คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงบทความนี้โดยเจ้าของคอลัมน์
ในบรรดาผู้นำทางการเมืองและการทหาร รวมทั้งเจ้าลัทธิที่โลกไม่น่าจะลืมก็เห็นสมควรว่าน่าจะรวมเอาคนอย่างเบนิโต มุสโสลินี เจ้าลัทธิฟาสซิสต์แห่งอิตาลีเข้าไว้ด้วยคนหนึ่งละครับ
คนอย่างมุสโสลินีนั้นมีความเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ แม้กระทั่งก่อนตายที่เห็นอิตาลีล่มสลายกับตาแล้วก็ตาม เขาก็ยังมีความเชื่อตามแบบฉบับของเขาว่าตัวเขานั้นไม่ได้สร้างลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี แต่เขาดึงความคิดทั้งหมดมาจากจิตสำนึกของความคิดที่หยั่งลึกลงไปของคนอิตาลีเองนั่นแหละ เพราะหาไม่เช่นนั้นประชาชนทั้งหลายจะยอมเดินตามแนวทางของผู้นำอย่างผมยาวนานถึง 20 ปีได้หรือ
แน่นอนครับว่า คำพูดของมุสโสลินีที่ว่านี้ ทำให้ชาวอิตาเลียนที่เติบโตขึ้นมาด้วยจารีตที่ต่อต้านลัทธินิยมฟาสซิสต์ย่อมเดือดดาลเป็นธรรมดา เพราะตำนานหลังสงครามโลกนั้น คำกล่าวของมุสโสลินีเป็นเรื่องน่าตกใจมาก
เพราะว่ามันหมายถึงการละเว้นที่จะกล่าวถึงทารุณกรรมในยุคสมัยของมุสโสลินี รวมทั้งเผด็จการชั่วร้าย รวมทั้งการต่อสู้อย่างกล้าหาญของกลุ่มต่อต้านพวกนิยมฟาสซิสต์ที่ต้องล้มตายไปไม่น้อย
ทั้งหมดนี้ทำให้หลายคนมองว่าประชาธิปไตยในยุคสมัยของประเทศอิตาลีนั้น มีช่องโหว่หากยังมีคนคิดว่าคำพูดของมุสโสลินีนั้นมีน้ำหนักควรแก่การรับฟังอยู่บ้าง เพราะวัฒนธรรมทางการเมืองของอิตาลีก่อนมุสโสลินีขึ้นมามีอำนาจได้ในปี ค.ศ. 1922 และช่วง 20 ปีที่เขาอยู่ในอำนาจนั้น มันมีปัจจัยอะไรหรือไม่ที่ทำให้มุสโสลินีพูดออกมาถึงจิตสำนึกซ่อนเร้นว่าคนอิตาเลียนนั้นคือผู้สร้างฟาสซิสต์
เวลานี้ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับคำพูดของมุสโสลินีได้กลายเป็นประเด็นการเมืองขึ้นมาบ้างแล้ว ก็เพราะว่าพวกฝ่ายขวาในเวทีการเมืองอิตาลีปัจจุบันก็เริ่มเห็นด้วยอย่างจริงจังขึ้นมาเสียด้วย
พวกฝ่ายขวาสมัยใหม่มองว่า ในยุคนั้นมุสโสลินีก็ปกครองประเทศโดยได้รับอาณัติและผ่านเจตนารมณ์จากประชาชนเสียงข้างมากอย่างท่วมท้น กระทั่งเขาเริ่มไปสร้างพันธมิตรกับฮิตเลอร์ กระทั่งทำให้เยอรมนีและอิตาลีพากันสู่ความหายนะและฮิตเลอร์เป็นฆาตกรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หฤโหดสังหารหมู่ชาวยิวไปนับล้านคน
แต่คนอิตาเลียนก็มองมุสโสลินีในแง่ที่ว่าความชั่วร้ายโดยกมลสันดานนั้น เขาไม่มีเทียบเท่ากับฮิตเลอร์หรือโจเซฟ สตาลินเลยแม้แต่น้อยนิด
และคนอย่างนายกรัฐมนตรีอิตาลีปัจจุบัน ซิลวิโอ เบอร์ลุสโคนี ก็เคยสรุปเมื่อ 2 ปีที่แล้วว่า มุสโสลินีนั้นไม่เคยฆ่าคนเลยแม้แต่คนเดียว และก็ปฏิบัติกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองไม่รุนแรงด้วย อย่างมากก็ใช้วิธีเนรเทศ ซึ่งก็คล้ายกับส่งไปพักผ่อนนอกประเทศเท่านั้นเอง
แน่นอนว่าการตีความบทบาทของมุสโสลินีนั้นได้ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นในด้านการเมืองของคนอิตาลีแล้วครับ
โดยเหตุนี้เองส่งผลให้เกิดหนังสือขายดีขึ้นมาเล่มหนึ่งครับ โดยหนังสือที่ว่านี้เจาะลึก เขียนโดยนักเขียนชาวออสเตรียนชื่อ ริชาร์ด บอสเวิร์ด ชื่อว่า อิตาลีภายใต้การนำของมุสโสลินี : ชีวิตภายใต้เผด็จการ 1915-1945 พิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพนกวิน ราคา 1,400 บาท หนา 688 หน้า
ผู้เขียนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับลัทธิฟาสซิสต์ของอิตาลีครับ
คราวนี้มาดูว่ามีอะไรเกี่ยวกับฟาสซิสต์อิตาลีบ้าง
หนึ่งในสามของหนังสือที่ว่านี้ พูดถึงช่วงปีต้นๆ ก่อนที่มุสโสลินีจะเรืองอำนาจในเดือนตุลาคม ปี 1922
ช่วงนั้นเป็นปีแห่งความตกต่ำและยากลำบากของอิตาลีเป็นยุคที่อิตาลีเป็นประเทศที่มีอำนาจด้อยและล้าหลังกว่ามหาอำนาจอื่นๆ และก็ยากจนที่สุด ลัทธิฟาสซิสต์เป็นผลผลิตจากการที่สังคมอิตาลีอ่อนปวกเปียก มีความขัดแย้งทางชนชั้นและเกิดจากผลลัพธ์ที่อิตาลีต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
แม้ว่าอิตาลีจะพ้นสงครามโดยอยู่กับฝ่ายชนะสงคราม แต่ก็แพ้ในยุทธการที่กับโปเรตโตในปี 1917 ซึ่งทำให้อยู่ในความทรงจำอันเลวร้ายที่สุดของฝ่ายทหาร ประชาชน และชนชั้นปกครองเห็นว่าชัยชนะสงครามถูกปล้นไปจากพวกพันธมิตร เพราะว่าพวกพันธมิตรไม่ยอมให้อิตาลีได้คืนแอฟริกา และอาณาจักรเดิมในคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน
ผู้เขียนยังเท้าความด้วยว่า ฟาสซิสต์มีความต่อเนื่องระหว่างช่วงเวลาก่อนปี 1941 ในยุครัฐบาลเสรีนิยม ซึ่งปกครองประเทศตั้งแต่การรวมประเทศในปี 1861 ทำให้การเรืองอำนาจของฟาสซิสต์ไม่ทำลายประชาธิปไตยเพราะเสรีนิยมมีข้อเคลือบแคลงทางการเมืองเกี่ยวกับบทบาทของประชาธิปไตยอยู่มากในช่วงเวลานั้น พวกนักการเมืองเสรีนิยมกลับชอบใฝ่ฝันที่ขยายจักรวรรดินิยมโดยยึดลิเบียและหมู่เกาะจากออตโตมานในช่วงปี ค.ศ. 1911-12 รวมทั้งขยายตัวในแอฟริกาตะวันออกด้วย
ฟาสซิสต์ของมุสโสลินีช่วงมีอำนาจก็ทำแบบเดียวกันนั่นเอง แต่สมบูรณ์แบบกว่า และทำให้คนอิตาลีเกิดสิ่งที่เรียกว่าความสำนึกแห่งชาติ
ฟาสซิสต์ในฐานะเป็นลัทธินั้น ไม่ได้ลึกซึ้งนัก ค่อนข้างหยาบและไม่คงเส้นคงวา รวมทั้งขาดทักษะในการบริหารทางเศรษฐกิจ และสังคมอีกต่างหาก รัฐบาลฟาสซิสต์ไม่แตะเรื่องครอบครัวหรือเปลี่ยนโครงสร้างทรัพย์สินส่วนบุคคล และอยู่ร่วมอย่างดีกับศาสนาโรมันคาทอลิก
สมุนของมุสโสลินีไม่โหดร้ายเหี้ยมเท่ากับสมุนฮิตเลอร์แต่เทียบกับประวัติศาสตร์การปกครองของอิตาลีแล้ว มุสโสลินีก็เป็นรัฐบาลเผด็จการที่ปราบปรามเด็ดขาด
สรุปได้ว่า มุสโสลินีนั้น เวลานี้ก็เป็นบุคคลที่ยังเป็นประเด็นที่คนอิตาลีกำลังโต้แย้งกันอยู่ และฝ่ายขวาปัจจุบันก็ยังใช้เขาเป็นประโยชน์อยู่ แม้ว่าเขาจะคือเผด็จการฟาสซิสต์ก็ตาม
ในบรรดาผู้นำทางการเมืองและการทหาร รวมทั้งเจ้าลัทธิที่โลกไม่น่าจะลืมก็เห็นสมควรว่าน่าจะรวมเอาคนอย่างเบนิโต มุสโสลินี เจ้าลัทธิฟาสซิสต์แห่งอิตาลีเข้าไว้ด้วยคนหนึ่งละครับ
คนอย่างมุสโสลินีนั้นมีความเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ แม้กระทั่งก่อนตายที่เห็นอิตาลีล่มสลายกับตาแล้วก็ตาม เขาก็ยังมีความเชื่อตามแบบฉบับของเขาว่าตัวเขานั้นไม่ได้สร้างลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี แต่เขาดึงความคิดทั้งหมดมาจากจิตสำนึกของความคิดที่หยั่งลึกลงไปของคนอิตาลีเองนั่นแหละ เพราะหาไม่เช่นนั้นประชาชนทั้งหลายจะยอมเดินตามแนวทางของผู้นำอย่างผมยาวนานถึง 20 ปีได้หรือ
แน่นอนครับว่า คำพูดของมุสโสลินีที่ว่านี้ ทำให้ชาวอิตาเลียนที่เติบโตขึ้นมาด้วยจารีตที่ต่อต้านลัทธินิยมฟาสซิสต์ย่อมเดือดดาลเป็นธรรมดา เพราะตำนานหลังสงครามโลกนั้น คำกล่าวของมุสโสลินีเป็นเรื่องน่าตกใจมาก
เพราะว่ามันหมายถึงการละเว้นที่จะกล่าวถึงทารุณกรรมในยุคสมัยของมุสโสลินี รวมทั้งเผด็จการชั่วร้าย รวมทั้งการต่อสู้อย่างกล้าหาญของกลุ่มต่อต้านพวกนิยมฟาสซิสต์ที่ต้องล้มตายไปไม่น้อย
ทั้งหมดนี้ทำให้หลายคนมองว่าประชาธิปไตยในยุคสมัยของประเทศอิตาลีนั้น มีช่องโหว่หากยังมีคนคิดว่าคำพูดของมุสโสลินีนั้นมีน้ำหนักควรแก่การรับฟังอยู่บ้าง เพราะวัฒนธรรมทางการเมืองของอิตาลีก่อนมุสโสลินีขึ้นมามีอำนาจได้ในปี ค.ศ. 1922 และช่วง 20 ปีที่เขาอยู่ในอำนาจนั้น มันมีปัจจัยอะไรหรือไม่ที่ทำให้มุสโสลินีพูดออกมาถึงจิตสำนึกซ่อนเร้นว่าคนอิตาเลียนนั้นคือผู้สร้างฟาสซิสต์
เวลานี้ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับคำพูดของมุสโสลินีได้กลายเป็นประเด็นการเมืองขึ้นมาบ้างแล้ว ก็เพราะว่าพวกฝ่ายขวาในเวทีการเมืองอิตาลีปัจจุบันก็เริ่มเห็นด้วยอย่างจริงจังขึ้นมาเสียด้วย
พวกฝ่ายขวาสมัยใหม่มองว่า ในยุคนั้นมุสโสลินีก็ปกครองประเทศโดยได้รับอาณัติและผ่านเจตนารมณ์จากประชาชนเสียงข้างมากอย่างท่วมท้น กระทั่งเขาเริ่มไปสร้างพันธมิตรกับฮิตเลอร์ กระทั่งทำให้เยอรมนีและอิตาลีพากันสู่ความหายนะและฮิตเลอร์เป็นฆาตกรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หฤโหดสังหารหมู่ชาวยิวไปนับล้านคน
แต่คนอิตาเลียนก็มองมุสโสลินีในแง่ที่ว่าความชั่วร้ายโดยกมลสันดานนั้น เขาไม่มีเทียบเท่ากับฮิตเลอร์หรือโจเซฟ สตาลินเลยแม้แต่น้อยนิด
และคนอย่างนายกรัฐมนตรีอิตาลีปัจจุบัน ซิลวิโอ เบอร์ลุสโคนี ก็เคยสรุปเมื่อ 2 ปีที่แล้วว่า มุสโสลินีนั้นไม่เคยฆ่าคนเลยแม้แต่คนเดียว และก็ปฏิบัติกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองไม่รุนแรงด้วย อย่างมากก็ใช้วิธีเนรเทศ ซึ่งก็คล้ายกับส่งไปพักผ่อนนอกประเทศเท่านั้นเอง
แน่นอนว่าการตีความบทบาทของมุสโสลินีนั้นได้ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นในด้านการเมืองของคนอิตาลีแล้วครับ
โดยเหตุนี้เองส่งผลให้เกิดหนังสือขายดีขึ้นมาเล่มหนึ่งครับ โดยหนังสือที่ว่านี้เจาะลึก เขียนโดยนักเขียนชาวออสเตรียนชื่อ ริชาร์ด บอสเวิร์ด ชื่อว่า อิตาลีภายใต้การนำของมุสโสลินี : ชีวิตภายใต้เผด็จการ 1915-1945 พิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพนกวิน ราคา 1,400 บาท หนา 688 หน้า
ผู้เขียนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับลัทธิฟาสซิสต์ของอิตาลีครับ
คราวนี้มาดูว่ามีอะไรเกี่ยวกับฟาสซิสต์อิตาลีบ้าง
หนึ่งในสามของหนังสือที่ว่านี้ พูดถึงช่วงปีต้นๆ ก่อนที่มุสโสลินีจะเรืองอำนาจในเดือนตุลาคม ปี 1922
ช่วงนั้นเป็นปีแห่งความตกต่ำและยากลำบากของอิตาลีเป็นยุคที่อิตาลีเป็นประเทศที่มีอำนาจด้อยและล้าหลังกว่ามหาอำนาจอื่นๆ และก็ยากจนที่สุด ลัทธิฟาสซิสต์เป็นผลผลิตจากการที่สังคมอิตาลีอ่อนปวกเปียก มีความขัดแย้งทางชนชั้นและเกิดจากผลลัพธ์ที่อิตาลีต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
แม้ว่าอิตาลีจะพ้นสงครามโดยอยู่กับฝ่ายชนะสงคราม แต่ก็แพ้ในยุทธการที่กับโปเรตโตในปี 1917 ซึ่งทำให้อยู่ในความทรงจำอันเลวร้ายที่สุดของฝ่ายทหาร ประชาชน และชนชั้นปกครองเห็นว่าชัยชนะสงครามถูกปล้นไปจากพวกพันธมิตร เพราะว่าพวกพันธมิตรไม่ยอมให้อิตาลีได้คืนแอฟริกา และอาณาจักรเดิมในคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน
ผู้เขียนยังเท้าความด้วยว่า ฟาสซิสต์มีความต่อเนื่องระหว่างช่วงเวลาก่อนปี 1941 ในยุครัฐบาลเสรีนิยม ซึ่งปกครองประเทศตั้งแต่การรวมประเทศในปี 1861 ทำให้การเรืองอำนาจของฟาสซิสต์ไม่ทำลายประชาธิปไตยเพราะเสรีนิยมมีข้อเคลือบแคลงทางการเมืองเกี่ยวกับบทบาทของประชาธิปไตยอยู่มากในช่วงเวลานั้น พวกนักการเมืองเสรีนิยมกลับชอบใฝ่ฝันที่ขยายจักรวรรดินิยมโดยยึดลิเบียและหมู่เกาะจากออตโตมานในช่วงปี ค.ศ. 1911-12 รวมทั้งขยายตัวในแอฟริกาตะวันออกด้วย
ฟาสซิสต์ของมุสโสลินีช่วงมีอำนาจก็ทำแบบเดียวกันนั่นเอง แต่สมบูรณ์แบบกว่า และทำให้คนอิตาลีเกิดสิ่งที่เรียกว่าความสำนึกแห่งชาติ
ฟาสซิสต์ในฐานะเป็นลัทธินั้น ไม่ได้ลึกซึ้งนัก ค่อนข้างหยาบและไม่คงเส้นคงวา รวมทั้งขาดทักษะในการบริหารทางเศรษฐกิจ และสังคมอีกต่างหาก รัฐบาลฟาสซิสต์ไม่แตะเรื่องครอบครัวหรือเปลี่ยนโครงสร้างทรัพย์สินส่วนบุคคล และอยู่ร่วมอย่างดีกับศาสนาโรมันคาทอลิก
สมุนของมุสโสลินีไม่โหดร้ายเหี้ยมเท่ากับสมุนฮิตเลอร์แต่เทียบกับประวัติศาสตร์การปกครองของอิตาลีแล้ว มุสโสลินีก็เป็นรัฐบาลเผด็จการที่ปราบปรามเด็ดขาด
สรุปได้ว่า มุสโสลินีนั้น เวลานี้ก็เป็นบุคคลที่ยังเป็นประเด็นที่คนอิตาลีกำลังโต้แย้งกันอยู่ และฝ่ายขวาปัจจุบันก็ยังใช้เขาเป็นประโยชน์อยู่ แม้ว่าเขาจะคือเผด็จการฟาสซิสต์ก็ตาม