คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงบทความนี้
สองทศวรรษแห่งการพัฒนาล้ำหน้าด้านเศรษฐกิจในประเทศจีน ได้ก่อให้เกิดปัญหาเหมือนประเทศทุนนิยมที่กำลังพัฒนาขึ้นมาแล้วละครับ
เพราะในเมื่อประเทศจีนนั้นมีพลเมืองเป็นพันล้าน คนไม่ได้เป็นเศรษฐีไปเสียหมด
แต่มีคนยังยากจนอยู่เสียมาก
ดังนั้นปัญหาก็คือ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเวลานี้เริ่มขยายตัวมากขึ้น
ยิ่งพัฒนาทางเศรษฐกิจแบบทุนไปมากเท่าไร
ช่องว่างที่ว่านี้ก็ยิ่งขยายตัวไปมากเท่านั้นแหละครับ
แน่นอนว่าปัญหาเศรษฐกิจที่ว่านี้ย่อมจะกลายไปเป็นปัญหาทางด้านสังคม และหากไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันกาล
ต่อไปมันก็จะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองในอนาคตครับ
เวลานี้สื่อมวลชนในจีนได้เริ่มตระหนักต่อปัญหาที่ว่านี้แล้วครับ และได้เริ่มพร้อมกันเตือนถึงปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนมากขึ้น พร้อมทั้งระบุว่า ความจริงแล้วมันเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมาด้วยซ้ำไป เมื่อมีการใช้นโยบายเสรีทางเศรษฐกิจในจีน
และสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะช่องว่างนี้ ก็คือมีปัญหาความเดือดร้อน และอาชญากรรมตามเมืองใหญ่และตามหมู่บ้านต่างๆ เกือบทั่วประเทศแล้วละครับ
ช่องว่างที่สำคัญที่สุดในจีนนั้น เห็นชัดที่สุดก็คือระหว่างชาวนากับพวกคนในเมืองครับ และสื่อเองได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้มากที่สุด
ทำให้สำนักข่าวซินหัวและนสพ.พีเพิล เดลี่ ซึ่งเป็นเครื่องมือของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำรายงานเรื่องนี้เป็นการใหญ่ โดยเรียกร้องให้ทางการจีนหันมาให้ความสำคัญต่อปัญหานี้โดยเร่งด่วน รวมทั้งให้วางมาตรการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมเสียด้วย ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย เพราะหากปล่อยให้บานปลายออกไปทั่วประเทศ ก็จะวุ่นวายไปกว่านี้ และก็อาจจะควบคุมปัญหาไม่ได้
ทุกวันนี้มีการจราจรและความรุนแรงจากการประท้วงเกิดขึ้นประปราย และสมุหเหตุมาจากช่องว่างทางเศรษฐกิจที่ว่านี้ทั้งสิ้น ความถี่ของปัญหานั้นทางรัฐบาลเองก็ยอมรับว่าเป็นความจริง และเป็นประเด็นใหญ่สำหรับประธานาธิบดี หูจิ่นเทา ขณะที่นายกรัฐมนตรีจีนนั้นได้เรียกร้องให้สังคมมีความสมานฉันท์กัน และต้องการให้สังคมมีเสถียรภาพจากคำปราศรัยเมื่อปีที่ผ่านมา
จุดสนใจเกี่ยวกับความไม่ทัดเทียมกันด้านรายได้ของประชากรนั้น เป็นข้ออธิบายว่า ทำไมจึงเกิดความรุนแรงในสังคมจีน และมันเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจมากกว่ามีต้นเหตุจากปัญหาการเมือง
และทางพรรคคอมมิวนิสต์ได้ประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ความแตกต่างของช่องว่างด้านรายได้ของประชากร คือรากฐานที่ทำให้สังคมขาดความกลมกลืนกัน
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลของ หูจิ่นเทา เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เริ่มตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 นั้น ได้ก้าวเร็วเกินไปและรัฐบาลต้องเน้นความสนใจต่อประชากรส่วนที่ยังล้าหลังให้มากกว่าเดิม
นักวิชาการที่สังกัดอยู่ในค่ายรัฐบาลในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ก็มองว่าช่องว่างเหล่านี้รัฐบาลเองก็ห่วงใยและถือว่าเป็นความสำคัญในชั้นแรก และพรรคคอมมิวนิสต์เองก็มองว่ามันจำเป็นที่ต้องมีการแก้ไข เพราะว่ามันเป็นปัญหาที่เตือนว่าสังคมจีนได้รับการเตือนว่า รัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายบางอย่างออกมาที่จะดูแลปัญหาเหล่านี้เสียโดยเร็ว
จริงๆ แล้วนับตั้งแต่ที่ หูจิ่นเทา เข้ามารับตำแหน่งนั้น ตัวเขาเองและรัฐบาลก็ได้พยายามพูดและดำเนินการอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับการแก้ไขความยากจนตลอดเวลา แม้ว่าจะยังคงดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นการตลาดอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง แม้ว่ารัฐบาลจีนจะชะลอที่จะขายรัฐวิสาหกิจออกไป และได้หยุดการดำเนินการพวกโรงงานของรัฐที่ดำเนินการที่ขาดทุนไปจำนวนมาก ซึ่งทำให้มีคนตกงานมากและมีการประท้วงด้านแรงงานอยู่มากก็ตาม แต่นักเศรษฐศาสตร์มองว่า รัฐบาลได้ทำถูกต้องแล้ว
สำหรับพวกคนรวยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นพวกคนรุ่นใหม่ พวกที่ตั้งตัวด้วยธุรกิจของตัวเองและร่ำรวยขึ้นมา บางคนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มี คนจีนจำนวนหนึ่งมองว่า พันธมิตรระหว่างเจ้าหน้าที่พรรคกับกลุ่มธุรกิจนั้นเป็นการคอร์รัปชันอย่างหนึ่ง ไม่ก็เป็นเหลือบฝูงหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
มีรายงานในลักษณะเอกสารศึกษาที่วิเคราะห์จากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมระบุเมื่อเดือนที่แล้วว่า ช่องว่างระหว่างรายได้นั้น เวลานี้เข้าขีดอันตรายแล้ว และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะอยู่ในขีดสีแดง ซึ่งหมายถึงเป็นภาวะวิกฤต และจะเกิดอันตรายทำให้สังคมระส่ำระสายได้
ตามรายงานสถิติของสหประชาชาติ คนจน 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรจีน 1,300 ล้านคนนั้น มีรายได้รวมแค่ 4.7 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่คนรวย 20 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้รวมแล้วเกินกึ่งหนึ่งของทั้งหมด และช่องว่างคนจนคนรวยขยายตัวมากขึ้นในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาครับ
สองทศวรรษแห่งการพัฒนาล้ำหน้าด้านเศรษฐกิจในประเทศจีน ได้ก่อให้เกิดปัญหาเหมือนประเทศทุนนิยมที่กำลังพัฒนาขึ้นมาแล้วละครับ
เพราะในเมื่อประเทศจีนนั้นมีพลเมืองเป็นพันล้าน คนไม่ได้เป็นเศรษฐีไปเสียหมด
แต่มีคนยังยากจนอยู่เสียมาก
ดังนั้นปัญหาก็คือ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเวลานี้เริ่มขยายตัวมากขึ้น
ยิ่งพัฒนาทางเศรษฐกิจแบบทุนไปมากเท่าไร
ช่องว่างที่ว่านี้ก็ยิ่งขยายตัวไปมากเท่านั้นแหละครับ
แน่นอนว่าปัญหาเศรษฐกิจที่ว่านี้ย่อมจะกลายไปเป็นปัญหาทางด้านสังคม และหากไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันกาล
ต่อไปมันก็จะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองในอนาคตครับ
เวลานี้สื่อมวลชนในจีนได้เริ่มตระหนักต่อปัญหาที่ว่านี้แล้วครับ และได้เริ่มพร้อมกันเตือนถึงปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนมากขึ้น พร้อมทั้งระบุว่า ความจริงแล้วมันเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมาด้วยซ้ำไป เมื่อมีการใช้นโยบายเสรีทางเศรษฐกิจในจีน
และสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะช่องว่างนี้ ก็คือมีปัญหาความเดือดร้อน และอาชญากรรมตามเมืองใหญ่และตามหมู่บ้านต่างๆ เกือบทั่วประเทศแล้วละครับ
ช่องว่างที่สำคัญที่สุดในจีนนั้น เห็นชัดที่สุดก็คือระหว่างชาวนากับพวกคนในเมืองครับ และสื่อเองได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้มากที่สุด
ทำให้สำนักข่าวซินหัวและนสพ.พีเพิล เดลี่ ซึ่งเป็นเครื่องมือของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำรายงานเรื่องนี้เป็นการใหญ่ โดยเรียกร้องให้ทางการจีนหันมาให้ความสำคัญต่อปัญหานี้โดยเร่งด่วน รวมทั้งให้วางมาตรการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมเสียด้วย ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย เพราะหากปล่อยให้บานปลายออกไปทั่วประเทศ ก็จะวุ่นวายไปกว่านี้ และก็อาจจะควบคุมปัญหาไม่ได้
ทุกวันนี้มีการจราจรและความรุนแรงจากการประท้วงเกิดขึ้นประปราย และสมุหเหตุมาจากช่องว่างทางเศรษฐกิจที่ว่านี้ทั้งสิ้น ความถี่ของปัญหานั้นทางรัฐบาลเองก็ยอมรับว่าเป็นความจริง และเป็นประเด็นใหญ่สำหรับประธานาธิบดี หูจิ่นเทา ขณะที่นายกรัฐมนตรีจีนนั้นได้เรียกร้องให้สังคมมีความสมานฉันท์กัน และต้องการให้สังคมมีเสถียรภาพจากคำปราศรัยเมื่อปีที่ผ่านมา
จุดสนใจเกี่ยวกับความไม่ทัดเทียมกันด้านรายได้ของประชากรนั้น เป็นข้ออธิบายว่า ทำไมจึงเกิดความรุนแรงในสังคมจีน และมันเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจมากกว่ามีต้นเหตุจากปัญหาการเมือง
และทางพรรคคอมมิวนิสต์ได้ประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ความแตกต่างของช่องว่างด้านรายได้ของประชากร คือรากฐานที่ทำให้สังคมขาดความกลมกลืนกัน
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลของ หูจิ่นเทา เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เริ่มตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 นั้น ได้ก้าวเร็วเกินไปและรัฐบาลต้องเน้นความสนใจต่อประชากรส่วนที่ยังล้าหลังให้มากกว่าเดิม
นักวิชาการที่สังกัดอยู่ในค่ายรัฐบาลในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ก็มองว่าช่องว่างเหล่านี้รัฐบาลเองก็ห่วงใยและถือว่าเป็นความสำคัญในชั้นแรก และพรรคคอมมิวนิสต์เองก็มองว่ามันจำเป็นที่ต้องมีการแก้ไข เพราะว่ามันเป็นปัญหาที่เตือนว่าสังคมจีนได้รับการเตือนว่า รัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายบางอย่างออกมาที่จะดูแลปัญหาเหล่านี้เสียโดยเร็ว
จริงๆ แล้วนับตั้งแต่ที่ หูจิ่นเทา เข้ามารับตำแหน่งนั้น ตัวเขาเองและรัฐบาลก็ได้พยายามพูดและดำเนินการอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับการแก้ไขความยากจนตลอดเวลา แม้ว่าจะยังคงดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นการตลาดอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง แม้ว่ารัฐบาลจีนจะชะลอที่จะขายรัฐวิสาหกิจออกไป และได้หยุดการดำเนินการพวกโรงงานของรัฐที่ดำเนินการที่ขาดทุนไปจำนวนมาก ซึ่งทำให้มีคนตกงานมากและมีการประท้วงด้านแรงงานอยู่มากก็ตาม แต่นักเศรษฐศาสตร์มองว่า รัฐบาลได้ทำถูกต้องแล้ว
สำหรับพวกคนรวยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นพวกคนรุ่นใหม่ พวกที่ตั้งตัวด้วยธุรกิจของตัวเองและร่ำรวยขึ้นมา บางคนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มี คนจีนจำนวนหนึ่งมองว่า พันธมิตรระหว่างเจ้าหน้าที่พรรคกับกลุ่มธุรกิจนั้นเป็นการคอร์รัปชันอย่างหนึ่ง ไม่ก็เป็นเหลือบฝูงหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
มีรายงานในลักษณะเอกสารศึกษาที่วิเคราะห์จากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมระบุเมื่อเดือนที่แล้วว่า ช่องว่างระหว่างรายได้นั้น เวลานี้เข้าขีดอันตรายแล้ว และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะอยู่ในขีดสีแดง ซึ่งหมายถึงเป็นภาวะวิกฤต และจะเกิดอันตรายทำให้สังคมระส่ำระสายได้
ตามรายงานสถิติของสหประชาชาติ คนจน 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรจีน 1,300 ล้านคนนั้น มีรายได้รวมแค่ 4.7 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่คนรวย 20 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้รวมแล้วเกินกึ่งหนึ่งของทั้งหมด และช่องว่างคนจนคนรวยขยายตัวมากขึ้นในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาครับ