xs
xsm
sm
md
lg

ฝนตกขี้หมูไหล คำพังเพยที่ไม่มีวันตาย

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

ผมเป็นคนไทยรุ่นเก่า ที่มีกรรมมีเวรอย่างหนึ่งที่ต้องอยู่กับกรรมเวรที่ว่านั้น นั่นคือ เป็นคนที่ติดอยู่กับความคิดเก่าๆ ของคนไทยรุ่นเก่าๆ หลงใหลอยู่กับภาษาไทยเก่าๆ ส่วนมากจะเป็นภาษาพื้นเมืองหรือภาษาพื้นบ้านของไทย ซึ่งผมไปหลงเอาว่ามันมีความหมายมากที่สุด เมื่อพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ในเรื่องของคน และในชีวิตที่จำเป็นจะต้องนำภาษาหรือคำนั้นๆ มาใช้

ภาษาเหล่านั้นมีความหมายลึก และมีความชัดเจนถึงอกถึงใจคนฟังนัก อย่างคำว่า “สัตว์” ถ้าเป็นสัตว์ธรรมดาก็จะใช้คำนั้นเพียงคำเดียวก็ไม่มีความหมายอะไรมากมายนัก สัตว์จะเป็นประโยชน์และมีบุญคุณต่อคนเสียอีก แต่ถ้าเติมคำว่า “เดียรัจฉาน” หรือ “ดิรัจฉาน” เข้าไปประกบอีกตัวหนึ่ง จะทำให้มองเห็นภาพของความชั่วร้าย และความเลวร้ายอย่างชัดเจนในทันทีว่าสัตว์ประเภทนั้นมันเลวทรามอย่างหาที่เปรียบมิได้

นั่นคือคุณค่า และความยิ่งใหญ่ของภาษาไทย

ความจริงคำว่า เดียรัจฉานหรือดิรัจฉานไม่ใช่คำที่ร้ายแรงอะไร ศัพท์เดิมจากภาษาบาลีที่แปลว่า “สัตว์ผู้ไปขวาง” หรือไม่ได้เดินไปตรงๆ แต่เมื่อมันถูกนำมาใช้เป็นภาษาชาวบ้านชั้นธรรมดาสามัญแล้ว คำว่า เดียรัจฉานจะบอกถึงความชั่วช้าของคนอย่างถึงขนาด ไม่ต้องมีคำบอกกล่าวบรรยายอะไร ทุกคนจะรู้สึกทันทีว่าใครที่เป็นพวกสัตว์เดียรัจฉานโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

เพราะฉะนั้นจึงมีคนบางคนที่ชอบใช้คำนี้ในการทำลายคนอื่น หรือให้ร้ายคนอื่นในขณะที่เขาเองก็เป็นเดียรัจฉานไม่น้อยไปกว่ากัน

เวลานี้บ้านเมืองของเราเฉพาะใน 3 จังหวัดภาคใต้ นอกจากจะมีคนธรรมดาสามัญอยู่กันอย่างสงบมานานแล้ว ยังมีคนที่เป็นสัตว์เดียรัจฉานพวกหนึ่งซึ่งเป็นนักการเมืองของเราสำรอกเรียกขานออกมาแล้ว เพราะถือว่าเที่ยวปล้นเที่ยวฆ่าคนอย่างไม่มีเหตุผลเหมือนกับทางการของเราซึ่งได้ฆ่าคนไปเป็นร้อยเป็นพันคนแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสุเหร่าหรือสถานที่ราชการ หรืออุ้มไปจากรถเก๋งเพื่อไปฆ่าเสียในที่ใดที่หนึ่ง แต่การทำของเราจะไม่มีการถือว่าเป็นการทำของเดียรัจฉาน ทั้งๆ ที่เราเป็นเดียรัจฉานอย่างเต็มภาคภูมิก็ตาม

อีกคำหนึ่งที่น่าสนใจก็คือคำว่า “เห่า” ก็หมายถึงการเปล่งเสียงของสัตว์บางชนิดคือ “หมา” หรือ “สุนัข” เพราะฉะนั้นเมื่อจะพูดถึงหมาออกเสียงก็เป็นเรื่องของการเห่าตามธรรมดาของหมา แต่ถ้าเติมคำเข้าไปอีกสักสองสามคำ เช่นคำว่า “ใบตองแห้ง” ซึ่งหมายถึงใบกล้วยที่แห้งแล้ว ก็จะเปลี่ยนความหมายไปอย่างมีรสชาติถึงใจคนฟังทันทีคือ หมาเห่าใบตองแห้ง ซึ่งเป็นหมาที่ไม่มีน้ำยาอะไรเลย เพราะใบตองแห้งนั้นไม่ต้องไปเห่าอะไรมัน มันมีแต่จะเน่าจะผุไป เพราะมันแห้งไปแล้ว

เมื่อเอามาใช้กับคนที่เป็นเพียงหมาที่มีปัญญาเพียงเห่าใบตองแห้งเท่านั้น อะไรที่มันมีฤทธิ์มีเดชกว่าใบตองแห้งแล้ว มันจะไม่มีปัญญาทำอะไรเลย หรือไม่กล้าเห่าเอาเลยด้วยซ้ำ

นั่นเป็นคำที่มีความหมายคำหนึ่งในภาษาไทย

ภาษาไทยนั้น มีความหมายยิ่งใหญ่ และให้ความชัดเจนที่สุดต่อพฤติกรรมของคนประเภทดีแต่เห่าพวกนี้

เวลานี้เมืองไทยมีหมาเห่าใบตองแห้งอยู่มาก ทั้งในวงการเมือง วงการปกครองของเรา พูดไปเห่าไป แต่ไม่สามารถจะทำอะไรได้ และไม่มีวันที่จะทำอะไรที่เป็นจริงเป็นจังได้เลย ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือเรื่องราวใน 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับบ้านเมืองยุคนี้ ที่มีการฆ่ากันเป็นว่าเล่น ฆ่าเป็นรายวัน รายอาทิตย์เป็นเวลา 20 เดือนมาแล้ว แต่ไม่มีใครทำอะไรนอกจากด่าคำที่รุนแรงอย่างคำว่า “พวกสัตว์เดียรัจฉาน” เราก็เอามาใช้ แต่ถ้าจะให้เราแก้ไขหรือทำอะไรให้มันดีมากกว่าการเห่าเราทำไม่ได้ ทุกวันเราจะต้องพูดโน่นอวดนี่แบบเห่าใบตองแห้งกันเรื่อยๆ ไป!!

เป็นคำที่บอกกล่าวถึงความไม่มีน้ำยาของคน

มีอีกคำหนึ่งที่ไม่มีผู้ลากมากดีหรือนักวิชาการคนใดนิยมใช้กัน เพราะถือว่าเป็นคำไม่สวยคือคำว่า “ฝนตกขี้หมูไหล” ซึ่งหมายถึงว่าขี้หมูหรืออุจจาระของหมูที่สกปรก และไม่มีประโยชน์ ในสมัยนั้นมันจะไหลได้ก็เมื่อมันถูกฝนชะหรือมีน้ำพัดเข้ามามันก็จะไหลไปกับน้ำ ถ้าไม่มีน้ำมันก็ไม่ไหล

การผสมของขี้หมูและน้ำนี้เองที่ทำให้ขี้หมูถูกพัดพาไปตามที่ใดที่หนึ่งที่ท่านถือว่ามีแต่จะนำความสกปรก และความเหม็นกระจายออกไปเปรอะเปื้อนที่ไม่ควรจะเปรอะเปื้อน ท่านจึงเพิ่มความหมายของคำว่า “ฝนตกขี้หมูไหล” ขึ้นมาอีกคำหนึ่งคือคำว่า “คนจัญไรมาพบกัน” ทำให้ความเน่าเหม็นสกปรกแพร่ไปทั่ว

คนรุ่นใหม่สมัยที่เรากำลังสนุกสนานกันอยู่ทุกวันนี้ อาจจะไม่มีใครสนใจหรืออาจจะไม่ค่อยรู้จักกันดีนัก ทั้งที่มันเกิดขึ้นในบ้านเมืองไม่ได้หยุด

และในเวลาเดียวกันนี้ ก็ดูเหมือนว่าในบ้านเมืองของเราก็มีคนประเภทที่เรียกว่า “พวกคนจัญไร” ก็เกิดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนกัน และคนพวกนี้ก็รวมตัวกันขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กระทำกรรมต่างๆ ให้เห็นตามภาษาโบราณของไทยเดิมคือคำว่าเมื่อ “ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน” คือทำอะไรที่มันดีงาม และเป็นมงคลไม่ได้นอกจากทำแต่เรื่องอัปรีย์จัญไรกันทั้งสิ้น

ไม่ต้องอะไรมาก เพียงแต่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ให้เด็กไปซื้อหนังสือพิมพ์มาฉบับหนึ่ง เฉพาะ “มติชน” เพียงฉบับเดียวเท่านั้น ข่าวเกี่ยวกับความจัญไรของคนที่มาพร้อมกับฝนตกก็ดูเหมือนจะมีมากเกินความต้องการเสียด้วยซ้ำ

ข่าวแรก มติชนพาดหัวข่าวว่า

“ตร.เอาเรื่องปลอม 5 หมื่นชื่อเช็กบิล “สนั่น” เจ้าตัวยื้อสู้คดีหลังเลือกตั้งซ่อม-“สุชน” หารือญัตติ 22 ส.ว.ขัดรัฐธรรมนูญบรรจุไม่ได้”

“นโยบายแก้หนี้รัฐบาลทำป่วน แบงก์ขวัญเสีย เริ่มมีชักดาบ”

“โผย้าย สธ.แท้ง-ส.ส.ทรท.เคลื่อนบี้ “สุชัย” ออก-“สมคิด” เปรยอยากไขก๊อกพาณิชย์”

“แม้วด่าม็อบมาเลเซียข้ามชาติ หัวหน้าโจร”

“ปิยสวัสดิ์ชี้น้ำมันพุ่งไม่เกี่ยวเฮดจ์ฟันด์ จี้ปรับขายปลีกสะท้อนราคาจริงที่สุด”

นี่เพียงแค่หน้าแรกหน้าเดียว จะเห็นได้ว่าข่าวที่เป็นสิริมงคลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนพลเมืองไม่มีเลย หรือมีเพียงข่าวสองข่าวที่เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่เล็กๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น

อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เป็นวันรุ่งขึ้นของที่ว่านี้ ลองมาหยิบ “ไทยรัฐ” ดูเพียงหน้าเดียวก็เหมือนกัน ทำให้มองไม่เห็นเลยว่าอนาคตของบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรกันต่อไป นั่นคือพาดหัวข่าวที่ว่า “โจรใต้ถล่มทหารพราน 5 ศพ ตัดหัวชาวบ้าน เหิมบุกโจมตีฐานชิงอาก้า 7 กระบอก โรยตะปูหนีไล่ล่า” และ “เด็กไทย 1.5 ล้านคน ติดเกมงอมแงม” ฯลฯ

มากมายจนพูดถึงได้ไม่หมด

พูดอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากพูดกันแบบกำปั้นทุบดินไปเลยว่า ยุคนี้เป็นยุคที่เรียกว่า “ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน” ทั้งนั้น พูดอย่างอื่นคงไม่ถูกต้อง

ทุกพวกทุกประเภทสามารถจะเลวและชั่วได้ ตั้งแต่พวกหัวหงอกหัวดำลงมา จนกระทั่งเด็กแบเบาะก็นอนกลืนเหรียญสิบกว่าอันเข้าไปในท้องแทบจะต้องตายก็ยังเป็นไปได้ หรือปู่อายุ 50 กว่า ข่มขืนหลานสาวอายุ 8 ขวบ

เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นทั้งสิ้น

และเกิดขึ้นแล้วก็ไม่น่าจะต้องยืดยาวบานปลายไปถึงขนาดที่ทำให้เสียเวลาของบ้านเมือง เสียเงินเดือนที่ต้องจ่ายให้พวกหัวหงอกหัวดำที่มานั่งทำความผิดกันมาเป็นแรมปีให้สนุกสนานกันต่อไป อย่างเรื่อง สตง.กับสภาวิปลาสของเราซึ่งเป็นเรื่องเก่า ความคิดเห็นเก่าๆ ที่มันผิดมาแล้วมันก็ต้องผิด หรือถ้ามันถูกมาแล้วมันก็ต้องผิดไม่ได้อีก อะไรใหม่อะไรเก่าที่จะต้องมานั่งสุมหัวเถียงกันต่อไปจนไม่มีวันสิ้นสุด

หรือถ้าจะพูดกันอย่างกำปั้นทุบดินก็คือ บ้านเมืองมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ทุกอย่างสำหรับการปฏิบัติและดำเนินการไว้เรียบร้อยแล้ว และที่ทำกันมาแล้วก็ทำตามระบบกฎเกณฑ์ที่มีอยู่นั้น ที่จะมาเถียงว่าอะไรผิดอะไรถูกมันก็เหมือนเดิม เพราะความผิดความถูกมันอยู่ที่ระเบียบกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ไม่เอาคนที่มีแต่ความอคติลำเอียงหรือมีผลประโยชน์ได้เสีย หรือต้องการประจบเอาใจเจ้านายให้มันวุ่นวายไปอย่างที่ทำกันอยู่

อีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าใครจะตัดสินอย่างไรหรือคิดอย่างไรก็ตาม อย่างกรณี สตง.ไม่ว่า ส.ว.หรือสภาจะว่าอย่างไรก็ตาม แต่คุณหญิงจารุวรรณนั้นเป็นผู้ว่าฯ สตง.มาแล้วอย่างถูกต้องไม่ไปติดสินบาทคาดสินบนใครหรือประจบสอพลอใครเข้ามา และทุกคนทุกฝ่ายก็ยอมรับกันมาแล้วเป็นแรมเดือนแรมปี มันจะผิดหรือไม่ผิดมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ หรือจะไม่ได้ทำอะไรให้ถูกต้องหรือเกิดความดีความชอบอะไรขึ้น และแม้แต่คุณหญิงจารุวรรณเองก็กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องของพระราชอำนาจ ถึงแม้ว่าผลของ สตง.จะออกมาอย่างไร ดิฉันก็ยังยืนยันเช่นเดิม” (มติชน 5 ตุลาคม 2548)

หรือใครออกมาท้าทายพระราชอำนาจที่ว่านั้น?

มันน่าจะหนักไปหน่อยละกระมัง?

สำหรับคำยืนยันที่ว่า “ทุบโต๊ะขัดรัฐธรรมนูญไม่ได้” ที่กำแหงแผลงฤทธิ์ออกมานั้น ทำไมก่อนที่จะยอมให้คุณหญิงจารุวรรณมารับตำแหน่ง จึงไม่ยอมจัดรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้ถูกต้องเสียก่อนเล่า อยากให้มันเป็นยังไงก็เขียนเสียอย่างนั้น ไม่ต้องมาเถียงกัน

ไม่มีอะไรนอกจากเป็นเรื่อง “ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน” ตามความวิปริตของดินฟ้าอากาศเท่านั้น

มันไม่เกี่ยวกับว่าอะไรผิดอะไรถูกทั้งสิ้น

ถึงแม้ว่าสภาจะว่าอย่างไร ถ้ามันแตกต่างไปจากที่มันเป็นมาแล้ว เรื่องมันก็จะไม่มีวันยุติ เพราะคุณหญิงจารุวรรณประกาศยืนยันออกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่า เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ใครจะมาเอาออกมันทำไม่ได้ ท่านก็จะดำรงตำแหน่งของท่านต่อไป

แล้วจะทำยังไงกันต่อไป พระคุณท่าน?

เช่นเดียวกับกรณีย้ายข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมกัน 9 คนนั่นก็เหมือนกัน นับตั้งแต่ฮิตเลอร์ลงมาจนกระทั่งถึงจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ถือกันว่าเป็นโคตรเผด็จการ ก็ไม่เคยมีใครกล้าทำกับคนแบบนี้ ถึงมันจะเป็นความจริงที่คนเหล่านี้จะผิดพลาดในการทำงาน แต่ที่จะผิดพร้อมกันจนต้องลงโทษกันถึง 9 คนนั้น มันเป็นไปไม่ได้

และจะไปประกาศให้โลกที่ไหนรับรู้ทั้งโลกก็ยอมรับไม่ได้

แต่รัฐมนตรีสาธารณสุขที่เป็นเพียงทารกในขบวนการไอ้ตี๋ทางการเมืองคนหนึ่งก็ยังกล้าทำ โดยอ้างกันว่ามีคุณหญิงเจ้าของประเทศหนุนหลัง

มันมากเกินไปแล้ว

ผู้หญิงที่กู้ชาติ และต่อสู้เพื่อชาติมาแทบเอาชีวิตไม่รอดอย่างท้าวเทพกษัตรี ท้าวศรีสุนทร หรือคุณหญิงโมก็ทำมาแล้ว แต่ยังไม่มีวีรสตรีคนไหนที่จะกระโดดออกมาเหยียบย่ำผู้คนแทนสามีอย่างไม่คำนึงถึงอะไรควรไม่ควร นอกจากถือเสียว่าตัวมีอำนาจและมีเงินเป็นพอ

บรรดา “ไอ้ตี๋ทางการเมือง” ที่พากันขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโตสลอนกันอยู่ทุกวันนี้ น่าจะไปฝึกฝนเรียนรู้เรื่องราวของการเมืองให้ดีกว่านี้สักนิดจะดีกว่า

อย่าไปคิดว่าวัฒนธรรมฝนตกขี้หมูไหลของไทยจะสามารถช่วยได้ตลอดไป

มันก็อาจจะพอช่วยให้หากินได้เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น!!
กำลังโหลดความคิดเห็น