xs
xsm
sm
md
lg

สิ่งทอไทยโดนจีนสอยร่วงติดอันดับ8 S.P.C.แนะผู้ค้าสร้างแบรนด์เร่งถีบตัวจับตลาดบน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“เอส.พี.ซี พร็อพเพอร์ตี้ส์ฯ” ชี้อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยโดนสอยตลาดล่างร่วงติดอันดับ 8 แนะผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัวสร้างแบรนด์-เบนเข็มสู่ตลาดกลาง-บน ทุ่ม 5,000 ล้านบาท ผุด”เดอะ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์” ใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมชูโมเดลศูนย์ค้าส่งระดับโลกจากจีน ส่งเสริมยังดีไซน์ไทยสร้างแบรนด์ หวังตีตื้นจีนผงาดสู่ตลาดโลก

นายสุรชัย โชติจุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส.พี.ซี พร็อพเพอร์ตี้ส์ แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้บริหารโครงการ”เดอะ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์” กล่าวถึงอุตสาหกรรมสิ่งทอในจีนว่า มีการขยายตัวสูงในปี 2545-2547 ถึง 0.635% -3.81% เพราะได้รับผลประโยชน์จากการเข้าร่วมเป็นสมาชิก WTO 20% ไทยจึงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงภายหลังจากจีนเปิดการค้าเสรี เนื่องจากอุตสาหกรรมสิ่งทอในไทย มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคนที่ทำงานในวงการสิ่งทอโดยยอดส่งออก 50%

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยได้พัฒนาเรื่อยมา จนกลายเป็นอุตสาหกรรมเสาหลักของประเทศที่มีอุตสาหกรรมครบทุกขั้นตอนการผลิต โดยมูลค่าปัจจุบัน 2.6 แสนล้านบาท แบ่งเป็นภายในประเทศ 1.2 แสนล้านบาท และส่งออก 1.4 แสนล้านบาท โดยในปีที่
ผ่านมามูลค่าการส่งออกลดลงเล็กน้อย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งยังโดนแย่งส่วนแบ่งตลาดสินค้าระดับล่างจากประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่าทั้งหมด 8 ประเทศ คือ จีน เวียดนาม ลาว อินโดนีเซีย ปากีสถาน พม่า ศรีลังกา และบังกลาเทศ

แนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย คือ การลดต้นทุนให้ต่ำ และหันมารุกตลาดระดับบีบวกขึ้นไป เพราะไทยไม่สามารถแข่งขันต้นทุนการผลิตกับจีนได้ รวมทั้งต้องใช้นโยบายในเชิงรุก สร้างความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรม ปรับปรุงสารสนเทศและมาตรฐานจะต้องเทียบเท่าสากล และประการสำคัญจะต้องสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้นมามากกว่าการรับจ้างผลิต ถึงจะผลักดันให้อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยขยายในภูมิภาคและก้าวสู่ระดับโลกได้

“แม้ว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยจะมีข้อเสียเปรียบจีน ในเรื่องต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าเพราะจีนมีวัตถุดิบราคาถูกกว่า แต่การเน้นเรื่องต้นทุนค่าแรงที่ต่ำ ไม่สามารถใช้เป็นข้อได้เปรียบสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยอีกต่อไป ผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งพัฒนารูปแบบเทคนิคใหม่ๆในการผลิต และการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ จึงเป็นตัวชี้วัดอนาคตของอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยได้”

ความต่างศูนย์ค้าส่งประตูน้ำ-กวางเจา

นายสุรชัย กล่าวเพิ่มเติมภายหลังจากเข้าเยี่ยมชมตึกกระเป๋าและศูนย์ค้าส่งในเมืองกวางเจาโดยเปรียบเทียบกับไทยว่า ในย่านประตูน้ำถือว่าเป็นศูนย์กลางการซื้อขายค้าส่งเสื้อผ้าแฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดในไทย ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท หรือปีละ 48,000 ล้านบาท แต่เมื่อเปรียบเทียบสภาพศูนย์ค้าส่งในไทยยังสู้กับประเทศจีนไม่ได้ เพราะในจีนศูนย์การค้าส่งจะเป็นระบบ เช่น แฟชั่นค้าส่งเสื้อผ้าก็จะมีการจัดโซนเฉพาะเสื้อผ้าทั้งตึก หรือแฟชั่นกระเป๋าก็จะมีลักษณะเดียวกัน ทำให้มีความสะดวกทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย แต่เมือง
ไทยสินค้าทุกประเภทจะถูกคละกันหมด ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยจะหาซื้อสินค้าได้ยาก ดังนั้นภายหลังจากบริษัทได้ทุ่มงบ 5,000 ล้านบาท ภายใต้โครงการ เดอะ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์ “อาณาจักรไม่รู้จบของแฟชั่นค้าส่ง”

บริเวณพื้นที่ 40,000 ตร.ม. จึงได้ออกแบบและแบ่งโซนสินค้าอย่างเป็นระบบ เช่น ชั้นที่ 1 ค้าส่งเสื้อผ้าจากประเทศเกาหลี จีน อเมริกา และชั้น 2เป็นค้าส่งเสื้อผ้าจากภายในประเทศ ส่วนชั้น 4 ค้าส่งเสื้อผ้าจากยังดีไซน์เนอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้เตรียมการบริหารจัดการที่ดีในเรื่องการขนส่งสินค้า ซึ่งเมื่อเทียบกับจีนแล้วยังมีจุดอ่อนอยู่มากในเรื่องนี้

“เรามีแนวคิดสร้างศูนย์ค้าส่ง เดอะ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์ ครบวงจรมีมาตรฐานระดับโลกและใหญ่ที่สุดในไทย รวมทั้งใหญ่ที่สุดในระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยศูนย์แห่งนี้จะเป็นแหล่งส่งออกให้กับคนไทย และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ในเรื่องคุณภาพและการสร้างแบรนด์สินค้า เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นศูนย์กลางแฟชั่นในภูมิภาคสู่ตลาดโลก โดยแพลทินัมเตรียมเปิดอย่างเป็นทางการ 26 พฤศจิกายน นี้” นายสุรชัย กล่าวทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น