เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว คำว่า "โลกาภิวัตน์ (Globalization)" เป็นคำที่ "สุดฮิต-ยอดฮิต" ที่สุด ถ้าใครไม่รู้คำนี้หรือเอ่ยถึงคำนี้ถือว่า "เชย!" อย่างมาก จนไม่ว่าจะเป็นวงสนทนา หรือในชั้นเรียน แม้แต่วงการสื่อสารมวลชนต่างกล่าวถึงคำว่า "โลกาภิวัตน์" อยู่ตลอดเวลา หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็หมายความว่า "โลกาภิวัตน์" คือ "แนวคิดใหม่-กระแสใหม่" ของโลกไปเลยทีเดียว!
ว่าไปแล้ว จะไปต่อว่าต่อขานผู้คนในยุคก่อนข้ามศตวรรษที่ 21 เมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นก็คงไม่ได้ เพราะ "สังคมโลก" ยังไม่ได้ถูก "เชื่อมแบบต่อติด!" เหมือนปัจจุบันที่โลกใบเล็กลง แต่มิใช่ทางกายภาพ แต่โลกเล็กลง เนื่องด้วย "ข้อมูลข่าวสาร" สามารถ "สานเชื่อม" กันได้อย่างรวดเร็ว ทันทีทันใด กล่าวคือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ ณ จุดเล็กๆ ที่ไหนของโลก ประชาคมโลกสามารถรับรู้ ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นเดี๋ยวนั้นหรืออย่างน้อยก็ไม่เกิน 10-20 นาทีต่อจากนั้น
การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร โดยเฉพาะ "ดาวเทียม (Satellite)" ที่เป็นส่วนสำคัญด้าน "ฮาร์ดแวร์ (Hardware)" ได้มีการพัฒนาอย่างมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาด้วยการส่งจรวดและยานอวกาศออกไปนอกโลกเพื่อปล่อยดาวเทียมโคจรไปทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเฉพาะดาวเทียมเพื่อการสื่อสารอย่างเดียว น่าจะมากถึงหลักร้อยขึ้นไป รวมถึงดาวเทียมเพื่อการสำรวจอากาศหรืออุตุนิยม ดาวเทียมราชการลับ และดาวเทียมเพื่อป้องกันภัยจากอวกาศนอกโลก เป็นต้น เพราะฉะนั้น นานาสารพัดดาวเทียมสารพัดประโยชน์น่าจะโคจรอยู่ชั้นบรรยากาศนอกสุดรอบโลกอย่างต่ำประมาณเกือบ 200 กว่าดวง
ความสำเร็จของ "ดาวเทียม" เหล่านี้ทำให้ต้องมีการผลิตและป้อนข้อมูลที่เรียกว่า "ซอฟต์แวร์ (Software)" จำนวนมากเพื่อ "การรายงาน-เตือนภัย" และไม่สำคัญเท่ากับ "เชิงพาณิชย์" ที่นับวัน "ข้อมูลข่าวสาร" แทบจะ "ล้นทะลัก" ในการที่ประชาชนจะสามารถรับรู้เกินความเพียงพอ จนเรียกสังคมยุคใหม่ว่า "สังคมสารสนเทศ" หรือ "Information Society"'
"สังคมสารสนเทศ" เปลี่ยนแปลง "โลก" ให้เป็น "สังคมโลก" ที่สามารถ "รับรู้-เรียนรู้" ข้อมูลข่าวสารอย่างเท่าเทียมกันและรวดเร็ว ไม่ว่าจะอยู่แห่งไหนมุมใดของโลก
"โลกาภิวัตน์" มิใช่เฉพาะเจาะจงเพียง "สังคมสารสนเทศ-ข้อมูลข่าวสาร" อย่างเดียวเท่านั้น แต่ "โลกาภิวัตน์" ก่อกำเนิด "กระแส" สำคัญที่เมื่อประชาคมโลก "รับรู้-เรียนรู้" ข้อมูลข่าวสารที่มาจากแหล่งเดียวกัน เนื่องด้วย "ผู้ผลิต-ผู้ป้อน (Feed)" ข้อมูลต่างๆ ผ่านสื่อดาวเทียมจนประชาคมโลก "บริโภค (Consume)" ได้อย่างมากและตลอดเวลา ผลกระทบสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นคือ "พฤติกรรม (Behavior)" ของมนุษยโลกเริ่ม "คิด-ปฏิบัติ" ในแนวทางเดียวกันจนเกิด "กระแสโลกาภิวัตน์"
กระแสสำคัญของโลกาภิวัตน์ประกอบด้วย 3 กระแสสำคัญ กล่าวคือ หนึ่ง สภาพแวดล้อม สอง เสรีประชาธิปไตย และ สาม สิทธิมนุษยชน ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ กระแสทั้งสามของโลกาภิวัตน์มีบทบาทสำคัญในการจัดทิศทางและกระแสของสังคมโลกไปอยู่ใน "กระแสเดียวกัน" จนมีการกล่าวเรียกกันว่า "ระเบียบโลกใหม่" หรือ "New World Order"
"ระเบียบโลกใหม่" นี้เป็นระเบียบ กฎเกณฑ์ เงื่อนไข จนอาจเลยเถิดไปถึงข้อบังคับต่างๆ ที่นานาประชาคมโลกต้องยึดกรอบแนวทางให้เป็นไปตามระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "สนธิสัญญา" และ/หรือ "ข้อตกลง" ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าการขายดังเช่น "เขตการค้าเสรี (FTA : Free Trade Area)" ที่กำหนดมาโดย "องค์การการค้าโลก (WTO : World Trade Organization)" ว่าการค้าขายทั่วโลกนับต่อแต่นี้ไปต้อง "ปลอดภาษี" โดยให้มีการกำหนดกรอบเวลากันเองระหว่างคู่เจรจาทวิภาคี
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการกำหนด "เขตปลอดภัย" ที่เกี่ยวกับ "โรคระบาด" ต่างๆ ว่า "พืชผัก ผลไม้" จนเลยไปถึง "สัตว์" ว่า "ถูกสุขอนามัย" อย่างไรจะถูก "แบน-ห้าม" ซื้อขายกันได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ "องค์การอนามัยโลก (WHO : World Health Organization)" ที่ความจริงเราต้องยอมรับว่านับวันองค์กรนี้มีบทบาทอย่างมากกับกระบวนการค้าขายของโลก ยกตัวอย่างเช่น โรคไข้หวัดนก โรควัวบ้า โรคปากเปื่อยเท้าเปื่อย เป็นต้น และอาจเลยไปถึงสภาพแวดล้อมในการจับสัตว์น้ำ รวมถึง "การฆ่าสัตว์ในโรงเชือด!"
อย่างไรก็ตาม "ระเบียบโลกใหม่" ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั้น ถ้าเราลองพิจารณาพินิจพิเคราะห์ให้ดีอย่างลึกซึ้งจะสังเกตได้ว่า "กลุ่มประเทศมหาอำนาจ" จะมีบทบาทในการ "กดปุ่ม-ตัดสินใจ" ได้มากที่สุด โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาที่มักจะอยู่เบื้องหลังในการตัดสินใจทุกครั้ง
จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารโทรคมนาคม ที่ความจริงที่เราต้องตระหนัก คือ ประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่บุกเบิกและประดิษฐ์คิดค้น พร้อมทั้งเป็นผู้นำจริงๆ ทั้งการสร้างเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์สื่อสารโดยเฉพาะทาง "ด้านอวกาศ-ดาวเทียม" และในขณะเดียวกันด้าน "ข้อมูล" หรือ Software ที่ปัจจุบันเข้าสู่ Hardware ซึ่งทำหน้าที่ "เผยแพร่-กระจาย" ไปทั่วโลกนั้นส่วนใหญ่เกือบ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า "เจ้าโลก" ที่แท้จริงคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทรง "พลังอำนาจ" อย่างมากในการ "กำหนด-ชี้นิ้ว" องค์กรต่างๆ ทั้งสหประชาชาติ องค์การการค้าโลก องค์การอนามัยโลก ที่ต้องให้น้ำหนักการตัดสินใจของสหรัฐฯ มากที่สุด และที่สำคัญคือ การกระจายเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นข่าว สาระบันเทิง ภาพยนตร์ ดนตรี ต่างๆ ก็มาจากสหรัฐอเมริกาเสียเป็นส่วนใหญ่
"ระเบียบโลกใหม่" โดยเนื้อแท้แล้ว "ความจริง" ก็คือ "ประเทศสหรัฐอเมริกา" โดย "รัฐบาลสหรัฐฯ" และ "กลุ่มทุนธุรกิจระดับอภิมหายักษ์" มักจะเป็นกลุ่มที่กำหนดกรอบ ทิศทาง และระเบียบของโลกว่าควรจะพัฒนาไปในทิศทางใด
หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็หมายความว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เรื่อยมาจนถึงยุคสงครามเย็น และทอดยาวมาจนถึงยุคบุกเบิกอวกาศ ท้ายสุดยุค "โลกาภิวัตน์" ประเทศสหรัฐอเมริกามีบทบาทมากที่สุดจน "วาระซ่อนเร้น" จริงๆ ของสหรัฐฯ คือ "การครอบงำ" โลกให้อยู่ภายใต้อาณาจักรเศรษฐกิจและธุรกิจของสหรัฐฯ
การรุกคืบแผ่ขยายอาณาจักรสหรัฐฯ ไปทั่วโลกนี้เป็น "ยุทธศาสตร์ยุคใหม่" ที่เป็นสงครามรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า "สงครามเศรษฐกิจ" โดยมีนัยสำคัญที่เพียรพยายาม "กุม-ฮุบ!" เศรษฐกิจโลกให้เป็นไปตาม "การบงการ-ครอบงำ" ของสหรัฐฯ
ด้วย "ระเบียบโลกใหม่" ใน "กระแสโลกาภิวัตน์" ถ้าประเทศใดละเมิดสามกระแสหลัก กล่าวคือ สภาพแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และเสรีประชาธิปไตย ดังกล่าวแล้วข้างต้นก่อนหน้านี้จะถูก "คว่ำบาตร (Sanction)" ด้วยการกำหนดสารพัด "มาตรการกีดกัน" ทุกรูปแบบ ตั้งแต่การค้าขาย เลยไปจนถึงการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรต่างๆ ระหว่างประเทศ ดังเกิดขึ้นกับประเทศพม่าในปัจจุบัน
หรือจะให้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือว่า สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนด "ระเบียบโลกใหม่" และมักจะเป็น "ระเบียบ" ที่ต้องตอบสนอง และ/หรือ สหรัฐฯ ได้เปรียบมากที่สุด ที่ขอกล่าวย้ำอีกครั้งคือ "ความเป็นจ้าวโลก" ของสหรัฐฯ จริงๆ
ส่วน "การค้าเสรี" นั้น ก็ดูเหมือนต้องการให้เปิดเสรีจริงๆ แต่ตลอดระยะเวลาที่เริ่มเปิดเขตการค้าเสรี เราจะสังเกตได้ว่า "มาตรการกีดกัน" นั้น "นัวเนีย-ยั้วเยี้ย!" อย่างมาก โดยอาศัย "กระแสหลักโลกาภิวัตน์" เป็น "เครื่องมือ" เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ สหรัฐฯ อาจจะมีส่วนในการกำหนด "เกม" ต่างๆ เหล่านี้บ้างแต่ทุกประเทศคู่ค้าก็มี "วาระซ่อนเร้น" นี้เช่นเดียวกัน
ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวไปข้างต้นนั้น "แสงแดด" ต้องการ "กระตุก-กระตุ้น" ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า "กระแสโลกาภิวัตน์" นั้น ยังไงๆ ก็ต้องเกิดขึ้นที่ดูเสมือนว่า "หล่อหลอม" ให้โลกนั้นมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น "สังคมโลก" เนื้อเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนับวันโลกก็จะเล็กลง เนื่องด้วยการติดต่อสื่อสาร การรับรู้ข้อมูลข่าวสารจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ใดหรือเปลี่ยนแปลงที่ใด ประชาคมโลก "ร่วมรับรู้" ทันทีทันใดหมด
จนกระทั่งในที่สุดแล้ว "กระแสโลกาภิวัตน์" ก็จะก่อเกิดให้เป็น "วัฒนธรรมโลก" ที่นานาอารยประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะอยู่ในระดับพัฒนาอย่างไรจะมี "พฤติกรรม" และ "วิธีการคิด" ตลอดจน "วิถีชีวิต" ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งว่าไปแล้วทุกวันนี้ก็เป็นเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าการแต่งกาย การอุปโภคบริโภคอาหาร เรื่อยมาจนถึงข้อมูลข่าวสารจนกลายเป็น "ลัทธิบริโภคนิยม (Consumerism)" ที่คล้ายคลึงกันหมดทั่วโลก
สังคมโลกทุกวันนี้ "ผันผวน-แปรปรวน-ผันแปร" อย่างมาก ซึ่งก่อให้เกิด "ความวุ่นวาย" เพราะยิ่ง "รู้เร็ว-รู้มาก" ยิ่ง "สับสนมาก" เพราะ "ความเปลี่ยนแปลง" จนเราต้อง "ตามให้ทัน!" มิฉะนั้น "หลุดกระแส" หรือ "ตกข่าว" ทันที
อย่างไรก็ดี "กระแส" ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนี้ "แสงแดด" มั่นใจอย่างมากว่าต้องมี "ใครบงการ!" อยู่ข้างหลังโดยเฉพาะ "เศรษฐกิจ" ที่ปัจจุบัน "ลึกลับ สลับซับซ้อน" อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ขบวนการปั่น-ทุบ-ฮุบ!" ที่ "ปั่นป่วน" อย่างมากทั้งในวงการตลาดหุ้น ตลาดทุน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี หรือน้ำมัน แม้กระทั่ง ทองคำก็เกิดนอกเหนือ "กลไกตลาด!"
"โลกาภิวัตน์" นั้นเราหลีกเลี่ยงไม่พ้นและโดยหลักการปรัชญานั้น "ดีแน่ๆ!" เพียงแต่ที่ "น่ากลัว" นั้น เพราะว่าผู้ประสานและเชื่อมก่อให้เกิดเป็น "กระแสสังคมโลก" นั้นคือ กลุ่มประเทศมหาอำนาจโดยอาศัยทั้งข้อมูลข่าวสาร เนื้อหาสาระพร้อมทั้งกลไกเงื่อนไขทางเศรษฐกิจบีบบังคับหรือ "เล่นกล-หลอกล่อ" ให้ประชาคมโลกต้อง "เดินตาม"
โดยปัจจุบัน "กลุ่มกองทุนเก็งกำไรเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund)" มีบทบาทอย่างมากกับทั้ง "สถานการณ์จริง-สถานการณ์ปลอม" ในการ "เก็งกำไร-กักตุน" โดยเฉพาะ "น้ำมัน" เพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกด้วยการ "เล่นแร่แปรธาตุ" ที่จะ "ครอบงำ" เศรษฐกิจโลกได้ในที่สุด
โลกาภิวัตน์จะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ "การรอบรู้-รู้ทัน" ของเราเท่านั้น!
ว่าไปแล้ว จะไปต่อว่าต่อขานผู้คนในยุคก่อนข้ามศตวรรษที่ 21 เมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นก็คงไม่ได้ เพราะ "สังคมโลก" ยังไม่ได้ถูก "เชื่อมแบบต่อติด!" เหมือนปัจจุบันที่โลกใบเล็กลง แต่มิใช่ทางกายภาพ แต่โลกเล็กลง เนื่องด้วย "ข้อมูลข่าวสาร" สามารถ "สานเชื่อม" กันได้อย่างรวดเร็ว ทันทีทันใด กล่าวคือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ ณ จุดเล็กๆ ที่ไหนของโลก ประชาคมโลกสามารถรับรู้ ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นเดี๋ยวนั้นหรืออย่างน้อยก็ไม่เกิน 10-20 นาทีต่อจากนั้น
การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร โดยเฉพาะ "ดาวเทียม (Satellite)" ที่เป็นส่วนสำคัญด้าน "ฮาร์ดแวร์ (Hardware)" ได้มีการพัฒนาอย่างมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาด้วยการส่งจรวดและยานอวกาศออกไปนอกโลกเพื่อปล่อยดาวเทียมโคจรไปทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเฉพาะดาวเทียมเพื่อการสื่อสารอย่างเดียว น่าจะมากถึงหลักร้อยขึ้นไป รวมถึงดาวเทียมเพื่อการสำรวจอากาศหรืออุตุนิยม ดาวเทียมราชการลับ และดาวเทียมเพื่อป้องกันภัยจากอวกาศนอกโลก เป็นต้น เพราะฉะนั้น นานาสารพัดดาวเทียมสารพัดประโยชน์น่าจะโคจรอยู่ชั้นบรรยากาศนอกสุดรอบโลกอย่างต่ำประมาณเกือบ 200 กว่าดวง
ความสำเร็จของ "ดาวเทียม" เหล่านี้ทำให้ต้องมีการผลิตและป้อนข้อมูลที่เรียกว่า "ซอฟต์แวร์ (Software)" จำนวนมากเพื่อ "การรายงาน-เตือนภัย" และไม่สำคัญเท่ากับ "เชิงพาณิชย์" ที่นับวัน "ข้อมูลข่าวสาร" แทบจะ "ล้นทะลัก" ในการที่ประชาชนจะสามารถรับรู้เกินความเพียงพอ จนเรียกสังคมยุคใหม่ว่า "สังคมสารสนเทศ" หรือ "Information Society"'
"สังคมสารสนเทศ" เปลี่ยนแปลง "โลก" ให้เป็น "สังคมโลก" ที่สามารถ "รับรู้-เรียนรู้" ข้อมูลข่าวสารอย่างเท่าเทียมกันและรวดเร็ว ไม่ว่าจะอยู่แห่งไหนมุมใดของโลก
"โลกาภิวัตน์" มิใช่เฉพาะเจาะจงเพียง "สังคมสารสนเทศ-ข้อมูลข่าวสาร" อย่างเดียวเท่านั้น แต่ "โลกาภิวัตน์" ก่อกำเนิด "กระแส" สำคัญที่เมื่อประชาคมโลก "รับรู้-เรียนรู้" ข้อมูลข่าวสารที่มาจากแหล่งเดียวกัน เนื่องด้วย "ผู้ผลิต-ผู้ป้อน (Feed)" ข้อมูลต่างๆ ผ่านสื่อดาวเทียมจนประชาคมโลก "บริโภค (Consume)" ได้อย่างมากและตลอดเวลา ผลกระทบสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นคือ "พฤติกรรม (Behavior)" ของมนุษยโลกเริ่ม "คิด-ปฏิบัติ" ในแนวทางเดียวกันจนเกิด "กระแสโลกาภิวัตน์"
กระแสสำคัญของโลกาภิวัตน์ประกอบด้วย 3 กระแสสำคัญ กล่าวคือ หนึ่ง สภาพแวดล้อม สอง เสรีประชาธิปไตย และ สาม สิทธิมนุษยชน ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ กระแสทั้งสามของโลกาภิวัตน์มีบทบาทสำคัญในการจัดทิศทางและกระแสของสังคมโลกไปอยู่ใน "กระแสเดียวกัน" จนมีการกล่าวเรียกกันว่า "ระเบียบโลกใหม่" หรือ "New World Order"
"ระเบียบโลกใหม่" นี้เป็นระเบียบ กฎเกณฑ์ เงื่อนไข จนอาจเลยเถิดไปถึงข้อบังคับต่างๆ ที่นานาประชาคมโลกต้องยึดกรอบแนวทางให้เป็นไปตามระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "สนธิสัญญา" และ/หรือ "ข้อตกลง" ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าการขายดังเช่น "เขตการค้าเสรี (FTA : Free Trade Area)" ที่กำหนดมาโดย "องค์การการค้าโลก (WTO : World Trade Organization)" ว่าการค้าขายทั่วโลกนับต่อแต่นี้ไปต้อง "ปลอดภาษี" โดยให้มีการกำหนดกรอบเวลากันเองระหว่างคู่เจรจาทวิภาคี
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการกำหนด "เขตปลอดภัย" ที่เกี่ยวกับ "โรคระบาด" ต่างๆ ว่า "พืชผัก ผลไม้" จนเลยไปถึง "สัตว์" ว่า "ถูกสุขอนามัย" อย่างไรจะถูก "แบน-ห้าม" ซื้อขายกันได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ "องค์การอนามัยโลก (WHO : World Health Organization)" ที่ความจริงเราต้องยอมรับว่านับวันองค์กรนี้มีบทบาทอย่างมากกับกระบวนการค้าขายของโลก ยกตัวอย่างเช่น โรคไข้หวัดนก โรควัวบ้า โรคปากเปื่อยเท้าเปื่อย เป็นต้น และอาจเลยไปถึงสภาพแวดล้อมในการจับสัตว์น้ำ รวมถึง "การฆ่าสัตว์ในโรงเชือด!"
อย่างไรก็ตาม "ระเบียบโลกใหม่" ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั้น ถ้าเราลองพิจารณาพินิจพิเคราะห์ให้ดีอย่างลึกซึ้งจะสังเกตได้ว่า "กลุ่มประเทศมหาอำนาจ" จะมีบทบาทในการ "กดปุ่ม-ตัดสินใจ" ได้มากที่สุด โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาที่มักจะอยู่เบื้องหลังในการตัดสินใจทุกครั้ง
จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารโทรคมนาคม ที่ความจริงที่เราต้องตระหนัก คือ ประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่บุกเบิกและประดิษฐ์คิดค้น พร้อมทั้งเป็นผู้นำจริงๆ ทั้งการสร้างเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์สื่อสารโดยเฉพาะทาง "ด้านอวกาศ-ดาวเทียม" และในขณะเดียวกันด้าน "ข้อมูล" หรือ Software ที่ปัจจุบันเข้าสู่ Hardware ซึ่งทำหน้าที่ "เผยแพร่-กระจาย" ไปทั่วโลกนั้นส่วนใหญ่เกือบ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า "เจ้าโลก" ที่แท้จริงคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทรง "พลังอำนาจ" อย่างมากในการ "กำหนด-ชี้นิ้ว" องค์กรต่างๆ ทั้งสหประชาชาติ องค์การการค้าโลก องค์การอนามัยโลก ที่ต้องให้น้ำหนักการตัดสินใจของสหรัฐฯ มากที่สุด และที่สำคัญคือ การกระจายเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นข่าว สาระบันเทิง ภาพยนตร์ ดนตรี ต่างๆ ก็มาจากสหรัฐอเมริกาเสียเป็นส่วนใหญ่
"ระเบียบโลกใหม่" โดยเนื้อแท้แล้ว "ความจริง" ก็คือ "ประเทศสหรัฐอเมริกา" โดย "รัฐบาลสหรัฐฯ" และ "กลุ่มทุนธุรกิจระดับอภิมหายักษ์" มักจะเป็นกลุ่มที่กำหนดกรอบ ทิศทาง และระเบียบของโลกว่าควรจะพัฒนาไปในทิศทางใด
หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็หมายความว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เรื่อยมาจนถึงยุคสงครามเย็น และทอดยาวมาจนถึงยุคบุกเบิกอวกาศ ท้ายสุดยุค "โลกาภิวัตน์" ประเทศสหรัฐอเมริกามีบทบาทมากที่สุดจน "วาระซ่อนเร้น" จริงๆ ของสหรัฐฯ คือ "การครอบงำ" โลกให้อยู่ภายใต้อาณาจักรเศรษฐกิจและธุรกิจของสหรัฐฯ
การรุกคืบแผ่ขยายอาณาจักรสหรัฐฯ ไปทั่วโลกนี้เป็น "ยุทธศาสตร์ยุคใหม่" ที่เป็นสงครามรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า "สงครามเศรษฐกิจ" โดยมีนัยสำคัญที่เพียรพยายาม "กุม-ฮุบ!" เศรษฐกิจโลกให้เป็นไปตาม "การบงการ-ครอบงำ" ของสหรัฐฯ
ด้วย "ระเบียบโลกใหม่" ใน "กระแสโลกาภิวัตน์" ถ้าประเทศใดละเมิดสามกระแสหลัก กล่าวคือ สภาพแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และเสรีประชาธิปไตย ดังกล่าวแล้วข้างต้นก่อนหน้านี้จะถูก "คว่ำบาตร (Sanction)" ด้วยการกำหนดสารพัด "มาตรการกีดกัน" ทุกรูปแบบ ตั้งแต่การค้าขาย เลยไปจนถึงการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรต่างๆ ระหว่างประเทศ ดังเกิดขึ้นกับประเทศพม่าในปัจจุบัน
หรือจะให้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือว่า สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนด "ระเบียบโลกใหม่" และมักจะเป็น "ระเบียบ" ที่ต้องตอบสนอง และ/หรือ สหรัฐฯ ได้เปรียบมากที่สุด ที่ขอกล่าวย้ำอีกครั้งคือ "ความเป็นจ้าวโลก" ของสหรัฐฯ จริงๆ
ส่วน "การค้าเสรี" นั้น ก็ดูเหมือนต้องการให้เปิดเสรีจริงๆ แต่ตลอดระยะเวลาที่เริ่มเปิดเขตการค้าเสรี เราจะสังเกตได้ว่า "มาตรการกีดกัน" นั้น "นัวเนีย-ยั้วเยี้ย!" อย่างมาก โดยอาศัย "กระแสหลักโลกาภิวัตน์" เป็น "เครื่องมือ" เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ สหรัฐฯ อาจจะมีส่วนในการกำหนด "เกม" ต่างๆ เหล่านี้บ้างแต่ทุกประเทศคู่ค้าก็มี "วาระซ่อนเร้น" นี้เช่นเดียวกัน
ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวไปข้างต้นนั้น "แสงแดด" ต้องการ "กระตุก-กระตุ้น" ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า "กระแสโลกาภิวัตน์" นั้น ยังไงๆ ก็ต้องเกิดขึ้นที่ดูเสมือนว่า "หล่อหลอม" ให้โลกนั้นมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น "สังคมโลก" เนื้อเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนับวันโลกก็จะเล็กลง เนื่องด้วยการติดต่อสื่อสาร การรับรู้ข้อมูลข่าวสารจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ใดหรือเปลี่ยนแปลงที่ใด ประชาคมโลก "ร่วมรับรู้" ทันทีทันใดหมด
จนกระทั่งในที่สุดแล้ว "กระแสโลกาภิวัตน์" ก็จะก่อเกิดให้เป็น "วัฒนธรรมโลก" ที่นานาอารยประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะอยู่ในระดับพัฒนาอย่างไรจะมี "พฤติกรรม" และ "วิธีการคิด" ตลอดจน "วิถีชีวิต" ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งว่าไปแล้วทุกวันนี้ก็เป็นเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าการแต่งกาย การอุปโภคบริโภคอาหาร เรื่อยมาจนถึงข้อมูลข่าวสารจนกลายเป็น "ลัทธิบริโภคนิยม (Consumerism)" ที่คล้ายคลึงกันหมดทั่วโลก
สังคมโลกทุกวันนี้ "ผันผวน-แปรปรวน-ผันแปร" อย่างมาก ซึ่งก่อให้เกิด "ความวุ่นวาย" เพราะยิ่ง "รู้เร็ว-รู้มาก" ยิ่ง "สับสนมาก" เพราะ "ความเปลี่ยนแปลง" จนเราต้อง "ตามให้ทัน!" มิฉะนั้น "หลุดกระแส" หรือ "ตกข่าว" ทันที
อย่างไรก็ดี "กระแส" ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนี้ "แสงแดด" มั่นใจอย่างมากว่าต้องมี "ใครบงการ!" อยู่ข้างหลังโดยเฉพาะ "เศรษฐกิจ" ที่ปัจจุบัน "ลึกลับ สลับซับซ้อน" อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ขบวนการปั่น-ทุบ-ฮุบ!" ที่ "ปั่นป่วน" อย่างมากทั้งในวงการตลาดหุ้น ตลาดทุน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี หรือน้ำมัน แม้กระทั่ง ทองคำก็เกิดนอกเหนือ "กลไกตลาด!"
"โลกาภิวัตน์" นั้นเราหลีกเลี่ยงไม่พ้นและโดยหลักการปรัชญานั้น "ดีแน่ๆ!" เพียงแต่ที่ "น่ากลัว" นั้น เพราะว่าผู้ประสานและเชื่อมก่อให้เกิดเป็น "กระแสสังคมโลก" นั้นคือ กลุ่มประเทศมหาอำนาจโดยอาศัยทั้งข้อมูลข่าวสาร เนื้อหาสาระพร้อมทั้งกลไกเงื่อนไขทางเศรษฐกิจบีบบังคับหรือ "เล่นกล-หลอกล่อ" ให้ประชาคมโลกต้อง "เดินตาม"
โดยปัจจุบัน "กลุ่มกองทุนเก็งกำไรเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund)" มีบทบาทอย่างมากกับทั้ง "สถานการณ์จริง-สถานการณ์ปลอม" ในการ "เก็งกำไร-กักตุน" โดยเฉพาะ "น้ำมัน" เพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกด้วยการ "เล่นแร่แปรธาตุ" ที่จะ "ครอบงำ" เศรษฐกิจโลกได้ในที่สุด
โลกาภิวัตน์จะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ "การรอบรู้-รู้ทัน" ของเราเท่านั้น!