงจะเสียภาพลักษณ์ทางการเมือง
นายสนธิ ยังย้อนกลับไปกล่าวถึงเรื่องการเข้ามาทำรายการในช่อง 11 นิวส์วัน ว่าไม่ได้เข้ามาในฐานะคู่สัญญา แต่เข้ามาในฐานะรับจ้างบริษัท BTV ไม่ได้เกี่ยวข้องกับช่อง 11 โดยตรง พร้อมทั้งเตือนนายกฯ ที่บอกว่า เขามีผลประโยชน์ในเรื่องนี้ ให้ระวังคำพูดหากเอ่ยชื่อออกมา ระวังถูกฟ้องหมิ่นประมาท
นายสนธิได้ตั้งคำถามไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณว่าจำได้หรือไม่ว่า เคยได้หุ้นบริษัท ไออีซี จากเขาในราคาพาร์ 10 บาท ซึ่งราคาเมื่อเข้าตลาด 250 บาท รวมมูลค่าเพิ่มขึ้นไปกว่า 400 ล้านบาท
“สิบกว่าปีที่แล้ว ผมซื้อบริษัทไออีซีมาจากเครือซิเมนต์ไทย ผมซื้อมา คุณอรนพเป็นกรรมการผู้จัดการ ผมซื้อมาหมด 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็แต่งตัวจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมยกหุ้นให้เขา มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ราคาอันเดอร์ไรต์ 250 บาท มูลค่า 400 ล้านบาท ให้เขา ใจมันผิดกัน ท่านนายกฯ แน่จริงออกมาโต้กับผมเรื่องนี้ ท่านนักเลงนัก หลักฐานยังมีอยู่ ท่านยังเคยเข้าไปเป็นกรรมการไออีซีพักหนึ่งเลย เพราะผมเชิญเข้าไป ผมไม่เคย บาทหนึ่งก็ไม่เคยได้จากท่าน มีแต่ท่านได้จากผมไป 400 ล้านบาท”นายสนธิกล่าว
นายสนธิ ยังได้ยกเอาเรื่องการเสียดินแดนเมื่อ รศ.112 สมัยเสด็จพ่อ ร.5 ที่เคยสูญเสียดินแดนบางส่วน และเกือบเสียดินแดนปัตตานีให้กับมหาอำนาจไปแล้ว แต่บังเอิญว่ามีวัดแห่งหนึ่งซึ่งทำให้ไทยยกเป็นข้ออ้างว่าเป็นศิลปวัฒนธรรมของไทย ทำไห้ไม่ต้องเสียดินแดนดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณยังบริหารประเทศต่อไปจะต้องเสียดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน
นายสนธิ ยังเรียกร้องให้คำตามคำขอร้องให้แก้ปัญหา 3 ข้อ คือ เรื่องสมเด็จพระสังฆราช 2 องค์ สถานะของคุณหญิงจารุวรรณ และจัดการปัญหาคอร์รัปชันจัดการกับเครือญาติทุจริต ถ้าทำได้ก็จะคลานจากหน้าทำเนียบไปกราบเช้าเย็น
ประเด็นต่อมา นายสนธิ ได้กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมจัดตั้ง นครสุวรรณภูมิ เป็นจังหวัดที่ 77 ว่า เป็นภาพสะท้อนของความปลิ้นปล้อนหลอกลวงของรัฐบาลชุดนี้ และสอดคล้องกับการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจบริการ 20 ชนิดได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
นายสนธิ ได้หยิบยกคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยให้สัมภาษณ์นิตยสารหลักไท เมื่อปี 2535 ว่า การทำธุรกิจของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น มองธุรกิจเป็นลูกมะพร้าว แม้จะไม่มีเนื้อมะพร้าว ก็ยังมีกะลามะพร้าว เปลือกมะพร้าว ทุกๆ ส่วนที่เหลืออยู่ เอาไปทำประโยชน์ได้หมด ซึ่งถ้าพ.ต.ท.ทักษิณใช้หลักคิดนี้ทำธุรกิจส่วนตัวก็เป็นเรื่องที่ชอบธรรม แต่การบริหารประเทศไม่เหมือนกัน เพราะจะมีคำถามว่า มะพร้าวลูกนั้น ได้มาอย่างไร ถ้าเป็นของแผ่นดินแล้ว ก็ไม่มีสิทธิที่จะกินเรียบคนเดียว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า การจัดตั้งนครสุวรรณภูมิ เป็นการหาประโยชน์จากสนามบินสุวรรณภูมิเหมือนกับกระบวนการลูกมะพร้าว และเรื่องนี้ไม่ใช่จู่ๆ ก็เกิด แต่มีการวางแผนกันมานาน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีการกว้านซื้อที่ดินเป็นจำนวนมากขนาดนี้ ถึงแม้นายกฯจะอ้างว่าที่ดินเหล่านั้นซื้อมาก่อนเป็น 10 ปี แต่ประเด็นก็คือ เมื่อมีคนใกล้ชิดซื้อที่ดินไว้แล้ว และจะได้ประโยชน์จากการตั้งนครสุวรรณภูมิแล้ว ถ้าเป็นคนมียางอายจะต้องหยุด แต่เผอิญคนที่ทำเรื่องนี้ไม่มียางอาย
“นครสุวรรณภูมิ จะเป็นเหมือนประเทศใหม่ที่ซ้อนอยู่ในประเทศไทย เป็นการสร้างกฎหมายขึ้นมาอยู่นอกเหนือกฎหมาย เหมือนกับว่าที่นั่นท่านจะสร้างนครที่ท่านอยากจะให้มีขึ้นมาใหม่ นครแห่งนี้จะทำอะไรก็ได้ ไม่เกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม ไม่เกี่ยวกับกฎหมายที่มีอยู่เดิม แล้วให้สิทธิพิเศษ ตั้งอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมา อาจรวมทั้งเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโน ในอนาคต” นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ ยังโยงไปถึงกรณีการแต่งตั้งนายบุญคลี ปลั่งศิริ ประธานกรรมการ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นประธานคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาสิ่งจูงใจในการส่งเสริมการลงทุน ของบีโอไอ ซึ่งเขายอมรับว่านายบุญคลีเป็นคนเก่งจริง แต่เรื่องนี้น่าจะใช้ธรรมรัฐให้มากกว่านี้ได้หรือไม่ เพราะนายบุญคลีมีสถานภาพเป็นผู้บริหารของชินคอร์ปฯ ซึ่งถือหุ้นในชินแซตเทลไลต์ และชินแซตฯก็เป็นเจ้าของดาวเทียมไอพีสตาร์ที่ได้ลดภาษีจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอถึง 16,500 ล้านบาท เมื่อมานั่งตำแหน่งนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผลประโยชน์ทับซ้อน
นอกจากนี้ นายสนธิ ยังได้กล่าวถึงรัฐมนตรีที่จะรับผิดชอบดูแลนครสุวรรณภูมิ ว่า ก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทะนา ซึ่งมีภรรยาเป็นเลขาณุการคนสนิทของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยานายกรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็คือ นายสมชาย สุนทรวัฒน์ ซึ่งเป็นญาติสนิทกับนายบุญคลี ปลั่งศิริ
“นี่เขาไม่ได้กินมะพร้าวคนเดียว แต่เขาเรียกว่าชวนญาติพี่น้องมากินด้วยกัน”นายสนธิกล่าว
นายสนธิ ยังได้กล่าวถึงกรณีการผ่านร่างกฎกระทรวงพาณิชย์เพื่อเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจบริการ 20 ชนิด โดยไม่ต้องขออนุญาตว่า อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่นักการเมืองจะนำเงินที่ได้จากการคอร์รัปชั่นและเอาไปพักไว้ในต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะในสิงคโปร์ ซึ่งนักการเมืองไทยมักจะนำเงินไปตั้งเป็นกองทุนรวม หากรัฐบาลเปิดเสรี 20 ธุรกิจ ก็จะเอาหน่วยลงทุนเหล่านี้กลับมาลงทุนในไทยในนามของกองทุนต่างชาติ
“นี่คือ การยักยอกทรัพย์ของชาติ เอาไปฝากที่เมืองนอก แล้วก็เปิดทางให้กลับเข้ามาลงทุนในกิจการที่เคยสงวนไว้เฉพาะคนไทย เรื่องนี้ก็เหมือนการจัดตั้งกระทรวงไอซีที ที่ได้ทำการแปรสัญญาสัมปทานโทรคมนาคมเสร็จ เปลี่ยนจากการจ่ายค่าสัมปทานเป็นการจ่ายภาษีสรรพสามิตแทน หลังจากนั้นก็จะยุบไปรวมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ ซึ่งตามกฎหมายสามารถทำได้ ไม่ผิด แต่ถ้าถามว่าชั่วไหม ก็ต้องตอบว่าชั่ว” นายสนธิ กล่าว
รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 5 วานนี้ (21 ต.ค.) ยังคงบรรยากาศคึกคักเช่นเคย โดยมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดำเนินรายการ ที่หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เมื่อเริ่มรายการ นายสนธิได้ตำหนิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีที่ฟ้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ฐานลงตีพิมพ์คำเทศนาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แต่นายกฯไม่ฟ้องหลวงตามหาบัว อ้างว่าเพราะมีความเมตตาหลวงตามหาบัวนั้น นายกฯคงคิดว่าเป็นศาสดานิกายศาสนาใหม่ ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะคำว่าเมตตาผู้น้อยจะไม่ใช้กับพ่อแม่ หรือกับพระสงฆ์หรืออริยสงฆ์ พร้อมทั้งเตือนให้นายกฯให้หยุดสติแตก เพราะจะทำให้ประเทศชาติสับสน
“การที่หลวงตามหาบัวท่านเทศน์เตือนสติว่า ท่านเลยเทวทัตไปแล้ว เหมือนกำลังดุด่าลูกศิษย์ เป็นการเตือนศิษย์ครั้งสุดท้าย หากไม่ฟังก็จะวางเฉยหรือถืออุเบกขา แล้วปล่อยไปตามกรรม” นายสนธิระบุ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณลืมบุญคุณของหลวงตาบัวที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อปี 2544 ให้รอดพ้นจากเครื่องบินระเบิดโดยให้ นายทองก้อน วงศ์สมุทร ลูกศิษย์ถือจดหมายมาเตือนภัยถึงที่บ้าน แต่จนถึงวันนี้ท่านลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว
นายสนธิ ยังกล่าวถึงสาเหตุการย้าย น.พ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ (พ.ศ.) ว่าน่าจะมาจากกรณีที่มีการส่งเสริมและเชิดชูสมเด็จพระสังฆราช มีการทูลเชิญให้เสด็จไปตามสถานที่ต่างๆ หลายแห่งให้ประชาชนได้เห็นและได้รับทราบซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน และล่าสุดได้จัดงานวันประสูติของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา สร้างความไม่พอใจให้กับผู้มีอำนาจบางคน จนทำให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธศาสนา แต่กลับเรียก น.พ.จักรธรรมไปพบ แล้วบอกว่าจะย้ายกลับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง น.พ.จักรธรรมไม่มีปัญหาอะไรเพราะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ก็เคยให้สัมภาษณ์เปิดใจว่าไม่อยากย้ายกลับต้นสังกัดเดิม
นายสนธิยังได้ตอบโต้คำพูดของนายกฯ ที่ว่าสาเหตุที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เพราะขออะไรแล้วไม่ได้ ซ้ำบอกว่าจะให้อภัยกับหากสำนึกผิดแล้วไปขอโทษ ซึ่งในช่วงนี้ได้มีการเปิดเสียงการให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ พอพูดจบ นายสนธิได้ยกมือท่วมหัว และกล่าวว่า นายกพูดคะนองปากทั้งที่ไม่เป็นความจริง
“ขอบคุณที่ท่านนายกฯ พูดเรื่องนี้ออกมา ผมอมเลือดมานาน เพราะถ้าผมพูดไปก่อนเหมือนกับกินปูนร้อนท้อง ก่อนหน้านี้พวกสุนัขรับใช้ไปเผยแพร่ปล่อยข่าวว่าผมโกรธเพราะขอท่านแล้วท่านไม่ให้ ผมจะบอกให้ฟังว่าผมเคยถูกธนาคารนครหลวงไทยฟ้องสมัยนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรีคลัง ฟ้องล้มละลายปี 2543 และศาลพิพากษาพิทักษ์ทรัพย์ในปีเดียวกัน จากนั้นตามกระบวนการตามกฎหมายก็หลุดพ้นจากการล้มละลายใน 2 ปีต่อมา แล้วนายกฯ มีอะไรมาช่วยอะไรผม บ้าหรือเปล่า”นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวยอมรับว่า เคยสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ จริง เพราะเข้าใจว่ามีความตั้งใจทำเพื่อบ้านเมือง จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2457 ที่เห็นว่าไม่ไหวแล้วก็เริ่มวิจารณ์รัฐบาลจนกระทั่งถูกปิดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังจากตั้งคำถามเรื่องสมเด็จพระสังฆราช 2 องค์ สถานะคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนำจดหมายเรื่องลูกแกะหลงทางมาอ่านให้ฟังทำให้สติแตก
นายสนธิ ยังเปิดเผยว่า กำลังเตรียมฟ้องผู้บริหาร อสมท เป็นคดีที่ 4 ในเร็วๆ นี้ ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และว่าสาเหตุที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ขออำนาจศาลเพื่อขอไต่สวนฉุกเฉินห้ามไม่ให้เขาวิพากษ์วิจารณ์ เป็นเพราะได้รับคำปรึกษาว่าเกรงจะเสียภาพลักษณ์ทางการเมือง
นายสนธิ ยังย้อนกลับไปกล่าวถึงเรื่องการเข้ามาทำรายการในช่อง 11 นิวส์วัน ว่าไม่ได้เข้ามาในฐานะคู่สัญญา แต่เข้ามาในฐานะรับจ้างบริษัท BTV ไม่ได้เกี่ยวข้องกับช่อง 11 โดยตรง พร้อมทั้งเตือนนายกฯ ที่บอกว่า เขามีผลประโยชน์ในเรื่องนี้ ให้ระวังคำพูดหากเอ่ยชื่อออกมา ระวังถูกฟ้องหมิ่นประมาท
นายสนธิได้ตั้งคำถามไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณว่าจำได้หรือไม่ว่า เคยได้หุ้นบริษัท ไออีซี จากเขาในราคาพาร์ 10 บาท ซึ่งราคาเมื่อเข้าตลาด 250 บาท รวมมูลค่าเพิ่มขึ้นไปกว่า 400 ล้านบาท
“สิบกว่าปีที่แล้ว ผมซื้อบริษัทไออีซีมาจากเครือซิเมนต์ไทย ผมซื้อมา คุณอรนพเป็นกรรมการผู้จัดการ ผมซื้อมาหมด 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็แต่งตัวจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมยกหุ้นให้เขา มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ราคาอันเดอร์ไรต์ 250 บาท มูลค่า 400 ล้านบาท ให้เขา ใจมันผิดกัน ท่านนายกฯ แน่จริงออกมาโต้กับผมเรื่องนี้ ท่านนักเลงนัก หลักฐานยังมีอยู่ ท่านยังเคยเข้าไปเป็นกรรมการไออีซีพักหนึ่งเลย เพราะผมเชิญเข้าไป ผมไม่เคย บาทหนึ่งก็ไม่เคยได้จากท่าน มีแต่ท่านได้จากผมไป 400 ล้านบาท”นายสนธิกล่าว
นายสนธิ ยังได้ยกเอาเรื่องการเสียดินแดนเมื่อ รศ.112 สมัยเสด็จพ่อ ร.5 ที่เคยสูญเสียดินแดนบางส่วน และเกือบเสียดินแดนปัตตานีให้กับมหาอำนาจไปแล้ว แต่บังเอิญว่ามีวัดแห่งหนึ่งซึ่งทำให้ไทยยกเป็นข้ออ้างว่าเป็นศิลปวัฒนธรรมของไทย ทำไห้ไม่ต้องเสียดินแดนดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณยังบริหารประเทศต่อไปจะต้องเสียดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน
นายสนธิ ยังเรียกร้องให้คำตามคำขอร้องให้แก้ปัญหา 3 ข้อ คือ เรื่องสมเด็จพระสังฆราช 2 องค์ สถานะของคุณหญิงจารุวรรณ และจัดการปัญหาคอร์รัปชันจัดการกับเครือญาติทุจริต ถ้าทำได้ก็จะคลานจากหน้าทำเนียบไปกราบเช้าเย็น
ประเด็นต่อมา นายสนธิ ได้กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมจัดตั้ง นครสุวรรณภูมิ เป็นจังหวัดที่ 77 ว่า เป็นภาพสะท้อนของความปลิ้นปล้อนหลอกลวงของรัฐบาลชุดนี้ และสอดคล้องกับการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจบริการ 20 ชนิดได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
นายสนธิ ได้หยิบยกคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยให้สัมภาษณ์นิตยสารหลักไท เมื่อปี 2535 ว่า การทำธุรกิจของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น มองธุรกิจเป็นลูกมะพร้าว แม้จะไม่มีเนื้อมะพร้าว ก็ยังมีกะลามะพร้าว เปลือกมะพร้าว ทุกๆ ส่วนที่เหลืออยู่ เอาไปทำประโยชน์ได้หมด ซึ่งถ้าพ.ต.ท.ทักษิณใช้หลักคิดนี้ทำธุรกิจส่วนตัวก็เป็นเรื่องที่ชอบธรรม แต่การบริหารประเทศไม่เหมือนกัน เพราะจะมีคำถามว่า มะพร้าวลูกนั้น ได้มาอย่างไร ถ้าเป็นของแผ่นดินแล้ว ก็ไม่มีสิทธิที่จะกินเรียบคนเดียว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า การจัดตั้งนครสุวรรณภูมิ เป็นการหาประโยชน์จากสนามบินสุวรรณภูมิเหมือนกับกระบวนการลูกมะพร้าว และเรื่องนี้ไม่ใช่จู่ๆ ก็เกิด แต่มีการวางแผนกันมานาน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีการกว้านซื้อที่ดินเป็นจำนวนมากขนาดนี้ ถึงแม้นายกฯจะอ้างว่าที่ดินเหล่านั้นซื้อมาก่อนเป็น 10 ปี แต่ประเด็นก็คือ เมื่อมีคนใกล้ชิดซื้อที่ดินไว้แล้ว และจะได้ประโยชน์จากการตั้งนครสุวรรณภูมิแล้ว ถ้าเป็นคนมียางอายจะต้องหยุด แต่เผอิญคนที่ทำเรื่องนี้ไม่มียางอาย
“นครสุวรรณภูมิ จะเป็นเหมือนประเทศใหม่ที่ซ้อนอยู่ในประเทศไทย เป็นการสร้างกฎหมายขึ้นมาอยู่นอกเหนือกฎหมาย เหมือนกับว่าที่นั่นท่านจะสร้างนครที่ท่านอยากจะให้มีขึ้นมาใหม่ นครแห่งนี้จะทำอะไรก็ได้ ไม่เกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม ไม่เกี่ยวกับกฎหมายที่มีอยู่เดิม แล้วให้สิทธิพิเศษ ตั้งอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมา อาจรวมทั้งเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโน ในอนาคต” นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ ยังโยงไปถึงกรณีการแต่งตั้งนายบุญคลี ปลั่งศิริ ประธานกรรมการ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นประธานคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาสิ่งจูงใจในการส่งเสริมการลงทุน ของบีโอไอ ซึ่งเขายอมรับว่านายบุญคลีเป็นคนเก่งจริง แต่เรื่องนี้น่าจะใช้ธรรมรัฐให้มากกว่านี้ได้หรือไม่ เพราะนายบุญคลีมีสถานภาพเป็นผู้บริหารของชินคอร์ปฯ ซึ่งถือหุ้นในชินแซตเทลไลต์ และชินแซตฯก็เป็นเจ้าของดาวเทียมไอพีสตาร์ที่ได้ลดภาษีจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอถึง 16,500 ล้านบาท เมื่อมานั่งตำแหน่งนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผลประโยชน์ทับซ้อน
นอกจากนี้ นายสนธิ ยังได้กล่าวถึงรัฐมนตรีที่จะรับผิดชอบดูแลนครสุวรรณภูมิ ว่า ก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทะนา ซึ่งมีภรรยาเป็นเลขาณุการคนสนิทของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยานายกรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็คือ นายสมชาย สุนทรวัฒน์ ซึ่งเป็นญาติสนิทกับนายบุญคลี ปลั่งศิริ
“นี่เขาไม่ได้กินมะพร้าวคนเดียว แต่เขาเรียกว่าชวนญาติพี่น้องมากินด้วยกัน”นายสนธิกล่าว
นายสนธิ ยังได้กล่าวถึงกรณีการผ่านร่างกฎกระทรวงพาณิชย์เพื่อเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจบริการ 20 ชนิด โดยไม่ต้องขออนุญาตว่า อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่นักการเมืองจะนำเงินที่ได้จากการคอร์รัปชั่นและเอาไปพักไว้ในต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะในสิงคโปร์ ซึ่งนักการเมืองไทยมักจะนำเงินไปตั้งเป็นกองทุนรวม หากรัฐบาลเปิดเสรี 20 ธุรกิจ ก็จะเอาหน่วยลงทุนเหล่านี้กลับมาลงทุนในไทยในนามของกองทุนต่างชาติ
“นี่คือ การยักยอกทรัพย์ของชาติ เอาไปฝากที่เมืองนอก แล้วก็เปิดทางให้กลับเข้ามาลงทุนในกิจการที่เคยสงวนไว้เฉพาะคนไทย เรื่องนี้ก็เหมือนการจัดตั้งกระทรวงไอซีที ที่ได้ทำการแปรสัญญาสัมปทานโทรคมนาคมเสร็จ เปลี่ยนจากการจ่ายค่าสัมปทานเป็นการจ่ายภาษีสรรพสามิตแทน หลังจากนั้นก็จะยุบไปรวมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ ซึ่งตามกฎหมายสามารถทำได้ ไม่ผิด แต่ถ้าถามว่าชั่วไหม ก็ต้องตอบว่าชั่ว” นายสนธิ กล่าว