xs
xsm
sm
md
lg

สำนึกสูงสุดของผู้นำ

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

ณ วันนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยกำลังมีปัญหา และต้นตอของปัญหา ส่วนที่สำคัญมากก็เพราะผู้นำประเทศ ผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ เป็นปัญหาเสียเอง

เช่นเดียวกัน โลกทั้งใบกำลังมีปัญหา และต้นตอของปัญหา ส่วนที่สำคัญมากก็เพราะผู้นำประเทศมหาอำนาจ ผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาของโลก เป็นปัญหาเสียเอง

ขณะเดียวกันเราก็เชื่อมั่นว่า ปัญหาต่างๆ จะไม่ทำให้ประเทศไทยล่มสลาย โลกทั้งใบจะไม่ถึงกาลอวสาน ตรงกันข้าม ประเทศไทยและทั้งโลกจะสามารถจัดการปัญหา พลิกวิกฤตนานาให้เป็นโอกาส สำหรับการก้าวเดินไปสู่อนาคตข้างหน้าต่อไป

เนื่องเพราะผู้นำประเทศไทยเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของเหตุปัจจัยในการขับเคลื่อนของกงล้อประวัติศาสตร์ชาติไทย ผู้นำชาติมหาอำนาจเป็นเพียงองค์ประกอบของเหตุปัจจัยในการขับเคลื่อนของกงล้อประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ในประเทศไทย ยังมีปัจจัยต่างๆ มากมาย ที่ปรากฏออกมาในรูปของเหตุการณ์ สถาบันและตัวบุคคล จากวงการต่างๆ แสดงบทบาทเป็นเหตุปัจจัยเชิงสร้างสรรค์ ในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ดำเนินไปในทิศทางที่ดีกว่า บรรลุสู่ความเจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปะทะกับเหตุปัจจัยเชิงทำลาย จากการใช้อำนาจผิดๆ ของผู้นำ สืบเนื่องจากผู้นำเป็นปัญหาเสียเอง

ในระดับโลก ยังมีปัจจัยอื่นๆ มากมาย ทั้งในระดับประเทศและประชาสังคม ที่เดินหน้าเคลื่อนไหว แสดงบทบาทแห่งเหตุปัจจัยสร้างสรรค์ ในการขับเคลื่อนสังคมโลกไปสู่มิติที่ดีกว่า เพื่อผลประโยชน์สูงสุดร่วมกันของมวลมนุษยชาติ ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านั้น ย่อมสวนทางกับกระบวนการใช้อำนาจของผู้นำชาติมหาอำนาจที่เป็นปัญหาเสียเอง

ผู้นำเป็นปัญหา ทำให้ปัญหาบานปลาย

อะไรเป็นสิ่งบ่งบอกว่าผู้นำเป็นปัญหาเสียเอง?

คำตอบคือ ดูจากผลของการใช้อำนาจของผู้นำ

ด้วยความสมบูรณ์ทางธรรมชาติและความขยันขันแข็งของคนไทย ตลอดจนภูมิปัญญารวมของประชาชาติไทย ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปสู่ความเป็นสังคมอยู่ดีกินดีในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่การบริหารประเทศของกลุ่มปกครองแต่ละชุดแต่ละรุ่น ที่มักจะเป็นปัญหาเสียเอง กลับกลายเป็นเหตุปัจจัยทำลายโอกาสและอนาคตของประเทศไทย ครั้งแล้วครั้งเล่า

ทำให้กระบวนการขับเคลื่อนของสังคมไทยเป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ การขับเคลื่อนตัวเอง ในรูปการพัฒนาประเทศแต่ละก้าว ต้องเดิมพันด้วยความสูญเสียมหาศาลของแผ่นดิน ทั้งในรูปวัตถุและจิตใจ ก็คือทรัพย์ในดินสินในน้ำ ป่าเขาลำเนาไพร ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสำนึกและวิญญาณแห่งความเป็นไทย

ทำให้ประเทศเรากลายเป็นสังคมเจริญโดยสัมพัทธ์ คือเจริญไม่จริง แม้ว่าประเทศไทยจะมีถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่อง องค์กร สถาบันทันสมัย ด้วยวิทยาการใหม่ๆ มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งคณะผู้นำประเทศ ประชาชนมีการศึกษามากขึ้น อายุขัยยืนยาวขึ้น ตามแบบประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทรัพยากรโดยรวมของชาติหดหาย ร่อยหรอลงไป ประชาชนถลำลงไปสู่ลัทธิบริโภค คุณค่าของชีวิตต่ำลง คุณธรรมในจิตใจถดถอยลง ความโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้จักจัดการชีวิตด้วยตนเองมีให้เห็นอย่างดาษดื่น ความรู้สึกเอื้ออาทร และมิตรภาพอันดีในหมู่ประชาชนหดหายไป

อีกนัยหนึ่ง การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างกะพล่องกะแพล่ง พัฒนาทางด้านวัตถุมากกว่า หรือพัฒนาด้านเดียว ไม่ได้พัฒนาทางจิตใจ ไม่ทำให้ศักดิ์ศรีหรือคุณค่าของความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร ยังห่างไกลจากการพัฒนาตนเองได้อย่างรอบด้าน อันเป็นอุดมการณ์ร่วมกันของมวลมนุษชาติอยู่มาก

นี่คือสภาวะที่ประเทศไทยเป็นมาและกำลังเป็นอยู่ อันเป็นผลจากการใช้อำนาจบริหารจัดการของกลุ่มปกครองประเทศที่เป็นปัญหาเสียเอง ทำให้สังคมไทยไม่อาจขับเคลื่อนตัวเองไปในทิศทางที่ควรจะเป็น แนวโน้มดังกล่าว ยังจะดำเนินไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ผู้นำประเทศยังเป็นปัญหาเสียเอง

มาถึง ณ วันนี้ ก็พิสูจน์ชัดแล้วว่า การบริหารประเทศของกลุ่มพรรคไทยรักไทย ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆในแนวโน้มเช่นนี้ ตรงกันข้าม การได้ครองเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎร การคุมเสียงส่วนใหญ่ไว้ได้ในวุฒิสภา และการครอบงำองค์กรอิสระในแทบทุกระดับชั้น บวกกับการรุกคืบควบคุมสื่อไว้ในมือให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กลับเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนพรรคไทยรักไทยใช้อำนาจบริหารประเทศได้อย่างไร้ขีดจำกัด เสริมเพิ่มอานุภาพเชิงทำลายของเหตุปัจจัยเชิงลบของการเป็นปัญหาเสียเองของผู้นำประเทศได้เป็นประวัติการณ์

นั่นคือ ผู้นำประเทศที่มีอำนาจครอบงำเบ็ดเสร็จ จะพาประเทศไทยกระโจนลงเหวได้โดยพลัน เฉกเช่นที่เหตุการณ์เลวร้ายรอบตัวกำลังบานปลายอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีวี่แววว่า อำนาจล้นฟ้าของกลุ่มปกครองจะสามารถแก้ไขได้

ในระดับโลก มหาอำนาจหนึ่งเดียว คือสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กำลังกระชากสังคมโลกลงสู่ห้วงเหวอเวจี เพราะเพียงแค่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศเขาก็ประกาศนโยบายสนองประโยชน์แก่กลุ่มทุนใหญ่ผู้เป็นฐานทางการเมืองของตน เน้นส่งออกประชาธิปไตยแบบอเมริกันไปทั่วโลก หากใครไม่ยอมก็จะใช้มาตรการบีบบังคับทุกทาง

โดยพฤตินัย รัฐบาลสหรัฐฯ ยุคหลังสงครามเย็น ได้เลือกที่จะดำเนินสงครามทางวัฒนธรรมกับกลุ่มประเทศมุสลิมและจีนที่เป็นสังคมนิยมแล้ว เพื่อทำให้ทั้งโลกเป็นแบบตะวันตก อยู่ใต้การครอบงำของอารยธรรมทุนนิยม

การถือเอาประโยชน์กลุ่มทุน (ในระดับชาติ) ชาติตน (ในระดับโลก) ค่านิยมตน (ในระดับมวลมนุษยชาติ) เป็นตัวตั้ง มุ่งใช้ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร เป็นเหตุปัจจัย ขับเคลื่อนสังคมโลกไปในทิศทางที่ตนเลือก เพื่อสนองตอบต่อผลประโยชน์และค่านิยมของตนเป็นที่ตั้ง ในที่สุดก็ต้องเจอแรงต้าน

กระนั้นแรงต้านยังแบ่งออกเป็นแรงต้านด้วยโทสะ และโมหะกับแรงต้านด้วยปัญญา

แรงต้านด้วยโทสะและโมหะ ได้ลื่นไถลลงไปเป็นลัทธิก่อการร้ายสากล ขณะที่แรงต้านด้วยปัญญา สามารถพัฒนาแนวคิดชี้นำ ได้อย่างสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของมวลมนุษยชาติ

พิสูจน์ได้ด้วยผลของการปฏิบัติ

ลัทธิก่อการร้ายสากล ได้ต่อเติมและเสริมเพิ่มความเป็นปัญหาในตัวเองของผู้นำสหรัฐฯ เปิดช่องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ปรับยุทธศาสตร์ครอบโลกครั้งใหญ่ โดยใช้สงครามต่อต้านลัทธิก่อการร้ายสากลเป็นข้ออ้าง แม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติก็ไม่สามารถทัดทานได้

สงครามทำให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน บ่อนทำลายโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตของมวลมนุษย์โดยรวม ประเทศที่กระโจนเข้าสู่สงคราม ต่างหนีไม่พ้นชะตากรรมเดียวกันนี้ ไม่ว่าสหรัฐฯ หรือกลุ่มประเทศมุสลิม ที่มีการเคลื่อนไหวชุกชุมของกลุ่มก่อการร้ายสากล

ในบริบทที่สังคมโลกเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน กระแสโลกาภิวัตน์พัดเชี่ยวกรากนี้ ผู้ที่จมอยู่ในสงคราม จึงมีแต่เสีย ไม่มีได้ และถึงที่สุดแล้วก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชัยชนะแต่ประการใด เนื่องจากเป็นสงครามที่ขับเคลื่อนด้วยความโลภ (ของสหรัฐฯ) โทสะ และโมหะ (ทั้งของสหรัฐฯ และกลุ่มลัทธิก่อการร้าย) ไม่สอดคล้องอย่างยิ่งกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวโลก ที่ปัจจุบันมีสำนึกร่วมกันในสันติภาพและการพัฒนา มองเห็นคุณค่าของชีวิตมากกว่ายุคใดๆ

สำนึกที่ถูกต้อง จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา

ในประเทศไทย ปัจจุบันกำลังมีการขับเคี่ยวกันชัดเจนขึ้นระหว่างสำนึกชี้นำของกลุ่มผู้ใช้อำนาจ ซึ่งก็คือรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่งจัดอยู่ในส่วนของโลภะ โทสะ และโมหะ เพราะผู้นำเป็นปัญหาเสียเอง (ดูจากผล) ฝ่ายหนึ่ง กับสำนึกชี้นำของกลุ่มผู้ที่ก้าวออกมาชี้เหตุชี้ผล เพื่อสร้างความกระจ่างให้แก่สังคมไทย ซึ่งจัดอยู่ในส่วนของปัญญา เพราะกล้าที่จะพูดความจริง กล้าที่จะเอาความจริงพูดออกมา เพื่อให้กระบวนการเหตุปัจจัยเชิงบวก เชิงสร้างสรรค์แสดงตนออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

เหตุปัจจัยเชิงสร้างสรรค์นี่เองที่จะเป็นตัวกระทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสำนึกชี้นำของกลุ่มผู้ใช้อำนาจ เนื่องเพราะเหตุการณ์ที่บานปลาย และเสียงเรียกร้องของประชาชนนับวันแต่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงความตีบตันของสำนึกชี้นำกลุ่มผู้ใช้อำนาจ ให้เลิกยึดติดกับภาพมายาของกลไกอำนาจรัฐ มองเห็นทิศทางที่แท้จริงของกระบวนการพัฒนาของสังคมไทยในบริบทของสังคมโลกที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้นจึงสามารถใช้กลไกอำนาจรัฐได้อย่างถูกต้อง เป็นคุณแก่สังคมไทยโดยรวม ปัญหาที่ว่ายากก็จะกลายเป็นง่าย

โดยเฉพาะคือ ผู้นำประเทศจะต้องมองเห็นเหตุปัจจัยที่เป็นคุณในระดับโลก ว่าการดำเนินการบริหารประเทศโดยการยึดถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและของประชาชน ของมวลมนุษยชาติเป็นที่ตั้งนั้น จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อตนไม่เป็นปัญหาเสียเอง นั่นคือ หลุดจากการยึดติดในตัวตน กลุ่มตน อำนาจตน ปรับและโยกสำนึกชี้นำไปสู่ครรลองที่ถูกต้อง สอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาของมนุษยชาติ ที่มนุษย์ต้องการการพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน ทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจ โดยที่สภาพแวดล้อม รวมทั้งตัวมนุษย์เอง ล้วนแต่เป็นปัจจัยเอื้อต่อการพัฒนาของกันและกัน

ซึ่งก็คือการก้าวไปตามเส้นทางของการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในระดับนานาชาติ จะต้องไม่ติดสอยห้อยตามสำนึกชี้นำของกลุ่มทุนผูกขาดระดับโลก (อย่าทำตนเป็นลูกปู ด้วยสำคัญผิดว่าตนก็เป็นปู) แต่สมควรกวาดสายตาไปทั่วโลก ให้เห็นในความจริงว่า ประเทศใดกำลังเดินหน้าพัฒนาประเทศไปได้ดี ทั้งๆ ที่ต้องเผชิญปัญหาคล้ายๆ กัน แล้วศึกษาลึกลงไปว่า สำนึกชี้นำของคณะผู้นำประเทศเป็นอย่างไร แนวนโยบายการพัฒนาประเทศของเขาสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศหรือไม่

อีกนัยหนึ่ง ศึกษาว่า ผู้นำเหล่านั้นไม่เป็นปัญหาเสียเองได้อย่างไร

สำนึกสูงสุดของผู้นำ

มาถึงตรงนี้ แทบจะไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่าว่า กลุ่มผู้บริหารประเทศจากพรรคไทยรักไทยไม่มีทางเลือกเลย หากต้องการบริหารประเทศให้ประสบความสำเร็จ จะต้องเลิกความเป็นปัญหาเสียเอง ด้วยการปรับสำนึกชี้นำ โดยเฉพาะจะต้องสร้างสำนึกสูงสุดขึ้นมาให้ได้

สำนึกสูงสุดของผู้นำ ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใด จะต้องเป็นสำนึกแห่งมวลมนุษยชาติ มองเห็นคนไทยเป็นองค์รวมหนึ่งของมวลมนุษยชาติที่จะต้องพัฒนาก้าวหน้าไปได้ดีทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจ

หากไม่ยึดติดในตัวตน ไม่หลงติดในอำนาจ การสร้างสำนึกนี้ก็ไม่ยาก

นั่นหมายความว่า การหลุดจากการเป็นปัญหาเสียเอง ก็ไม่ยากเช่นเดียวกัน

นั่นหมายความว่า ปัญหาต่างๆ จะไม่บานปลาย และแก้ไขได้ในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น