ความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ กำลังเป็นเหตุปัจจัยให้สังคมไทยใกล้วิกฤตเข้าไปทุกขณะ ผู้บริหารบ้านเมืองพูดว่าจะแก้ไขจนถึงที่สุด แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่าจะแก้ได้อย่างถูกต้อง ทำให้ปัญหายุติ ไฟใต้ดับลง
การปล่อยให้เหตุการณ์บานปลาย เลยตามเลย ทั้งการปล่อยให้กลุ่มก่อการร้ายขยายการปฏิบัติการ เพิ่มปัจจัยวิกฤตเข้าสู่สังคมไทย หรือปล่อยให้รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่อย่างโดดเดี่ยว คิดยังไงก็ทำยังงั้น ดูจะเป็นการขาดคุณสมบัติความเป็นพลเมืองไทยที่ดี จึงขอ "แจม" ออกความเห็นในเรื่องนี้กับเขาบ้าง
เผื่อฟลุก มีการนำไปพิจารณาอย่างเข้าใจ ประกอบเข้าไปในแนวคิดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของคนไทย โดยเฉพาะคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ปัจจุบัน ผู้เขียนกำลังปฏิบัติและค้นคว้าเรื่องพลังชี่กง เป็นวิทยากรประจำโครงการผู้จัดการสุขภาพ แต่เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา ไม่รู้ไปทำพลาดท่าไหน เกิดอาการเจ็บหัวไหล่อย่างรุนแรง แทบขยับเขยื้อนไม่ได้ จะยกแขนยกมือล้างหน้าเสยผมก็เจ็บแปลบไปตามเส้นประสาทเลยไปถึงท้ายทอย ยังดีที่ไม่ถึงกับชา พยายามแก้ไขด้วยการปิดแผ่น "กอเอี๊ยะญี่ปุ่น" ตรงหัวไหล่ และฝึกชี่กงในตอนเช้าวันเสาร์และอาทิตย์ ได้ผลตรงที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานมากขึ้น แต่อาการพื้นเดิมก็ยังครบทุกประการ จะยกมือเหยียดแขนยังเจ็บทั้งหัวไหล่ (ไหล่ซ้าย)
คิดถึงโรงพยาบาลและนายแพทย์หลินตันเฉียน ผู้เชี่ยวชาญวิชานวดทุยหนาที่รู้จัก กะว่าหากไม่มีอะไรดีขึ้น จะต้องแวะไปโรงพยาบาลหรือวิ่งไปหาคุณหมอหลินแน่
แต่ตั้งสติอีกที เราได้พิจารณาความเจ็บป่วยของตนเองอย่างถ่องแท้ และอย่างถูกต้องหรือยัง? ได้ปฏิบัติต่อตัวเองเต็มที่หรือยัง?
จึงเริ่มใช้วิธีการมองตัวเองเป็นองค์รวมใสๆ ว่าในนั้นไม่มีสิ่งน่าเกลียดที่จะต้องทำลายหรือขจัดออกไป และไม่มีสิ่งน่าถนอมที่จะต้องพยายามคงเอาไว้ แต่มองเพียงว่าตนเป็นองค์รวมของปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่ขับเคลื่อนตนเองอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ ไม่ได้มองความเจ็บป่วยเป็นตัวร้ายที่จะต้องกำจัดออกไปจากตน แต่เป็นองค์ประกอบหนึ่งกำลังขับเคลื่อนไปในองค์รวมใหญ่ที่กำลังขับเคลื่อนไปในรูปของกระแส ที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาได้ก็เพราะมีเหตุปัจจัยเอื้อ ซึ่งอาจเป็นเพราะอายุมากแล้ว กล้ามเนื้อเส้นเอ็นไม่ยืดหยุ่น ใช้แรงกระชากเบรกมือขณะจอดไว้หน้าบ้านจนกล้ามเนื้อฉีก หรืออาจเป็นเพราะเวลาทำงานเขียน อ่านหนังสือ นั่งไม่ตรง หลังงอ ตัวเอียง หรือเอน "งีบ" บนม้านั่ง ไม่ฝึกชี่กงเป็นประจำทุกวัน ฯลฯ
ในภาวะเช่นนี้ คือกำลังเจ็บปวดอย่างหนัก จนต้องตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำอย่างไรกับตนเอง แทนที่จะไปไล่ล่าหาไอ้ตัวร้าย เรามาลงมือ "ปฏิบัติ" จัดการแก้ไขปัญหาเลย น่าจะดีกว่า
เมื่อมองแบบนี้ จึงเห็นช่องทางปฏิบัติ นั่นคือ เติมใส่เหตุปัจจัยที่เป็นคุณสำหรับองค์รวมแห่งชีวิตของตนเต็มที่ ด้วยความรู้ความเข้าใจ และด้วยวิธีการเทคนิคทุกอย่างที่ตนมีอยู่
การมองตัวตนอย่างมีสติดังกล่าว มีขึ้นขณะกำลังเดินพลังชี่กงในท่านอนบนเตียงเมื่อเวลาราว 02.30 น.ของวันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม
การฝึกฝนด้วยท่ายืดและเคลื่อนแขนในลักษณะต่างๆ เท่าที่คิดได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนสว่าง แล้วลุกขึ้นฝึกฝนในท่ายืน ด้วยท่าวิชาที่เคยฝึกมาก่อนและกำลังเผยแพร่อยู่ในปัจจุบัน โดยเน้นการเดินพลังผ่านลำแขนและฝ่ามือเป็นพิเศษ
ภายหลังการฝึกฝนแบบมาราธอนจบสิ้นลง รู้สึกว่าทั้งตัวโปร่งโล่งขึ้น สบายขึ้น อาการติดขัดในจุดเจ็บหนักต่างๆคลายลง แต่ก็ยังคงอาการของคนป่วยไว้ทุกประการ ยังสวมเสื้อยืดด้วยตนเองไม่ได้ ต้องให้ภริยาช่วยสวมให้
แต่ก็บอกกับทุกคนได้ว่า วันนี้ไปทำงานได้
ทว่า ยังไม่ได้ก้าวออกจากบ้านเลย การเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ส่งสัญญาณอย่างแรงและชัดเจนมาก นั่นคือ รู้สึกร่างกายเบาสบายเป็นพิเศษ สามารถขยับแขนได้มากขึ้นเรื่อยๆ แบบนาทีต่อนาที ความรู้สึกอุ่นร้อนรมรุมอยู่รอบๆ เอว โดยเฉพาะตรงบั้นเอว หรือไตทั้งสอง
เมื่อขับรถเข้าสำนักงาน ก็ยังสามารถวาดพวงมาลัยได้เป็นรอบ ด้วยมือที่เจ็บ แต่ก็รู้สึกเพียงเจ็บแปลบแวบเดียว แล้วก็หายไป
เมื่อเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ รู้สึกอย่างเดียวคือ เบาสบายแบบใสๆ และปีติ
สรุปได้ว่า สภาพของผู้เขียนโดยรวมในขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับ (เวลาเที่ยงวันที่ 10 ตุลาคม) หายเกือบเป็นปกติแล้ว องค์รวมของร่างกายทั้งหมดขับเคลื่อนตัวได้เกือบปกติทุกอย่าง เพียงการเคลื่อนมือและแขนซ้ายจะยังติดขัดอยู่บ้าง แต่ก็เชื่อว่า เมื่อผู้เขียนฝึกฝนชี่กงเต็มสูตรเช่นนี้ ร่างกายก็จะกลับคืนสู่ภาวะปกติในเร็ววัน (ในวันถัดมา คือวันที่ 11 ตุลาคม ก็หายไปแบบปลิดทิ้ง)
ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่ต้องวิ่งโร่ไปหานายแพทย์หลิน ก็เพราะสามารถปฏิบัติต่อตนได้ตามสภาวะ ตามความรู้ความเข้าใจ ตามความสามารถที่ตนมีอยู่
ก็เพราะการมองเห็นตนเป็นองค์รวมของปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ขับเคลื่อนตนเองในรูปของกระแสเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง เข้าใจในธรรมชาติของตนกับสรรพสิ่ง
สรุปคือ ก็เพราะการปฏิบัติต่อตนอย่างเข้าใจในธรรมชาติของตน จึงทำให้ตนหลุดพ้นจากทุกข์ได้
ดับโอกาสที่จะเกิดโรคภัยร้ายแรงได้ ในตน
ถึงตรงนี้ ผู้เขียนก็เกิดมุมคิดเพิ่มขึ้นว่า มองตัวอย่างไร ก็สมควรมองสังคมไทยและสังคมโลกอย่างนั้น ในลักษณะที่ว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ที่สังคมโลกเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นองค์รวมของปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ขับเคลื่อนตนเองในรูปของกระแส สังคมไทยเป็นส่วนประกอบหนึ่งขององค์รวมใหญ่นี้ และสามจังหวัดภาคใต้ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งในองค์รวมของปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย ที่กำลังขับเคลื่อนตนเองในรูปของกระแส
และที่สำคัญคือ ภัยก่อการร้ายที่กำลังขับเคลื่อนตนเองอยู่ในสามจังหวัดภาคใต้ ก็เป็นปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในสามจังหวัดภาคใต้ อันเป็นองค์รวมหนึ่งที่ขับเคลื่อนตนเองในรูปของกระแส
สังคมโลกที่กำลังขับเคลื่อนตัวเองในรูปของกระแส มีเหตุปัจจัยทั้งลบและบวกดำรงอยู่และแสดงบทบาทอยู่ในรูปของกระแส
ด้านบวกก็เช่น กระแสสันติภาพและพัฒนา ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยียุคใหม่ พลังการผลิตทันสมัย การเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว การติดต่อสื่อสารและการไหลเลื่อนขององค์ความรู้ใหม่ๆ ไปสู่กันและกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน การสร้างสภาพแวดล้อมให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนกัน ฯลฯ
ด้านลบก็เช่นสงครามและการเข่นฆ่า ทำลายล้างกันในรูปแบบต่างๆ ตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก ความอดอยาก ความยากจน ความแตกต่างระหว่างประเทศร่ำรวยกับประเทศยากจน ผู้เหนือกว่าเอารัดเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า ฯลฯ
เหตุปัจจัยทั้งด้านบวกและด้านลบ มีผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรงทั้งสิ้น
สังคมไทยในบริบทของสังคมโลก จึงขับเคลื่อนไปในแนวเดียวกันกับสังคมโลก แต่มีกระแสย่อยเป็นเหตุปัจจัยบวกและลบเฉพาะของตนดำรงอยู่ เช่นโลกมีปัญหาลัทธิบริโภค ลัทธิก่อการร้ายสากล ปัญหายาเสพติด ปัญหาโรคเอดส์ ปัญหาคอร์รัปชัน ฯลฯ ของไทยเรามีปัญหาคอร์รัปชัน ปัญหาวัยรุ่น ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ ฯลฯ
ณ วันนี้ ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ ได้กลายเป็นปัญหาทุกข์หนักของคนไทยทั้งชาติไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ การแก้ไขปัญหาสังคมไทย คนไทยจึงต้องมองมาที่ตน ว่าสังคมไทยหรือตน ในรูปขององค์รวมแห่งกระแส ซึ่งปัจจุบันก็คือจำเป็นจะต้องเพิ่มเสริมเหตุปัจจัยที่เป็นคุณแบบ "เต็มสูตร" อย่างไร จึงจะแก้ไขปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ได้
วิธีการแก้ไขปัญหาแบบ "เติมเต็ม" เหตุปัจจัยที่เป็นคุณให้แก่สังคมไทย โดยเฉพาะสามจังหวัดภาคใต้ กลายเป็นความจำเป็นอันดับหนึ่ง การไล่ล่าหาคนผิด การประท้วงเพื่อนบ้าน กลายเป็นเพียงองค์ประกอบของการแก้ไขปัญหา ที่สมควรทำและทำตามที่จำเป็น สำหรับให้การแก้ไขปัญหาประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
นั่นคือ การแก้ไขปัญหาจะต้องไม่แยกเขาแยกเรา มองเห็นตนที่เป็นจริง เป็นองค์รวมเหตุปัจจัยที่ขับเคลื่อนในรูปของกระแส
การเห็นแต่เขา จะทำให้เราไม่เห็นตน การเน้นกำจัดเขา จะทำให้ตนเจ็บป่วยหนักขึ้น เพราะในเขามีเรา ในเรามีเขา มันเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ในองค์รวมเดียวกัน
ในระดับโลก ผู้นำสหรัฐฯ และยุโรปหลายประเทศยังยึดการมองโลกแบบแยกส่วน แบ่งเขาแบ่งเราไม่มองสังคมโลกเป็นองค์รวมแห่งปัจจัยเปลี่ยนแปลงที่ดำรงอยู่ในรูปของกระแส การดำเนินนโยบายต่อปัญหาลัทธิก่อการร้ายฯ การแก้ไขปัญหาความยากจน หรือมลพิษของโลก เน้นหนักในด้านการทำลาย และกำจัด "เขา" ยิ่งทำก็ยิ่งบานปลาย เช่นประกาศสงครามกับลัทธิก่อการร้ายสากล ทำสงครามยึดอิรัก ยิ่งกระตุ้นลัทธิก่อการร้ายฯ แพร่ลามไปทั้งโลก
ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้ "เติมเต็ม" เหตุปัจจัยด้านบวก ไม่ใช้ความมั่งคั่งของตนไปช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนโลก ไม่ได้มองว่า ปัญหาความยากจนของโลก ถึงที่สุดแล้วก็เป็นปัญหาของสังคมอเมริกัน กระทบชีวิตคนอเมริกัน กลับคิดแต่จะควบคุมโลก กำหนดทิศทางการพัฒนาของสังคมโลก ให้เป็นไปในแนวเดียวกันกับสังคมอเมริกัน
ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากยิ่งพัฒนาก็ยิ่งมีปัญหา เพราะความเจริญทางวัตถุ ที่เอื้อต่อความสะดวกของคนส่วนน้อย ไม่อาจนำความสงบสุขมาสู่ประชาชนส่วนใหญ่ได้
โดยภาพรวม โลกตะวันตกที่ใช้แนวคิดเดิมๆชี้นำการคิด การบริหารจัดการ ทั้งในหมู่ประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา จะยิ่งตีบตัน
ตรงกันข้าม บางประเทศที่ใช้การมองสังคมโลก มองสังคมประเทศตน มองปัญหาของตน อย่างสอดคล้องกับสภาวะสังคมโลกยุคปัจจุบัน ก็จะเข้าใจถึงความจำเป็นของการ "เติมเต็ม" เหตุปัจจัยที่เป็นบวกเข้าไปในสังคม เกิดสภาวะสมดุล ทำให้การขับเคลื่อนของสังคมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
การพยายามเติมเต็ม ปัจจัยแห่งสันติภาพและการพัฒนา ให้แก่ตนเองและกับโลก ที่หลายๆ ประเทศทางด้านเอเชียกำลังนิยมปฏิบัติกันอยู่ เช่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย อาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น ทั้งทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ได้นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้านแก่ประเทศเหล่านี้ จำนวนประชากรยากจนลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตของประชาชนสูงกว่าที่อื่นของโลก
สังคมโลกกำลังเคลื่อนตัวไปในรูปของกระแส ด้วยเหตุปัจจัยทั้งที่เป็นคุณและเป็นโทษ เรามีหน้าที่ช่วยกันเติมเต็มเหตุปัจจัยที่เป็นคุณ ขับเคลื่อนสังคมโลกเข้าเข้าสู่ระยะการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทะลุสู่มิติใหม่แห่งอนาคตที่สดใสและสมบูรณ์ยิ่งกว่ายุคใดๆ
สังคมไทยกำลังเคลื่อนตัวไปในรูปของกระแส พัฒนาตนเองด้วยเหตุปัจจัยที่เป็นบวก ทำลายตนเองด้วยเหตุปัจจัยที่เป็นลบ เรามีหน้าที่เต็มเปี่ยมที่จะช่วยกันเติมเต็มเหตุปัจจัยที่เป็นบวกที่เป็นคุณ ขับเคลื่อนสังคมไทยหลุดพ้นจากวังวนแห่งความทุกข์ในเร็ววัน เพื่อการก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใสไปพร้อมๆ กับนานาประเทศในภูมิภาคเดียวกัน
การพิจารณาเห็นถึงตนในฐานะองค์รวมแห่งเหตุปัจจัย ที่ดำรงอยู่ในรูปของกระแส คือเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามอำนาจของเหตุปัจจัยต่างๆ จะทำให้ "ตาสว่าง" มองเห็นช่องแก้ไขปัญหาได้ไม่ยาก
ใคร่ขอให้ทุกท่านลองพิจารณา นำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต และในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
ผู้เขียนจึงเชื่อมั่นในแนวทางที่ว่า "ไฟใต้ ดับได้ ในตน" มีความเป็นไปได้มากกว่า
โดยผู้เข้าไปรับผิดชอบในการจัดการ จะต้องทำความเข้าใจในเหตุปัจจัยทั้งด้านบวกและลบ และหาทางเติมเต็มเหตุปัจจัยด้านบวกอย่างเต็มที่และในทุกวิถีทาง
บอกเคล็ดหน่อยก็ได้ ในการเดินพลังชี่กง เติมเต็มเหตุปัจจัยบวกให้แก่ร่างกายที่ขับเคลื่อนในรูปของกระแสในเช้ามืดวันนั้น (10 ตุลาคม) ผู้เขียนทำหนักแน่นเป็นพิเศษในทุกๆ จุดที่เจ็บปวดและติดขัด (ความเจ็บปวดกับติดขัดอยู่ในจุดเดียวกัน) จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง จนครบ แล้วเริ่มต้นรอบใหม่
ขอออกตัวอีกที ทั้งหมดเป็นเพียงประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจเฉพาะตัว ที่เสนอมาก็เพียงเพื่อขอ "แจม" ด้วยคน เผื่อ "ฟลุก" ได้สร้างกุศลให้แก่ชาวสามจังหวัดภาคใต้และชาวไทยทั้งประเทศ
รวมทั้งให้ตนเองด้วย
การปล่อยให้เหตุการณ์บานปลาย เลยตามเลย ทั้งการปล่อยให้กลุ่มก่อการร้ายขยายการปฏิบัติการ เพิ่มปัจจัยวิกฤตเข้าสู่สังคมไทย หรือปล่อยให้รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่อย่างโดดเดี่ยว คิดยังไงก็ทำยังงั้น ดูจะเป็นการขาดคุณสมบัติความเป็นพลเมืองไทยที่ดี จึงขอ "แจม" ออกความเห็นในเรื่องนี้กับเขาบ้าง
เผื่อฟลุก มีการนำไปพิจารณาอย่างเข้าใจ ประกอบเข้าไปในแนวคิดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของคนไทย โดยเฉพาะคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ปัจจุบัน ผู้เขียนกำลังปฏิบัติและค้นคว้าเรื่องพลังชี่กง เป็นวิทยากรประจำโครงการผู้จัดการสุขภาพ แต่เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา ไม่รู้ไปทำพลาดท่าไหน เกิดอาการเจ็บหัวไหล่อย่างรุนแรง แทบขยับเขยื้อนไม่ได้ จะยกแขนยกมือล้างหน้าเสยผมก็เจ็บแปลบไปตามเส้นประสาทเลยไปถึงท้ายทอย ยังดีที่ไม่ถึงกับชา พยายามแก้ไขด้วยการปิดแผ่น "กอเอี๊ยะญี่ปุ่น" ตรงหัวไหล่ และฝึกชี่กงในตอนเช้าวันเสาร์และอาทิตย์ ได้ผลตรงที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานมากขึ้น แต่อาการพื้นเดิมก็ยังครบทุกประการ จะยกมือเหยียดแขนยังเจ็บทั้งหัวไหล่ (ไหล่ซ้าย)
คิดถึงโรงพยาบาลและนายแพทย์หลินตันเฉียน ผู้เชี่ยวชาญวิชานวดทุยหนาที่รู้จัก กะว่าหากไม่มีอะไรดีขึ้น จะต้องแวะไปโรงพยาบาลหรือวิ่งไปหาคุณหมอหลินแน่
แต่ตั้งสติอีกที เราได้พิจารณาความเจ็บป่วยของตนเองอย่างถ่องแท้ และอย่างถูกต้องหรือยัง? ได้ปฏิบัติต่อตัวเองเต็มที่หรือยัง?
จึงเริ่มใช้วิธีการมองตัวเองเป็นองค์รวมใสๆ ว่าในนั้นไม่มีสิ่งน่าเกลียดที่จะต้องทำลายหรือขจัดออกไป และไม่มีสิ่งน่าถนอมที่จะต้องพยายามคงเอาไว้ แต่มองเพียงว่าตนเป็นองค์รวมของปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่ขับเคลื่อนตนเองอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ ไม่ได้มองความเจ็บป่วยเป็นตัวร้ายที่จะต้องกำจัดออกไปจากตน แต่เป็นองค์ประกอบหนึ่งกำลังขับเคลื่อนไปในองค์รวมใหญ่ที่กำลังขับเคลื่อนไปในรูปของกระแส ที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาได้ก็เพราะมีเหตุปัจจัยเอื้อ ซึ่งอาจเป็นเพราะอายุมากแล้ว กล้ามเนื้อเส้นเอ็นไม่ยืดหยุ่น ใช้แรงกระชากเบรกมือขณะจอดไว้หน้าบ้านจนกล้ามเนื้อฉีก หรืออาจเป็นเพราะเวลาทำงานเขียน อ่านหนังสือ นั่งไม่ตรง หลังงอ ตัวเอียง หรือเอน "งีบ" บนม้านั่ง ไม่ฝึกชี่กงเป็นประจำทุกวัน ฯลฯ
ในภาวะเช่นนี้ คือกำลังเจ็บปวดอย่างหนัก จนต้องตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำอย่างไรกับตนเอง แทนที่จะไปไล่ล่าหาไอ้ตัวร้าย เรามาลงมือ "ปฏิบัติ" จัดการแก้ไขปัญหาเลย น่าจะดีกว่า
เมื่อมองแบบนี้ จึงเห็นช่องทางปฏิบัติ นั่นคือ เติมใส่เหตุปัจจัยที่เป็นคุณสำหรับองค์รวมแห่งชีวิตของตนเต็มที่ ด้วยความรู้ความเข้าใจ และด้วยวิธีการเทคนิคทุกอย่างที่ตนมีอยู่
การมองตัวตนอย่างมีสติดังกล่าว มีขึ้นขณะกำลังเดินพลังชี่กงในท่านอนบนเตียงเมื่อเวลาราว 02.30 น.ของวันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม
การฝึกฝนด้วยท่ายืดและเคลื่อนแขนในลักษณะต่างๆ เท่าที่คิดได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนสว่าง แล้วลุกขึ้นฝึกฝนในท่ายืน ด้วยท่าวิชาที่เคยฝึกมาก่อนและกำลังเผยแพร่อยู่ในปัจจุบัน โดยเน้นการเดินพลังผ่านลำแขนและฝ่ามือเป็นพิเศษ
ภายหลังการฝึกฝนแบบมาราธอนจบสิ้นลง รู้สึกว่าทั้งตัวโปร่งโล่งขึ้น สบายขึ้น อาการติดขัดในจุดเจ็บหนักต่างๆคลายลง แต่ก็ยังคงอาการของคนป่วยไว้ทุกประการ ยังสวมเสื้อยืดด้วยตนเองไม่ได้ ต้องให้ภริยาช่วยสวมให้
แต่ก็บอกกับทุกคนได้ว่า วันนี้ไปทำงานได้
ทว่า ยังไม่ได้ก้าวออกจากบ้านเลย การเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ส่งสัญญาณอย่างแรงและชัดเจนมาก นั่นคือ รู้สึกร่างกายเบาสบายเป็นพิเศษ สามารถขยับแขนได้มากขึ้นเรื่อยๆ แบบนาทีต่อนาที ความรู้สึกอุ่นร้อนรมรุมอยู่รอบๆ เอว โดยเฉพาะตรงบั้นเอว หรือไตทั้งสอง
เมื่อขับรถเข้าสำนักงาน ก็ยังสามารถวาดพวงมาลัยได้เป็นรอบ ด้วยมือที่เจ็บ แต่ก็รู้สึกเพียงเจ็บแปลบแวบเดียว แล้วก็หายไป
เมื่อเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ รู้สึกอย่างเดียวคือ เบาสบายแบบใสๆ และปีติ
สรุปได้ว่า สภาพของผู้เขียนโดยรวมในขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับ (เวลาเที่ยงวันที่ 10 ตุลาคม) หายเกือบเป็นปกติแล้ว องค์รวมของร่างกายทั้งหมดขับเคลื่อนตัวได้เกือบปกติทุกอย่าง เพียงการเคลื่อนมือและแขนซ้ายจะยังติดขัดอยู่บ้าง แต่ก็เชื่อว่า เมื่อผู้เขียนฝึกฝนชี่กงเต็มสูตรเช่นนี้ ร่างกายก็จะกลับคืนสู่ภาวะปกติในเร็ววัน (ในวันถัดมา คือวันที่ 11 ตุลาคม ก็หายไปแบบปลิดทิ้ง)
ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่ต้องวิ่งโร่ไปหานายแพทย์หลิน ก็เพราะสามารถปฏิบัติต่อตนได้ตามสภาวะ ตามความรู้ความเข้าใจ ตามความสามารถที่ตนมีอยู่
ก็เพราะการมองเห็นตนเป็นองค์รวมของปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ขับเคลื่อนตนเองในรูปของกระแสเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง เข้าใจในธรรมชาติของตนกับสรรพสิ่ง
สรุปคือ ก็เพราะการปฏิบัติต่อตนอย่างเข้าใจในธรรมชาติของตน จึงทำให้ตนหลุดพ้นจากทุกข์ได้
ดับโอกาสที่จะเกิดโรคภัยร้ายแรงได้ ในตน
ถึงตรงนี้ ผู้เขียนก็เกิดมุมคิดเพิ่มขึ้นว่า มองตัวอย่างไร ก็สมควรมองสังคมไทยและสังคมโลกอย่างนั้น ในลักษณะที่ว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ที่สังคมโลกเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นองค์รวมของปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ขับเคลื่อนตนเองในรูปของกระแส สังคมไทยเป็นส่วนประกอบหนึ่งขององค์รวมใหญ่นี้ และสามจังหวัดภาคใต้ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งในองค์รวมของปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย ที่กำลังขับเคลื่อนตนเองในรูปของกระแส
และที่สำคัญคือ ภัยก่อการร้ายที่กำลังขับเคลื่อนตนเองอยู่ในสามจังหวัดภาคใต้ ก็เป็นปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในสามจังหวัดภาคใต้ อันเป็นองค์รวมหนึ่งที่ขับเคลื่อนตนเองในรูปของกระแส
สังคมโลกที่กำลังขับเคลื่อนตัวเองในรูปของกระแส มีเหตุปัจจัยทั้งลบและบวกดำรงอยู่และแสดงบทบาทอยู่ในรูปของกระแส
ด้านบวกก็เช่น กระแสสันติภาพและพัฒนา ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยียุคใหม่ พลังการผลิตทันสมัย การเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว การติดต่อสื่อสารและการไหลเลื่อนขององค์ความรู้ใหม่ๆ ไปสู่กันและกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน การสร้างสภาพแวดล้อมให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนกัน ฯลฯ
ด้านลบก็เช่นสงครามและการเข่นฆ่า ทำลายล้างกันในรูปแบบต่างๆ ตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก ความอดอยาก ความยากจน ความแตกต่างระหว่างประเทศร่ำรวยกับประเทศยากจน ผู้เหนือกว่าเอารัดเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า ฯลฯ
เหตุปัจจัยทั้งด้านบวกและด้านลบ มีผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรงทั้งสิ้น
สังคมไทยในบริบทของสังคมโลก จึงขับเคลื่อนไปในแนวเดียวกันกับสังคมโลก แต่มีกระแสย่อยเป็นเหตุปัจจัยบวกและลบเฉพาะของตนดำรงอยู่ เช่นโลกมีปัญหาลัทธิบริโภค ลัทธิก่อการร้ายสากล ปัญหายาเสพติด ปัญหาโรคเอดส์ ปัญหาคอร์รัปชัน ฯลฯ ของไทยเรามีปัญหาคอร์รัปชัน ปัญหาวัยรุ่น ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ ฯลฯ
ณ วันนี้ ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ ได้กลายเป็นปัญหาทุกข์หนักของคนไทยทั้งชาติไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ การแก้ไขปัญหาสังคมไทย คนไทยจึงต้องมองมาที่ตน ว่าสังคมไทยหรือตน ในรูปขององค์รวมแห่งกระแส ซึ่งปัจจุบันก็คือจำเป็นจะต้องเพิ่มเสริมเหตุปัจจัยที่เป็นคุณแบบ "เต็มสูตร" อย่างไร จึงจะแก้ไขปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ได้
วิธีการแก้ไขปัญหาแบบ "เติมเต็ม" เหตุปัจจัยที่เป็นคุณให้แก่สังคมไทย โดยเฉพาะสามจังหวัดภาคใต้ กลายเป็นความจำเป็นอันดับหนึ่ง การไล่ล่าหาคนผิด การประท้วงเพื่อนบ้าน กลายเป็นเพียงองค์ประกอบของการแก้ไขปัญหา ที่สมควรทำและทำตามที่จำเป็น สำหรับให้การแก้ไขปัญหาประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
นั่นคือ การแก้ไขปัญหาจะต้องไม่แยกเขาแยกเรา มองเห็นตนที่เป็นจริง เป็นองค์รวมเหตุปัจจัยที่ขับเคลื่อนในรูปของกระแส
การเห็นแต่เขา จะทำให้เราไม่เห็นตน การเน้นกำจัดเขา จะทำให้ตนเจ็บป่วยหนักขึ้น เพราะในเขามีเรา ในเรามีเขา มันเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ในองค์รวมเดียวกัน
ในระดับโลก ผู้นำสหรัฐฯ และยุโรปหลายประเทศยังยึดการมองโลกแบบแยกส่วน แบ่งเขาแบ่งเราไม่มองสังคมโลกเป็นองค์รวมแห่งปัจจัยเปลี่ยนแปลงที่ดำรงอยู่ในรูปของกระแส การดำเนินนโยบายต่อปัญหาลัทธิก่อการร้ายฯ การแก้ไขปัญหาความยากจน หรือมลพิษของโลก เน้นหนักในด้านการทำลาย และกำจัด "เขา" ยิ่งทำก็ยิ่งบานปลาย เช่นประกาศสงครามกับลัทธิก่อการร้ายสากล ทำสงครามยึดอิรัก ยิ่งกระตุ้นลัทธิก่อการร้ายฯ แพร่ลามไปทั้งโลก
ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้ "เติมเต็ม" เหตุปัจจัยด้านบวก ไม่ใช้ความมั่งคั่งของตนไปช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนโลก ไม่ได้มองว่า ปัญหาความยากจนของโลก ถึงที่สุดแล้วก็เป็นปัญหาของสังคมอเมริกัน กระทบชีวิตคนอเมริกัน กลับคิดแต่จะควบคุมโลก กำหนดทิศทางการพัฒนาของสังคมโลก ให้เป็นไปในแนวเดียวกันกับสังคมอเมริกัน
ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากยิ่งพัฒนาก็ยิ่งมีปัญหา เพราะความเจริญทางวัตถุ ที่เอื้อต่อความสะดวกของคนส่วนน้อย ไม่อาจนำความสงบสุขมาสู่ประชาชนส่วนใหญ่ได้
โดยภาพรวม โลกตะวันตกที่ใช้แนวคิดเดิมๆชี้นำการคิด การบริหารจัดการ ทั้งในหมู่ประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา จะยิ่งตีบตัน
ตรงกันข้าม บางประเทศที่ใช้การมองสังคมโลก มองสังคมประเทศตน มองปัญหาของตน อย่างสอดคล้องกับสภาวะสังคมโลกยุคปัจจุบัน ก็จะเข้าใจถึงความจำเป็นของการ "เติมเต็ม" เหตุปัจจัยที่เป็นบวกเข้าไปในสังคม เกิดสภาวะสมดุล ทำให้การขับเคลื่อนของสังคมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
การพยายามเติมเต็ม ปัจจัยแห่งสันติภาพและการพัฒนา ให้แก่ตนเองและกับโลก ที่หลายๆ ประเทศทางด้านเอเชียกำลังนิยมปฏิบัติกันอยู่ เช่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย อาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น ทั้งทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ได้นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้านแก่ประเทศเหล่านี้ จำนวนประชากรยากจนลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตของประชาชนสูงกว่าที่อื่นของโลก
สังคมโลกกำลังเคลื่อนตัวไปในรูปของกระแส ด้วยเหตุปัจจัยทั้งที่เป็นคุณและเป็นโทษ เรามีหน้าที่ช่วยกันเติมเต็มเหตุปัจจัยที่เป็นคุณ ขับเคลื่อนสังคมโลกเข้าเข้าสู่ระยะการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทะลุสู่มิติใหม่แห่งอนาคตที่สดใสและสมบูรณ์ยิ่งกว่ายุคใดๆ
สังคมไทยกำลังเคลื่อนตัวไปในรูปของกระแส พัฒนาตนเองด้วยเหตุปัจจัยที่เป็นบวก ทำลายตนเองด้วยเหตุปัจจัยที่เป็นลบ เรามีหน้าที่เต็มเปี่ยมที่จะช่วยกันเติมเต็มเหตุปัจจัยที่เป็นบวกที่เป็นคุณ ขับเคลื่อนสังคมไทยหลุดพ้นจากวังวนแห่งความทุกข์ในเร็ววัน เพื่อการก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใสไปพร้อมๆ กับนานาประเทศในภูมิภาคเดียวกัน
การพิจารณาเห็นถึงตนในฐานะองค์รวมแห่งเหตุปัจจัย ที่ดำรงอยู่ในรูปของกระแส คือเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามอำนาจของเหตุปัจจัยต่างๆ จะทำให้ "ตาสว่าง" มองเห็นช่องแก้ไขปัญหาได้ไม่ยาก
ใคร่ขอให้ทุกท่านลองพิจารณา นำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต และในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
ผู้เขียนจึงเชื่อมั่นในแนวทางที่ว่า "ไฟใต้ ดับได้ ในตน" มีความเป็นไปได้มากกว่า
โดยผู้เข้าไปรับผิดชอบในการจัดการ จะต้องทำความเข้าใจในเหตุปัจจัยทั้งด้านบวกและลบ และหาทางเติมเต็มเหตุปัจจัยด้านบวกอย่างเต็มที่และในทุกวิถีทาง
บอกเคล็ดหน่อยก็ได้ ในการเดินพลังชี่กง เติมเต็มเหตุปัจจัยบวกให้แก่ร่างกายที่ขับเคลื่อนในรูปของกระแสในเช้ามืดวันนั้น (10 ตุลาคม) ผู้เขียนทำหนักแน่นเป็นพิเศษในทุกๆ จุดที่เจ็บปวดและติดขัด (ความเจ็บปวดกับติดขัดอยู่ในจุดเดียวกัน) จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง จนครบ แล้วเริ่มต้นรอบใหม่
ขอออกตัวอีกที ทั้งหมดเป็นเพียงประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจเฉพาะตัว ที่เสนอมาก็เพียงเพื่อขอ "แจม" ด้วยคน เผื่อ "ฟลุก" ได้สร้างกุศลให้แก่ชาวสามจังหวัดภาคใต้และชาวไทยทั้งประเทศ
รวมทั้งให้ตนเองด้วย