xs
xsm
sm
md
lg

14 ตุลา

เผยแพร่:   โดย: คำนูณ สิทธิสมาน

สุดสัปดาห์นี้ก็จะครบรอบ 32 ปีเหตุการณ์ “14 ตุลา” ปีนี้ไม่มีงานใหญ่โตอะไรมากนักแล้ว รัฐบาลชุดนี้ที่มีแกนนำหลายเป็นเป็นอดีตนักศึกษาที่เคยเคลื่อนไหวในยุคนั้นอย่างโชกโชนก็เงียบ ๆ ไป นายกรัฐมนตรีก็ไปปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติอยู่ในยุโรปเสียแล้ว ไม่ต้องลุ้นว่าท่านจะไปร่วมงานหรือเปล่า

การจัดงานก็คงเป็นเรื่องของ “คนกันเอง” จำนวนหนึ่ง

เหมือนงานเลี้ยงรุ่นที่พบเจอกันอย่างเป็นทางการ นอกเหนือที่เจอกันในงานสังคมต่าง ๆอยู่บ้าง

ก็คงจะเป็นไปในรูปนี้จนแก่กันไป เหมือนงานรำลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครอง “24 มิถุนา” หรืองานวันสันติภาพ “16 สิงหา” ของขบวนเสรีไทย ที่แทบไม่มีสมาชิกดั้งเดิมเหลืออยู่แล้ว และคนหนุ่มสาวร่วมสมัยก็ไม่ได้รับรู้นัยสำคัญด้วยเท่าที่ควร

แม้ในรัฐบาลชุดนี้ “14 ตุลา” จะยกระดับขึ้นมาเป็นวันสำคัญของชาติประเภทที่ไม่ใช่วันหยุดราชการ

แต่การได้ชื่อว่า “วันประชาธิปไตย” ก็ไม่ได้ทำให้สารัตถะนี้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

มีคนถามผมว่าจะเข้าใจความเป็น “14 ตุลา” ได้ดีที่สุดจากงานชิ้นใดของใคร

ผมคิดอยู่นานก่อนจะนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ออกฉายเมื่อปี 2544

“14 ตุลา สงครามประชาชน”

ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เหมือน “สุริโยไท” ที่จะเข้าถึงได้ ต้องมีพื้นฐานมากพอสมควร มากพอที่จะเข้าใจสถานการณ์การเมืองพื้นฐานในขณะนั้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว “14 ตุลา สงครามประชาชน” ยากกว่า

ที่ว่ายากกว่าก็คือผมไม่รู้จะแนะนำให้อ่านหนังสือเรื่องอะไรเป็นการบ้านก่อนเข้าชม

มิหนำซ้ำยังไม่มีคู่มือจากผู้สร้างแจกให้เสียด้วย !

กับ “สุริโยไท” ถ้าได้อ่านงานเขียนของนักเขียนสำนัก “ศิลปวัฒนธรรม” ของคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ และงานของท่านอาจารย์ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์อีกบางชิ้น ก็จะเข้าในสมมติฐานของการตีความประวัติศาสตร์การเมืองในยุคนั้นได้ดี

งานเขียนของท่านอาจารย์ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุลนั้นพอจะเป็นพื้นฐานให้เข้าใจชีวิตช่วงต่าง ๆ ของท่านได้ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่คงไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์การต่อสู้ทางการเมืองในช่วง “14 ตุลา” ได้ดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้ทางความคิดภายในขบวนนักศึกษาระหว่าง 14 ตุลาคม 2516 – 6 ตุลาคม 2519 และการต่อสู้ด้านแนวทางภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และภายในขบวนคอมมิวนิสต์สากล

บทภาพยนตร์มีความคมและลึกมาก

ช็อตต่อช็อต ประโยคต่อประโยค บอกเล่า “เนื้อหา” และ “ความหมาย” มากกว่าที่จะผ่านเลยไปง่าย ๆ

จนพอจะกล่าวได้ว่าแทบไม่มีประโยคใดใส่เข้ามาโดยไม่มีจุดประสงค์จะบอกเล่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย

ถ้าสามารถมี “เชิงอรรถ” อรรถาธิบายตาม – บทภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นงานประวัติศาสตร์ชั้นดี

ขอยกตัวอย่างเชิงอรรถที่ควรจะมีอย่างยิ่ง….

•อิทธิพลแนวคิดซ้ายจัดที่เข้ามาครอบงำฝ่ายนำในขบวนนักศึกษาก่อน 6 ตุลาคม 2519

•พรรคคอมมิวนิสต์ไทยขึ้นต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน

•ความขัดแย้งภายในขบวนคอมมิวนิสต์สากล

•การที่จีนขายการปฏิวัติไทยให้แก่รัฐบาลไทยยุคพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ แลกกับการสนับสนุนเขมรแดงและต่อต้านเวียดนาม

และหากจะเพิ่มอีกสักหนึ่งก็เห็นจะเป็น….

•สภาพทั่วไปของขบวนนักศึกษาก่อน 14 ตุลาคม 2516 และความแตกต่างทางความคิดระหว่างนักเคลื่อนไหวของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับมหาวิทยาลัยอื่น

บทภาพยนตร์แสดงให้เห็นสิ่งที่ผมเรียกว่า “อิทธิพลแนวคิดซ้ายจัด” ที่เข้ามาครอบงำฝ่ายนำในขบวนนักศึกษาก่อน 6 ตุลาคม 2519 หลายตอน

แต่ที่เด่นชัดจะผ่านการโต้แย้งทางความคิดระหว่างตัวละครที่แสดงเป็น “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” กับตัวละครที่แสดงเป็น “ฝ่ายนำขบวนนักศึกษาคนหนึ่ง” ระหว่างการประท้วงที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา ถนนวิทยุ ผมเข้าใจว่าจำลองสถานการณ์ช่วงกลางปี 2518 ขณะประท้วงกรณีมายาเกซ จากการบอกเล่าของตัวละครที่แสดงเป็น “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” เองในประโยคอื่น ๆ ในตอนต่อ ๆ มาว่าแนวทางของขบวนนักศึกษาเป็นการโดดเดี่ยวตัวเอง

แนวคิดซ้ายจัด ณ ที่นี้มาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งรับต่อมาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนอีกต่อหนึ่ง เป็นแนวคิดของกลุ่มแก๊ง 4 คน นำโดยนางเจียงชิง ภรรยาเหมาเจ๋อตง

แนวคิดซ้ายจัดนี้มีมาตั้งแต่ยุคปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนที่เป็นผลให้มีการเข่นฆ่าทำลายล้างชีวิตผู้คนไปไม่น้อยในนามของการปฏิวัติและการดัดแปลงหล่อหลอมตนเอง

โดยเฉพาะเมื่อพอลพตรับไปปฏิบัติในกัมพูชาระหว่างปี 2518 – 2522

แนวคิดนี้เริ่มหมดบทบาทไปในวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1976 เมื่อแก๊ง 4 คนถูกโค่นล้ม และเติ้งเสี่ยวผิงเริ่มกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง

บทภาพยนตร์บอกเล่าวันสำคัญนี้ไว้ด้วยถ้าสังเกตให้ดี เพราะเป็นวันเดียวกันกับการเข่นฆ่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่เป็นวันที่ตัวละครเอกในเรื่องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าแล้ว

บางที การชำระประวัติศาสตร์เหตุการณ์ในอดีตน่าจะรวมประเด็น “แนวคิดซ้ายจัด” ในขบวนด้วย !

จะเข้าใจแนวคิดซ้ายจัดที่เข้ามามีอิทธิพลในช่วงนั้น ก็ต้องมีพื้นฐานความเป็นมาและความขัดแย้งภายในขบวนคอมมิวนิสต์สากล และการก่อกำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ตามสมควรด้วย อันจะเป็นประเด็นต่อเนื่องให้เข้าใจว่าเหตุไฉนจีนจึงเห็นเวียดนามเป็นศัตรูร้ายแรง ถึงขนาดยอมมาคบหาสมาคมกับรัฐบาลไทย และยอมปิดสถานีวิทยุเสียงประชาชนไทยที่ตั้งอยู่ในเมืองคุนหมิง

บทภาพยนตร์เกาะกุมอยู่กับประเด็นปัญหาเหล่านี้เป็นหลัก

แม้ไม่มีพื้นฐานเลยจะไม่ถึงกับทำให้ดูภาพยนตร์ไม่รู้เรื่อง แต่ถ้ามีพื้นฐาน จะดูสนุกและได้อรรถรสมากกว่า

บทภาพยนตร์มีความโดดเด่นตรงที่ใช้ฉากเหตุการณ์ 14 ตุลา ที่ “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” ถูกกดดันและถูกกล่าวหาต่าง ๆ นานาในช่วงเย็นจนถึงดึกวันที่ 13 ต่อเช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์ก่อนเข้าป่าที่ถูกคุกคามเอาชีวิต สลับกับฉากต่อสู้ทางความคิดกับฝ่ายนำของพรรคคอมมิวนิสต์ในป่า และจบลงที่แม้ผ่านการตัดสินใจต่อสู้อีกครั้งหนึ่งแล้ว สถานการณ์ก็ไม่เป็นใจ และลงเอยด้วยการตัดสินใจพื้นฐานที่สุดของมนุษย์คนหนึ่ง…

คือ กลับบ้าน !

กลับบ้านด้วยหัวใจที่อ่อนล้า !!

ภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อให้เกิดวิวาทะระหว่าง “คนเดือนตุลา” พอควรเมื่อ 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ท่านอาจารย์ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุลถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเด็น

โดยเฉพาะประเด็นสะท้อนภาพด้านลบของพรรคคอมมิวนิสต์ไทย

ท่านอาจารย์ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุลบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ชื่อเดิมว่า “คนล่าจันทร์” เป็นเรื่องชีวิตของท่าน มุมมองของท่าน ไม่ใช่ประวัติศาสตร์เหตุการณ์ ก่อนเริ่มต้นเรื่องก็บ่งบอกไว้ด้วยประโยค “ในชะตากรรมของประเทศ มีชะตากรรมของบุคคล” แต่ถูกเปลี่ยนชื่อด้วยเหตุผลทางการตลาด

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม – ถือเป็นภาพยนตร์ที่ควรหามาดูเรื่องหนึ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น