ถึงแม้ความขัดแย้งในกรณีที่แกรมมี่ได้พยายามเข้าไปยึดครองมติชนแบบไม่เป็นมิตร ดูเหมือนว่าจะได้ข้อสรุปชั่วคราวบางชนิด จนเหตุการณ์คลี่คลายไปในระดับหนึ่งแล้ว ด้วยการที่แกรมมี่ยอมขายหุ้นส่วนหนึ่งที่ตนแอบไปซื้อหามาอย่างเงียบๆ คืนแก่ผู้ก่อตั้งมติชนคือคุณขรรค์ชัย บุนปานในราคาต้นทุน โดยแกรมมี่ยังคงถือหุ้นเอาไว้เองร้อยละ 20 ของทั้งหมด ยังผลให้แกรมมี่กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับที่สองของมติชนในปัจจุบัน จนกระทั่งฝ่ายมติชนต้องประสบกับความเดือดร้อนจากการที่ต้องวุ่นวายกับการหาเงินมาซื้อหุ้นดังกล่าว อีกทั้งอาจจะต้องหาพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเป็นมิตรมากกว่ามาเพิ่มเติมในอนาคต
ทว่าในความเป็นจริง นอกจากความคลางแคลงใจอย่างยิ่งของผู้คนจำนวนมากที่มีส่วนในการออกมาเคลื่อนไหวอย่างคึกคักเพื่อสนับสนุนให้มติชนสามารถรักษาสถานภาพดั้งเดิมของตนเอาไว้ให้ได้แล้ว ความขัดแย้งยังระหว่างมติชนกับแกรมมี่ยังคงจะต้องคุกรุ่นต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังที่คุณพิเชียร คุระทอง บรรณาธิการอำนวยการของมติชนได้ออกมาประกาศหลังจากได้ข้อสรุปดังกล่าวว่า “เครือแกรมมี่จะต้องไม่มายุ่มย่ามในการทำงานของกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับของเครือมติชนโดยเด็ดขาด แกรมมี่จะทำได้เพียงรับเงินปันผลประจำปีเท่านั้น และขอให้อยู่ห่างๆ ไว้ ขอให้เครือแกรมมี่เดินออกไปไกลๆ เลย”
ในขณะเดียวกัน เมื่อคุณสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์เดินทางกลับมาถึงเมืองไทย ก็ได้ประกาศท่าทีอันน่านับถือยิ่งว่าตนเองต้องการให้ Bangkok Post รักษาความเป็นหนังสือพิมพ์มืออาชีพต่อไป โดยจะไม่ยอมขายหุ้นในส่วนที่ตนยังคงถืออยู่ให้แก่แกรมมี่เป็นอันขาด และมีข่าวว่าเขากำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับนายทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ ก็เพื่อเสาะหาพันธมิตรเข้ามาแก้ไขปัญหาที่อยู่ๆ แกรมมี่ก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองไทยฉบับนี้
ในเวลาเดียวกัน พนักงานของ Bangkok Post ก็เดินหน้าประท้วงความพยายามในการรุกคืบของแกรมมี่ โดยยืนยันความสำคัญของอิสรภาพของระบบบรรณาธิการว่า นับจากนี้ไป พนักงานจะต้องมีสิทธิ์มีเสียงในการคัดเลือกบรรณาธิการของตน ไม่มีใครสามารถถอดถอนบรรณาธิการได้โดยไม่มีคำอธิบายที่ดีเพียงพอ อันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่ Bangkok Post ในระยะหลังๆ มานี้
ในขณะที่ยังไม่มีใครทราบว่ากรณี Bangkok Post จะลงเลยอย่างไรนั้น นับถึงวันนี้ ความขัดแย้งระหว่างแกรมมี่กับมติชนก็เป็นที่มาของบทเรียนสำคัญๆ หลายประการ อันล้วนแต่เป็นอาการที่บ่งบอกว่าระบบทุนนิยมของไทยกำลังมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว
ในแง่หนึ่ง การที่แกรมมี่ได้พยายามเข้าไปยึดครองมติชนแบบไม่เป็นมิตรนั้นถือเป็น “การทดลองทางวัฒนธรรม” ทางธุรกิจชนิดหนึ่งว่า เมืองไทยจะสามารถรับได้หรือไม่เพียงใด
ไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลยเลยว่า บรรดานักการเงินที่ชื่นชอบการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแก่นักธุรกิจที่มีเป้าหมายที่จะเข้ายึดครองธุรกิจอื่นอย่างไม่เป็นมิตรนั้น ต่างพยายามสังเคราะห์เหตุการณ์ครั้งนี้อย่างขึงขังกันแล้วว่า หากตนจะต้องให้ “คำปรึกษา” ประเภทนี้ต่อไปในอนาคต ตนจะวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไร โอกาสแห่งความสำเร็จจึงจะเพิ่มสูงขึ้น
บทเรียนที่หนึ่งก็คือ การนำหนังสือพิมพ์เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯโดยผู้บริหารไม่ได้ถือหุ้นเอาไว้เกินกว่าร้อยละ 50 นั้นถือว่าเป็นวัฒนธรรมทุนนิยมยุคเก่าที่เต็มไปด้วยความประมาทอย่างยิ่ง เพราะอยู่มาวันหนึ่ง เรื่องแปลกๆ แบบที่แกรมมี่ได้ทำไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกได้ ทั้งนี้ ก็เพราะหุ้นเป็นของซื้อของขายในตลาดเสรี ที่ฝ่ายผู้ขายอยากจะขายออกไปในราคาแพงๆ และฝ่ายผู้ซื้อก็อยากจะซื้อเข้ามาในราคาถูกๆ
ฉะนั้น ตราบใดที่ผู้บริหารไม่ยอมถือหุ้นเอาไว้ในมือของตนเองเกินกว่าครึ่ง อันตรายก็มีอยู่เสมอ เพราะในระบบ “ทุน” นิยม ที่เต็มไปด้วยนักล่าประเภทหน้าเนื้อใจเสือที่มักจะใส่สูทสวยๆ นั้น ใครๆ ก็อยากจะได้ผลประโยชน์ของบริษัทอื่นๆ ที่เขาสู้อุตสาห์บุกเบิกธุรกิจได้ประสบความสำเร็จจนกระทั่งมีผลประกอบการดีๆ ด้วยวิธีการง่ายๆ กันทั้งนั้น
บทเรียนที่สอง เนื่องจากมติชนไม่ใช่ธุรกิจอื่นๆ ประเภทปลากระป๋อง น้ำปลา หรือรองเท้า ที่ใช้สอยเสร็จแล้วก็หมดประโยชน์ไป และใครๆ มาทำก็ย่อมมีคุณภาพที่ไม่แตกต่างกันสักเท่าใดนัก
ทว่าเป็นหนังสือพิมพ์ อันเป็นสถาบันที่ผลิตและเผยแพร่ข่าวสาร อันเป็นสินค้าที่มีองค์ประกอบของ “ความเชื่อ” “ค่านิยม” และ “รสนิยม” เป็นอย่างสูง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ“ความจริง” ผู้ทำหน้าที่ในการบอกเล่า ตรวจสอบ และท้าทายผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ ฉะนั้น ผู้บริโภคจึงมีความผูกพันกับมติชนเป็นอย่างมาก จนกระทั่งพากันออกมาทำหน้าที่เป็นผู้บริโภคที่ดีกันอย่างกว้างขวางดังเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้ว รวมทั้งวงการวิชาการด้านการสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นพันธมิตรของมติชนอย่างหนักแน่นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ โดยไม่ต้องกล่าวถึงพันธมิตรของมติชนในวงการหนังสือพิมพ์ ซึ่งก็ได้พร้อมใจกันทำข่าวและเขียนคอลัมน์ด่าทอแกรมมี่กันอย่างเป็นเอกฉันท์ เพราะหากมติชนโดนกระทำได้ขนาดนี้ หนังสือพิมพ์อื่นๆ ก็จะต้องโดนด้วยในอนาคตแบบทฤษฎีโดมิโนอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากนั้น อำนาจตามประเพณีอันเก่าแก่ของหนังสือพิมพ์ในการคัดง้างกับอธรรมทางการเมืองก็จะมีอันเป็นไปจนอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
หากต้องมีความเป็นไปอย่างนั้น ประวัติศาสตร์หนังสือพิมพ์ไทยก็จะต้องขึ้นสู่บทใหม่ โดยที่หนังสือพิมพ์ไม่ได้เป็นผู้เขียนเอง ทว่านายทุนจะกลายเป็น “ประพันธกร” ตัวจริง อันเป็นอะไรที่ผู้ที่อยู่ในวิชาชีพหนังสือพิมพ์ขนานแท้และดั้งเดิมแบบมติชนย่อมจะต้องทนไม่ได้
เคราะห์ดี “ทุนทางสังคม” ในทำนองนี้เองที่ทำให้มติชนมี “จุดคัดง้าง” ตลอดช่วงเวลาที่ความขัดแย้งดำรงอยู่ อันเป็นเหตุผลที่ทำให้แกรมมี่ต้องถอยไปก้าวหนึ่ง
บทเรียนอื่นๆ จากความขัดแย้งระหว่างมติชนกับแกรมมี่ยังมีอีกมาก รวมทั้งความจริงง่ายๆ ที่ว่าหากนายทุนคนใดสามารถระดมเงินได้คราวละมากๆ (และเงียบๆ) เขาก็อาจจะเข้ายึดครองธุรกิจของคนอื่นได้ง่ายๆ ครั้นเมื่อสามารถเข้าถือหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทนั้นๆ ได้สำเร็จแล้ว เขาก็สามารถจะเล่นเกมทางทางเงินของบริษัทนั้นได้อย่างไม่รู้จบ รวมทั้งการประกาศเพิ่มทุนจนถึงขีดขั้นที่ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็สามารถกลายเป็นเจ้าของและผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ ได้ด้วยเงินของคนอื่นที่เรียกๆ กันว่า “นักลงทุน” เกือบจะล้วนๆ โดยแทบจะไม่จำเป็นต้องรู้จักหน้าค่าตากันว่าใครเป็นใครเสียด้วยซ้ำไป
ประเด็นหนึ่งที่ใครๆ ก็พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่แรกมาจนกระทั่งบัดนี้ก็คือ ผู้บริหารแกรมมี่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นพิเศษกับนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งก่อให้เกิดความสงสัยว่าฝ่ายการเมืองเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามที่เข้ายึดครองมติชนอย่างไม่เป็นมิตรครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเงื่อนไขที่นักวิเคราะห์ธุรกิจจำนวนมากเชื่อว่าการลงทุนทั้งในมติชนและ Bangkok Post นั้นยากที่จะหาจุดที่คุ้มค่าในทางการเงินในตัวมันเอง ทั้งนี้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงคดีความหมิ่นประมาทที่หนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับอยู่ในระหว่างการถูกฟ้องร้อง ซึ่งมีมูลค่าเป็น “ตัวเลข” จำนวนมหาศาล
ทว่า “จุดคุ้มค่า” ในทางการเมือง (ซึ่งบ่อยๆ เป็นเรื่องเดียวกับการเงิน) นั้นย่อมหาได้ง่ายๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่มติชนเลิกตอแยกับโครงการชอบกลๆ บางชนิดของใครคนใดคนหนึ่งในรัฐบาลสักพักหนึ่ง จนกระทั่งโครงการนั้นๆ สามารถเดินหน้าไปได้โดยไร้อุปสรรค “ผลตอบแทน” ที่จะเกิดขึ้นก็อาจจะมากมายมหาศาลเกินกว่ามูลค่าหุ้นที่อุตส่าห์แอบไปซื้อหามาจนได้แล้ว
แม้จะยังพิสูจน์กันไม่ได้ว่า การที่ทั้งประธานแกรมมี่และหัวหน้ารัฐบาลต่างออกมาประกาศอย่างเป็นตุเป็นตะว่าเป็นเรื่องธุรกิจล้วนๆ โดยทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม โดยหลักการแล้ว ถึงแม้ว่าข้ออ้างนี้จะเป็นจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีจนไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ ก็เพราะในความเป็นจริงแล้ว สื่ออย่างหนังสือพิมพ์นั้นไม่ใช่ธุรกิจธรรมดาๆ ที่ใครนึกจะซื้อจะหามาเป็นสมบัติส่วนตัวก็ได้แบบง่ายๆ สักแต่ว่ามีทุนมากกว่าเท่านั้น เพราะในแง่หนึ่ง นี่คือสถาบันทางสังคมที่เป็นสมบัติสาธารณะ
ในระบบเสรีนิยมประชาธิปไตย ถึงจะเป็นธุรกิจในแง่ที่ว่าการแสวงหาผลกำไรทางการเงินนั้นย่อมเป็นเป้าหมายที่ชอบธรรมอย่างหนึ่ง ในอีกระดับหนึ่ง สื่อย่อมมีข้อผูกพันทางวิชาชีพชุดหนึ่งที่ไม่ใช่ว่าจะแสวงหาผลกำไรอะไรก็ได้ เช่น การผลิตและเผยแพร่ข่าวบางชนิดอย่างจงใจเพื่อหวังสินจ้างรางวัลในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินสด หุ้น หรือผลตอบแทนที่จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้ในลักษณะอื่นๆ เป็นต้น
เหนือสิ่งอื่นใด ในทางอุดมคติแล้ว สื่อคือ “ฐานันดรที่สี่” ซึ่งมีสถานภาพในเชิงระบบในระนาบเดียวกับอำนาจฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ทั้งนี้ ก็เพราะสื่อต้องทำหน้าที่บอกเล่าและตรวจสอบการทำงานของอำนาจเหล่านี้ ด้วยความเชื่อที่ว่า “ความโปร่งใส” ที่จะบังเกิดขึ้นจากการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของสื่อจะทำให้สังคมประชาธิปไตยเจริญรุ่งเรืองขึ้น เพราะแสงสว่างที่สื่อสาดส่องมายังบุคคลและกิจกรรมต่างๆ ที่ดำเนินการในนามของอำนาจทั้งสามนั้น ลงท้ายแล้ว จะยังผลให้เกิดความถูกต้องขึ้นได้มากกว่าการอนุญาตให้บุคคลและกิจกรรมดังกล่าวนั้นดำเนินการไปอย่างเงียบๆ โดดๆ โดยไร้การบอกเล่าและตรวจสอบที่ชอบธรรมของสื่อ
ด้วยเหตุผลเช่นนี้ สื่อจึงเป็นธุรกิจพิเศษอย่างยิ่ง ไม่ใช่ธุรกิจธรรมดาที่หวังผลกำไรเท่านั้น ความพิเศษของสื่อแต่ละแห่งย่อมได้มาจากเกียรติภูมิในอดีตของสื่อนั้นๆ ในการเสาะแสวงหาความถูกต้องให้แก่สังคมส่วนรวม (track record) การปฏิบัติตามหลักจริยธรรมทางวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ซึ่งจุดสำคัญมากจุดหนึ่งอยู่ที่ความสามารถในการวางตัวเป็นกลางโดย “ทิ้งระยะห่าง” ที่จำเป็นกับผู้มีอำนาจทางการเมือง หรือแม้กระทั่งในทางเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่สื่อเองก็จำเป็นต้องหาเงินจากการโฆษณาเชิงพาณิชย์ที่มักจะมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจนี่แหละ
แน่นอน สื่อที่ดีย่อมไม่สามารถทำตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เมื่อใดที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในสื่อกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลมีความใกล้ชิดกันถึงขนาดต่อสาย กินข้าว หรือตีกอล์ฟกันเป็นกิจวัตร เมื่อนั้น การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันก็ย่อมจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย นั่นหมายความว่าการทำหน้าที่ของสื่อจะต้องหย่อนยานลงไปอย่างแน่นอน หรือมิหนำซ้ำ อาจจะถึงขนาดที่มีการใช้สื่อเพื่อก่อให้เกิดความสะดวกในการและเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกันด้วยซ้ำไป
ความใกล้ชิดแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นอะไรที่จะนำไปสู่การสร้างระบอบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ ในบางกรณี ประเทศต่างๆ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับระบบเสรีนิยมประชาธิปไตยมานานๆ เขาจึงมักจะมีการจัดตั้งกกติกามารยาทในการเคลื่อนย้ายการถือครองกรรมสิทธิ์ในสื่อ (media ownership transfer) เอาไว้ในบางลักษณะเสมอ ในบางครั้งก็ระบุเป็นลายลักษณ์อักษร และในกรณีอื่นๆ ก็อาจจะเป็นที่เข้าใจกันเองจากประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาในอดีตโดยอัตโนมัติ
เนื่องจากสื่อของแต่ละประเทศมีประวัติศาสตร์และสถานภาพในสังคมนั้นๆ มักจะไม่มีอะไรเหมือนกันสักเท่าใดนัก อีกทั้งวิวัฒนาการและวัฒนธรรมประชาธิปไตยของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างมาก แต่ละประเทศจึงมักจะจำเป็นต้องกำหนดกฎเกณฑ์เหล่านี้ขึ้นมาเอง เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในแต่ละสังคม จนกระทั่งสามารถก่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริงๆ
ถึงแม้ความขัดแย้งในกรณีแกรมมี่ มติชน และ Bangkok Post จะสร้างความปั่นป่วนให้แก่วงการหนังสือพิมพ์ไทยไม่ใช่น้อยๆ ในอีกแง่หนึ่ง นี่คือสัญญาณสำคัญที่กำลังตักเตือนให้สมาคมทางวิชาชีพหนังสือพิมพ์ต้องปรับปรุงบทบาทของตนเองที่สามารถทำหน้าที่ใหม่ๆ ในการเป็นผู้กำหนดมาตรฐานแห่งวิชาชีพของตนให้รัดกุมมากขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างหลักเกณฑ์ใหม่ๆ ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปอย่างกว้างขวางจนกระทั่งกลายเป็นประเพณีในอนาคต
วงการวิชาการสื่อสารมวลชน ผู้บริโภคหนังสือพิมพ์ นักการเมืองที่มองการณ์ไกล และบรรดาผู้นำของธุรกิจหนังสือพิมพ์ต่างๆ ได้มีส่วนโอบอุ้มมติชนให้หลุดพ้นจากความก้าวร้าวของทุนนิยมดิบมาแล้วเปลาะหนึ่ง ก้าวต่อไปของมติชนและพันธมิตรก็คือการสร้างหลักประกันว่าปัญหาอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต
นอกจากนี้ โจทย์ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ เราจะทำอย่างไรกันดีกับผู้ถือหุ้นใหญ่ในหนังสือพิมพ์หลายฉบับในปัจจุบันที่มีสายสัมพันธ์โดยตรงและโดยอ้อมกับบรรดานักการเมืองและนักธุรกิจ ผู้มีเป้าหมายอันเป็นปฏิปักษ์ต่อพันธกิจหลักของหนังสือพิมพ์?
หากสมาคมทางวิชาชีพหนังสือพิมพ์ใช้บรรยากาศแห่งการต่อสู้ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ นี้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ด้วยการร่วมมือร่วมใจกันจริงๆ เพื่อจัดการประชุมทางวิชาชีพขนาดใหญ่ขึ้นมา โดยมุ่งที่จะตอบคำถามและสร้าง “แบบจำลองในอุดมคติ” เกี่ยวกับเรื่องการถือครองกรรมสิทธิ์ในหนังสือพิมพ์อย่างที่ควรจะเป็นในเมืองไทย
หากปราศจากเสียซึ่ง “แบบจำลองในอุดมคติ” สำหรับการอ้างอิงนี้เสียแล้ว ในอนาคต ใครๆ จะทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้เพราะการเมืองไทยนั้นเต็มไปด้วยความเปราะบาง ไม่ได้มีมาตรฐานสูงส่งที่เราสามารถไว้วางใจได้แต่อย่างใด
ในอนาคต หากหนังสือพิมพ์ต่างๆ เกิดมีผู้ถือหุ้นบางกลุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็จะเป็น “จุดหักเห” ของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทยไทยได้อีกครั้งเหมือนกัน
บางทีการใช้วิกฤตเป็นโอกาสเสียในครั้งนี้ อาจจะเป็นกิจกรรมที่ช่วยปกป้องเกียรติภูมิของหนังสือพิมพ์จากความก้าวร้าวของ “คนแปลกหน้า” ทั้งในปัจจุบันและอนาคตก็ได้ หากไม่สร้างระบบป้องกันตนเองที่ใช้เป็นหลักในการทำงานได้เสียตั้งแต่วันนี้ อีกไม่นานนัก พันธมิตรของหนังสือพิมพ์ที่เป็น “เป้าหมายต่อไป” ก็ต้องพากันออกมายืนชี้นิ้วตวาดนักยึดครองหนังสือพิมพ์โดยไม่ชอบธรรมรายใหม่จนได้เมื่อยกันอีก
ทว่าในความเป็นจริง นอกจากความคลางแคลงใจอย่างยิ่งของผู้คนจำนวนมากที่มีส่วนในการออกมาเคลื่อนไหวอย่างคึกคักเพื่อสนับสนุนให้มติชนสามารถรักษาสถานภาพดั้งเดิมของตนเอาไว้ให้ได้แล้ว ความขัดแย้งยังระหว่างมติชนกับแกรมมี่ยังคงจะต้องคุกรุ่นต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังที่คุณพิเชียร คุระทอง บรรณาธิการอำนวยการของมติชนได้ออกมาประกาศหลังจากได้ข้อสรุปดังกล่าวว่า “เครือแกรมมี่จะต้องไม่มายุ่มย่ามในการทำงานของกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับของเครือมติชนโดยเด็ดขาด แกรมมี่จะทำได้เพียงรับเงินปันผลประจำปีเท่านั้น และขอให้อยู่ห่างๆ ไว้ ขอให้เครือแกรมมี่เดินออกไปไกลๆ เลย”
ในขณะเดียวกัน เมื่อคุณสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์เดินทางกลับมาถึงเมืองไทย ก็ได้ประกาศท่าทีอันน่านับถือยิ่งว่าตนเองต้องการให้ Bangkok Post รักษาความเป็นหนังสือพิมพ์มืออาชีพต่อไป โดยจะไม่ยอมขายหุ้นในส่วนที่ตนยังคงถืออยู่ให้แก่แกรมมี่เป็นอันขาด และมีข่าวว่าเขากำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับนายทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ ก็เพื่อเสาะหาพันธมิตรเข้ามาแก้ไขปัญหาที่อยู่ๆ แกรมมี่ก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองไทยฉบับนี้
ในเวลาเดียวกัน พนักงานของ Bangkok Post ก็เดินหน้าประท้วงความพยายามในการรุกคืบของแกรมมี่ โดยยืนยันความสำคัญของอิสรภาพของระบบบรรณาธิการว่า นับจากนี้ไป พนักงานจะต้องมีสิทธิ์มีเสียงในการคัดเลือกบรรณาธิการของตน ไม่มีใครสามารถถอดถอนบรรณาธิการได้โดยไม่มีคำอธิบายที่ดีเพียงพอ อันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่ Bangkok Post ในระยะหลังๆ มานี้
ในขณะที่ยังไม่มีใครทราบว่ากรณี Bangkok Post จะลงเลยอย่างไรนั้น นับถึงวันนี้ ความขัดแย้งระหว่างแกรมมี่กับมติชนก็เป็นที่มาของบทเรียนสำคัญๆ หลายประการ อันล้วนแต่เป็นอาการที่บ่งบอกว่าระบบทุนนิยมของไทยกำลังมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว
ในแง่หนึ่ง การที่แกรมมี่ได้พยายามเข้าไปยึดครองมติชนแบบไม่เป็นมิตรนั้นถือเป็น “การทดลองทางวัฒนธรรม” ทางธุรกิจชนิดหนึ่งว่า เมืองไทยจะสามารถรับได้หรือไม่เพียงใด
ไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลยเลยว่า บรรดานักการเงินที่ชื่นชอบการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแก่นักธุรกิจที่มีเป้าหมายที่จะเข้ายึดครองธุรกิจอื่นอย่างไม่เป็นมิตรนั้น ต่างพยายามสังเคราะห์เหตุการณ์ครั้งนี้อย่างขึงขังกันแล้วว่า หากตนจะต้องให้ “คำปรึกษา” ประเภทนี้ต่อไปในอนาคต ตนจะวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไร โอกาสแห่งความสำเร็จจึงจะเพิ่มสูงขึ้น
บทเรียนที่หนึ่งก็คือ การนำหนังสือพิมพ์เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯโดยผู้บริหารไม่ได้ถือหุ้นเอาไว้เกินกว่าร้อยละ 50 นั้นถือว่าเป็นวัฒนธรรมทุนนิยมยุคเก่าที่เต็มไปด้วยความประมาทอย่างยิ่ง เพราะอยู่มาวันหนึ่ง เรื่องแปลกๆ แบบที่แกรมมี่ได้ทำไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกได้ ทั้งนี้ ก็เพราะหุ้นเป็นของซื้อของขายในตลาดเสรี ที่ฝ่ายผู้ขายอยากจะขายออกไปในราคาแพงๆ และฝ่ายผู้ซื้อก็อยากจะซื้อเข้ามาในราคาถูกๆ
ฉะนั้น ตราบใดที่ผู้บริหารไม่ยอมถือหุ้นเอาไว้ในมือของตนเองเกินกว่าครึ่ง อันตรายก็มีอยู่เสมอ เพราะในระบบ “ทุน” นิยม ที่เต็มไปด้วยนักล่าประเภทหน้าเนื้อใจเสือที่มักจะใส่สูทสวยๆ นั้น ใครๆ ก็อยากจะได้ผลประโยชน์ของบริษัทอื่นๆ ที่เขาสู้อุตสาห์บุกเบิกธุรกิจได้ประสบความสำเร็จจนกระทั่งมีผลประกอบการดีๆ ด้วยวิธีการง่ายๆ กันทั้งนั้น
บทเรียนที่สอง เนื่องจากมติชนไม่ใช่ธุรกิจอื่นๆ ประเภทปลากระป๋อง น้ำปลา หรือรองเท้า ที่ใช้สอยเสร็จแล้วก็หมดประโยชน์ไป และใครๆ มาทำก็ย่อมมีคุณภาพที่ไม่แตกต่างกันสักเท่าใดนัก
ทว่าเป็นหนังสือพิมพ์ อันเป็นสถาบันที่ผลิตและเผยแพร่ข่าวสาร อันเป็นสินค้าที่มีองค์ประกอบของ “ความเชื่อ” “ค่านิยม” และ “รสนิยม” เป็นอย่างสูง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ“ความจริง” ผู้ทำหน้าที่ในการบอกเล่า ตรวจสอบ และท้าทายผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ ฉะนั้น ผู้บริโภคจึงมีความผูกพันกับมติชนเป็นอย่างมาก จนกระทั่งพากันออกมาทำหน้าที่เป็นผู้บริโภคที่ดีกันอย่างกว้างขวางดังเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้ว รวมทั้งวงการวิชาการด้านการสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นพันธมิตรของมติชนอย่างหนักแน่นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ โดยไม่ต้องกล่าวถึงพันธมิตรของมติชนในวงการหนังสือพิมพ์ ซึ่งก็ได้พร้อมใจกันทำข่าวและเขียนคอลัมน์ด่าทอแกรมมี่กันอย่างเป็นเอกฉันท์ เพราะหากมติชนโดนกระทำได้ขนาดนี้ หนังสือพิมพ์อื่นๆ ก็จะต้องโดนด้วยในอนาคตแบบทฤษฎีโดมิโนอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากนั้น อำนาจตามประเพณีอันเก่าแก่ของหนังสือพิมพ์ในการคัดง้างกับอธรรมทางการเมืองก็จะมีอันเป็นไปจนอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
หากต้องมีความเป็นไปอย่างนั้น ประวัติศาสตร์หนังสือพิมพ์ไทยก็จะต้องขึ้นสู่บทใหม่ โดยที่หนังสือพิมพ์ไม่ได้เป็นผู้เขียนเอง ทว่านายทุนจะกลายเป็น “ประพันธกร” ตัวจริง อันเป็นอะไรที่ผู้ที่อยู่ในวิชาชีพหนังสือพิมพ์ขนานแท้และดั้งเดิมแบบมติชนย่อมจะต้องทนไม่ได้
เคราะห์ดี “ทุนทางสังคม” ในทำนองนี้เองที่ทำให้มติชนมี “จุดคัดง้าง” ตลอดช่วงเวลาที่ความขัดแย้งดำรงอยู่ อันเป็นเหตุผลที่ทำให้แกรมมี่ต้องถอยไปก้าวหนึ่ง
บทเรียนอื่นๆ จากความขัดแย้งระหว่างมติชนกับแกรมมี่ยังมีอีกมาก รวมทั้งความจริงง่ายๆ ที่ว่าหากนายทุนคนใดสามารถระดมเงินได้คราวละมากๆ (และเงียบๆ) เขาก็อาจจะเข้ายึดครองธุรกิจของคนอื่นได้ง่ายๆ ครั้นเมื่อสามารถเข้าถือหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทนั้นๆ ได้สำเร็จแล้ว เขาก็สามารถจะเล่นเกมทางทางเงินของบริษัทนั้นได้อย่างไม่รู้จบ รวมทั้งการประกาศเพิ่มทุนจนถึงขีดขั้นที่ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็สามารถกลายเป็นเจ้าของและผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ ได้ด้วยเงินของคนอื่นที่เรียกๆ กันว่า “นักลงทุน” เกือบจะล้วนๆ โดยแทบจะไม่จำเป็นต้องรู้จักหน้าค่าตากันว่าใครเป็นใครเสียด้วยซ้ำไป
ประเด็นหนึ่งที่ใครๆ ก็พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่แรกมาจนกระทั่งบัดนี้ก็คือ ผู้บริหารแกรมมี่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นพิเศษกับนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งก่อให้เกิดความสงสัยว่าฝ่ายการเมืองเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามที่เข้ายึดครองมติชนอย่างไม่เป็นมิตรครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเงื่อนไขที่นักวิเคราะห์ธุรกิจจำนวนมากเชื่อว่าการลงทุนทั้งในมติชนและ Bangkok Post นั้นยากที่จะหาจุดที่คุ้มค่าในทางการเงินในตัวมันเอง ทั้งนี้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงคดีความหมิ่นประมาทที่หนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับอยู่ในระหว่างการถูกฟ้องร้อง ซึ่งมีมูลค่าเป็น “ตัวเลข” จำนวนมหาศาล
ทว่า “จุดคุ้มค่า” ในทางการเมือง (ซึ่งบ่อยๆ เป็นเรื่องเดียวกับการเงิน) นั้นย่อมหาได้ง่ายๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่มติชนเลิกตอแยกับโครงการชอบกลๆ บางชนิดของใครคนใดคนหนึ่งในรัฐบาลสักพักหนึ่ง จนกระทั่งโครงการนั้นๆ สามารถเดินหน้าไปได้โดยไร้อุปสรรค “ผลตอบแทน” ที่จะเกิดขึ้นก็อาจจะมากมายมหาศาลเกินกว่ามูลค่าหุ้นที่อุตส่าห์แอบไปซื้อหามาจนได้แล้ว
แม้จะยังพิสูจน์กันไม่ได้ว่า การที่ทั้งประธานแกรมมี่และหัวหน้ารัฐบาลต่างออกมาประกาศอย่างเป็นตุเป็นตะว่าเป็นเรื่องธุรกิจล้วนๆ โดยทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม โดยหลักการแล้ว ถึงแม้ว่าข้ออ้างนี้จะเป็นจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีจนไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ ก็เพราะในความเป็นจริงแล้ว สื่ออย่างหนังสือพิมพ์นั้นไม่ใช่ธุรกิจธรรมดาๆ ที่ใครนึกจะซื้อจะหามาเป็นสมบัติส่วนตัวก็ได้แบบง่ายๆ สักแต่ว่ามีทุนมากกว่าเท่านั้น เพราะในแง่หนึ่ง นี่คือสถาบันทางสังคมที่เป็นสมบัติสาธารณะ
ในระบบเสรีนิยมประชาธิปไตย ถึงจะเป็นธุรกิจในแง่ที่ว่าการแสวงหาผลกำไรทางการเงินนั้นย่อมเป็นเป้าหมายที่ชอบธรรมอย่างหนึ่ง ในอีกระดับหนึ่ง สื่อย่อมมีข้อผูกพันทางวิชาชีพชุดหนึ่งที่ไม่ใช่ว่าจะแสวงหาผลกำไรอะไรก็ได้ เช่น การผลิตและเผยแพร่ข่าวบางชนิดอย่างจงใจเพื่อหวังสินจ้างรางวัลในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินสด หุ้น หรือผลตอบแทนที่จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้ในลักษณะอื่นๆ เป็นต้น
เหนือสิ่งอื่นใด ในทางอุดมคติแล้ว สื่อคือ “ฐานันดรที่สี่” ซึ่งมีสถานภาพในเชิงระบบในระนาบเดียวกับอำนาจฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ทั้งนี้ ก็เพราะสื่อต้องทำหน้าที่บอกเล่าและตรวจสอบการทำงานของอำนาจเหล่านี้ ด้วยความเชื่อที่ว่า “ความโปร่งใส” ที่จะบังเกิดขึ้นจากการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของสื่อจะทำให้สังคมประชาธิปไตยเจริญรุ่งเรืองขึ้น เพราะแสงสว่างที่สื่อสาดส่องมายังบุคคลและกิจกรรมต่างๆ ที่ดำเนินการในนามของอำนาจทั้งสามนั้น ลงท้ายแล้ว จะยังผลให้เกิดความถูกต้องขึ้นได้มากกว่าการอนุญาตให้บุคคลและกิจกรรมดังกล่าวนั้นดำเนินการไปอย่างเงียบๆ โดดๆ โดยไร้การบอกเล่าและตรวจสอบที่ชอบธรรมของสื่อ
ด้วยเหตุผลเช่นนี้ สื่อจึงเป็นธุรกิจพิเศษอย่างยิ่ง ไม่ใช่ธุรกิจธรรมดาที่หวังผลกำไรเท่านั้น ความพิเศษของสื่อแต่ละแห่งย่อมได้มาจากเกียรติภูมิในอดีตของสื่อนั้นๆ ในการเสาะแสวงหาความถูกต้องให้แก่สังคมส่วนรวม (track record) การปฏิบัติตามหลักจริยธรรมทางวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ซึ่งจุดสำคัญมากจุดหนึ่งอยู่ที่ความสามารถในการวางตัวเป็นกลางโดย “ทิ้งระยะห่าง” ที่จำเป็นกับผู้มีอำนาจทางการเมือง หรือแม้กระทั่งในทางเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่สื่อเองก็จำเป็นต้องหาเงินจากการโฆษณาเชิงพาณิชย์ที่มักจะมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจนี่แหละ
แน่นอน สื่อที่ดีย่อมไม่สามารถทำตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เมื่อใดที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในสื่อกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลมีความใกล้ชิดกันถึงขนาดต่อสาย กินข้าว หรือตีกอล์ฟกันเป็นกิจวัตร เมื่อนั้น การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันก็ย่อมจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย นั่นหมายความว่าการทำหน้าที่ของสื่อจะต้องหย่อนยานลงไปอย่างแน่นอน หรือมิหนำซ้ำ อาจจะถึงขนาดที่มีการใช้สื่อเพื่อก่อให้เกิดความสะดวกในการและเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกันด้วยซ้ำไป
ความใกล้ชิดแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นอะไรที่จะนำไปสู่การสร้างระบอบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ ในบางกรณี ประเทศต่างๆ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับระบบเสรีนิยมประชาธิปไตยมานานๆ เขาจึงมักจะมีการจัดตั้งกกติกามารยาทในการเคลื่อนย้ายการถือครองกรรมสิทธิ์ในสื่อ (media ownership transfer) เอาไว้ในบางลักษณะเสมอ ในบางครั้งก็ระบุเป็นลายลักษณ์อักษร และในกรณีอื่นๆ ก็อาจจะเป็นที่เข้าใจกันเองจากประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาในอดีตโดยอัตโนมัติ
เนื่องจากสื่อของแต่ละประเทศมีประวัติศาสตร์และสถานภาพในสังคมนั้นๆ มักจะไม่มีอะไรเหมือนกันสักเท่าใดนัก อีกทั้งวิวัฒนาการและวัฒนธรรมประชาธิปไตยของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างมาก แต่ละประเทศจึงมักจะจำเป็นต้องกำหนดกฎเกณฑ์เหล่านี้ขึ้นมาเอง เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในแต่ละสังคม จนกระทั่งสามารถก่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริงๆ
ถึงแม้ความขัดแย้งในกรณีแกรมมี่ มติชน และ Bangkok Post จะสร้างความปั่นป่วนให้แก่วงการหนังสือพิมพ์ไทยไม่ใช่น้อยๆ ในอีกแง่หนึ่ง นี่คือสัญญาณสำคัญที่กำลังตักเตือนให้สมาคมทางวิชาชีพหนังสือพิมพ์ต้องปรับปรุงบทบาทของตนเองที่สามารถทำหน้าที่ใหม่ๆ ในการเป็นผู้กำหนดมาตรฐานแห่งวิชาชีพของตนให้รัดกุมมากขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างหลักเกณฑ์ใหม่ๆ ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปอย่างกว้างขวางจนกระทั่งกลายเป็นประเพณีในอนาคต
วงการวิชาการสื่อสารมวลชน ผู้บริโภคหนังสือพิมพ์ นักการเมืองที่มองการณ์ไกล และบรรดาผู้นำของธุรกิจหนังสือพิมพ์ต่างๆ ได้มีส่วนโอบอุ้มมติชนให้หลุดพ้นจากความก้าวร้าวของทุนนิยมดิบมาแล้วเปลาะหนึ่ง ก้าวต่อไปของมติชนและพันธมิตรก็คือการสร้างหลักประกันว่าปัญหาอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต
นอกจากนี้ โจทย์ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ เราจะทำอย่างไรกันดีกับผู้ถือหุ้นใหญ่ในหนังสือพิมพ์หลายฉบับในปัจจุบันที่มีสายสัมพันธ์โดยตรงและโดยอ้อมกับบรรดานักการเมืองและนักธุรกิจ ผู้มีเป้าหมายอันเป็นปฏิปักษ์ต่อพันธกิจหลักของหนังสือพิมพ์?
หากสมาคมทางวิชาชีพหนังสือพิมพ์ใช้บรรยากาศแห่งการต่อสู้ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ นี้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ด้วยการร่วมมือร่วมใจกันจริงๆ เพื่อจัดการประชุมทางวิชาชีพขนาดใหญ่ขึ้นมา โดยมุ่งที่จะตอบคำถามและสร้าง “แบบจำลองในอุดมคติ” เกี่ยวกับเรื่องการถือครองกรรมสิทธิ์ในหนังสือพิมพ์อย่างที่ควรจะเป็นในเมืองไทย
หากปราศจากเสียซึ่ง “แบบจำลองในอุดมคติ” สำหรับการอ้างอิงนี้เสียแล้ว ในอนาคต ใครๆ จะทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้เพราะการเมืองไทยนั้นเต็มไปด้วยความเปราะบาง ไม่ได้มีมาตรฐานสูงส่งที่เราสามารถไว้วางใจได้แต่อย่างใด
ในอนาคต หากหนังสือพิมพ์ต่างๆ เกิดมีผู้ถือหุ้นบางกลุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็จะเป็น “จุดหักเห” ของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทยไทยได้อีกครั้งเหมือนกัน
บางทีการใช้วิกฤตเป็นโอกาสเสียในครั้งนี้ อาจจะเป็นกิจกรรมที่ช่วยปกป้องเกียรติภูมิของหนังสือพิมพ์จากความก้าวร้าวของ “คนแปลกหน้า” ทั้งในปัจจุบันและอนาคตก็ได้ หากไม่สร้างระบบป้องกันตนเองที่ใช้เป็นหลักในการทำงานได้เสียตั้งแต่วันนี้ อีกไม่นานนัก พันธมิตรของหนังสือพิมพ์ที่เป็น “เป้าหมายต่อไป” ก็ต้องพากันออกมายืนชี้นิ้วตวาดนักยึดครองหนังสือพิมพ์โดยไม่ชอบธรรมรายใหม่จนได้เมื่อยกันอีก


