xs
xsm
sm
md
lg

ทุนดิบ หรือสันดานดิบ?

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

เป็นเรื่องที่ไม่อยากพูดเลย ถึงกรณีการขยายทุนของกลุ่มทุนใหม่ในสังคมไทย ที่พรรคไทยรักไทยเป็นตัวแทน

กลุ่มทุนใหม่ที่สะท้อนขั้นตอนพัฒนาการของพลังทุนไทย ต้องมาตายน้ำตื้นเพราะ "สันดาน"ของคนที่เป็นเจ้าของทุน แทนที่จะใช้ทุนเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของพลังการผลิตทางสังคมของประเทศไทย ประชาชนจะได้ประโยชน์ ประเทศจะเข้มแข็ง กลับใช้ทุนต่อทุนแบบนักการพนัน

ยิ่งเมื่อได้อำนาจบริหารประเทศเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด ถึงกับลืมตัว ลืมสติ ลืมไปว่า การบริหารทุนเพื่อส่วนประเทศชาติและประชาชนเท่านั้น ที่จะทำให้กลุ่มทุนไทยพัฒนาขยายตัว และเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้อย่างยิ่งยืน แม้นจะมีการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ความเป็นประชาสังคมในภายภาคหน้า ทุนดังว่าก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นทุนสังคมที่สร้างสรรค์ มีสถานภาพทางประวัติเชิงสร้างสรรค์ควบคู่ไปกับความเจริญรุ่งเรืองของประชาชาติไทย ตลอดไป

เป็นที่แน่ชัดขึ้นเรื่อยๆว่า พวกเขาเลือกที่จะใช้ทุน "ซื้อ" ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะคือ "บุคคล" ในวงการต่างๆ ทั้งในภาครัฐและภาคประชาชน ทั้งในวงการการเมือง วงการราชการ องค์กรอิสระ ตลอดจนวงการธุรกิจเพื่อผูกขาดอำนาจเหนือสังคมไทย ซึ่งไม่มีความสอดคล้องอันใดกับความเรียกร้องต้องการของประชาชน ทั้งไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ ขัดกับลักษณะยุคสมัยที่โลกเข้าสู่ระยะการแข่งขัน ต้องพัฒนากลไกตลาดให้เกิดประสิทธิภาพ เอื้อต่อการแข่งขันและการเติบใหญ่ของทุนทุกระดับ ทั้งหมดจะต้องดำเนินในครรลองของความเป็นประชาธิปไตย มีความโปร่งใส เป็นธรรม และเที่ยงธรรมกำกับอยู่ทุกอณูแห่งการขับเคลื่อนของพลังการผลิตในสังคม

บนเส้นทางดังกล่าว ในที่สุดแล้วจะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น ที่เป็น "ไทย" ประเทศชาติประชาชนไม่ได้ประโยชน์ แม้แต่กลุ่มทุนใหม่ไทยเช่นเดียวกัน มิดีมิร้ายอาจล่มหายตายจากไปจากสังคมไทย เปิดทางให้กลุ่มทุนใหม่อีกกลุ่มแทรกและแซงขึ้นมาได้ เฉกเช่นที่กลุ่มทุนใหม่พรรคไทยรักไทยได้ทำมาแล้วในช่วงวิกฤตการเงินปี พ.ศ. 2540

กลุ่มทุนใหม่ไทยรักไทยก็จะกลายเป็นกลุ่มทุนอายุสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์การพัฒนาของกลุ่มทุนไทย
การผูกขาด มีแต่จะเสียโอกาส

พฤติกรรมเช่นนี้ แสดงว่ากลุ่มทุนไทยรักไทยกำลังเลือกเดินไปในเส้นทางที่ผิด ด้วยมิจฉาทิฐิ คือความรับรู้ที่ไม่สอดคล้องกับกฎการพัฒนาของสังคมโลกยุคปัจจุบัน ยิ่งทำก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อประเทศชาติ ประชาชน และต่อกลุ่มทุนใหม่เอง

เพราะจะทำให้ประเทศไทยพลาดโอกาสครั้งใหญ่ ในการพัฒนาตนเองไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เทียมทันกับประเทศอื่นๆ

พลาดตรงไหน? ตรงที่ไม่ได้สร้างระบบ โครงสร้าง และกลไก ที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ เสริมสร้างความผาสุกให้แก่ประชาชน กลไกตลาดถูกควบคุมแทรกแซง ไม่กระจายรายได้อย่างเป็นธรรม ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มทุนไทยรักไทย ความยากจนและหนี้สินจะเป็นไปอย่างกว้างขวาง ความเหลื่อมล้ำจะขยายวง นำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม คุณภาพชีวิตของคนไทยจะตกต่ำ จิตใจจะเสื่อมทราม ไร้ที่พึ่งและหมดความหวัง เกิดการเบียดเบียนในระหว่างประชาชนไปทั่ว

แน่นอนที่สุด จะไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง รัฐบาลพรรคไทยรักไทยจะเผชิญกับวิกฤตทางการเมืองอย่างไม่สิ้นสุด

การผูกขาดรังแต่จะนำมาซึ่งความขัดแย้ง โดยเฉพาะระหว่างกลุ่มทุนผูกขาดกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เพราะความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นทุกหัวระแหง จะเป็นตัวโน้มนำให้ประชาชนส่วนใหญ่ร่วมกันเคลื่อนไหว รวมตัวกันเข้า เพื่อ "เช็กบิล" ที่ต้นเหตุ คือผู้ก่อเหตุ ยิ่งผูกขาดมาก ความเป็นผู้ก่อเหตุก็ชัดเจนมาก เห็นกันง่าย หลบไม่พ้นสายตาของประชาชน

กฎแห่งกรรมจะแสดงอานุภาพชัดเจน แต่เป็นกฎแห่งกรรมในทางลบ ไม่ใช่ทางบวก

ไม่ใช่สิ่งที่สังคมไทยต้องการ!

สันดานดิบ เพราะปัญญาทึบ

โดยนัยนี้ การใช้ทุนไปในทางที่ผิด จึงผิดอยู่ที่ผู้มีอำนาจใช้ทุน

เป็นการใช้ทุนภายใต้โมหะหรือความหลงผิดอย่างร้ายกาจ ขาดปัญญาชี้นำ

ปัญญาคืออะไร?

ปัญญาเกิดจากความสามารถในการเข้าถึงความจริง สามารถรับรู้ในกฎธรรมชาติ เช่น อริยสัจ 4 หลักปฏิจจสมุปบาท (กฎแห่งกรรมก็รวมอยู่ในนี้) ไม่ติดอยู่ในภาพลวงตา หรือสังขารปรุงแต่ง ที่สนองอัตตาแห่งตัวตน

อีกนัยหนึ่งคือสัมมาทิฐิ

เมื่อสัมมาทิฐิเกิด ความดำริจึงชอบ การริเริ่มใดๆจึงจะได้รับแรงสนับสนุนจากสังคม จากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เดินถูกทิศถูกทาง อันเป็นทางแห่งกุศล ส่งผลบุญให้แก่สรรพชีวิต โดยเฉพาะคือตนผู้กระทำ

ตรงกันข้าม การใช้ทุนโดยขาดสัมมาทิฐิ คิดทำอะไรก็กลายเป็นมิจฉาปฏิบัติ ยิ่งทำก็ยิ่งเป็นการทำลาย ถูกต่อต้านขัดขวางมากขึ้นเรื่อยๆ และพบจุดจบที่ไม่แตกต่างกัน ดังเช่นกลุ่มอักษะในสงครามโลกทั้งสองครั้ง

กลุ่มอำนาจเผด็จการที่ไร้ปัญญา ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งในระบอบทุนนิยมและสังคมนิยม ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน จึงหนีไม่พ้นชะตากรรมอันเลวร้ายแบบเดียวกัน

ต้องเข้าถึงธรรมชาติของทุน

กลุ่มทุนใหม่ไทยรักไทยต้องมองทุนเป็นเครื่องมือที่แยกจากอัตตาหรือตัวตน เห็นทุนเป็นปัจจัยสร้างสรรค์ เป็นเครื่องมือในการสามัคคี เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองให้แก่สังคมไทย ต้องสร้างสัมมาทิฐิขึ้นมาให้ได้

โดยนัยนี้ การริเริ่มใดๆ จึงจะเป็นการดำริชอบ ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างแท้จริง แม้ทำได้ไม่ดี ประชาชนก็เข้าใจและให้โอกาส ในที่สุดก็จะประสบความสำเร็จ ประโยชน์ก็จะเกิดขึ้น ก็จะยิ่งมีโอกาสใช้ทุนขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของประเทศไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทย ให้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีบนเวทีโลก

โดยกระบวนการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ ทุนเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการผลิต เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของสมาชิกในสังคม ซึ่งในสังคมรัฐชาติ ก็คือประชาชน เพียงแต่ว่า ผู้มีอำนาจบริหารทุนสามารถตัดหรือตักตวงเอาส่วนที่เหลือที่เกินจากการสนองตอบความต้องการของประชาชนมารองรับการดำเนินชีวิตของตนให้สมบูรณ์พูนสุขยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป

มองในรูปของการได้มาซึ่งสิ่งตอบแทนจากการทำงาน ผู้ประกอบการหรือนายทุน ผู้บริหารทุน มีความชอบธรรมที่จะได้สิ่งตอบแทนตามสัดส่วนของผลงานของตน จากการใช้ความสามารถในการบริหารทุน จากความเสี่ยงที่จะขาดทุนหรือกระทั่งล้มละลาย

ในกรอบของความชอบธรรมดังกล่าว สังคมในระบอบทุนนิยมที่กลุ่มทุนเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ จัดสรรทรัพยากรและความมั่งคั่งของสังคม ที่เกิดจากการผลิตเป็นเบื้องต้น จึงดำรงอยู่และเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เกิดความก้าวหน้าในด้านต่างๆ

กระนั้น กระบวนการพัฒนาของสังคมทุน ก็ยังจะต้องดำเนินไปในกรอบของความชอบธรรมนี้อย่างเคร่งครัด ด้านหนึ่ง กลุ่มทุนจะต้องใช้ทุนให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมเป็นหลัก เกิดการผลิตและการไหลเวียนของสินค้าและโภคทรัพย์ สนองตอบต่อความต้องการของตลาด สร้างความพอใจให้แก่ผู้บริโภค อีกด้านหนึ่ง สังคมก็ประกันสิทธิประโยชน์พื้นฐานให้แก่กลุ่มทุน เช่น กำไรที่ควรได้ ประโยชน์ที่ควรมี ให้หลักประกันไม่ยึดเอาทุนหรือทรัพย์สินของกลุ่มทุนมาเป็นของรัฐ สนับสนุน ส่งเสริมให้กลุ่มทุนขยายกิจการ พัฒนาเติบใหญ่ สามารถแข่งขันในตลาดได้ดี

ในตัวเอง ทุนจึงมีสถานภาพที่กลางๆ จะดีจะเลว จะสร้างสรรค์หรือทำลาย ก็ขึ้นกับผู้ใช้ทุน หรือเจ้าของทุน ถ้าผู้ใช้ทุนเข้าถึงธรรมชาติของทุน มีปัญญา ก็จะใช้ทุนไปในทางที่ดีได้ ทำให้ทุนกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งของการพัฒนาสังคมไปสู่อนาคต เฉพาะหน้าก็คือ ทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างรอบด้านได้

ด้วยผู้ใช้ทุนที่มีปัญญา

พรรคไทยรักไทยต้อง "กลับใจ"

ความจริง สังคมไทยกำลังต้องการพรรคการเมืองที่สามารถคุมทุน กำกับกลุ่มทุนให้สามารถทำประโยชน์ได้มากที่สุด หรือที่เรียกว่า "พรรคเหนือทุน"

กระนั้น ในช่วงที่ยังไม่เกิดพรรคเช่นนี้ สังคมไทยจำเป็นต้องจัดการไปตามเนื้อผ้า โดยเริ่มจากความเป็นจริง ก็คือ เมื่อปมของปัญหาอยู่ที่พรรคไทยรักไทยผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ตัวแทนกลุ่มทุนใหม่ ที่กำลังใช้ทุนไปในทางที่ผิด สนองกิเลสส่วนตน การคลี่คลายปัญหาจึงต้องเริ่มที่พรรคไทยรักไทย ให้สามารถใช้ทุนเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว เสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาเติบใหญ่ของทุนไทยอย่างทั่วด้าน เพื่อความแข็งแกร่งของพลังเศรษฐกิจของสังคมไทย

หลายประเทศที่ทำได้ดี เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ หรือจีน (รวมฮ่องกง ไต้หวัน) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ ก็เพราะเข้าใจธรรมชาติของทุน และใช้ทุนเป็นเครื่องมือได้อย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการการพัฒนาที่ดีกว่าเสมอ

สังคมไทยจะต้องไม่ปฏิเสธกลุ่มทุนใหม่ไทยรักไทย แต่กลุ่มทุนใหม่ไทยรักไทยก็ต้องเร่งพัฒนาความรับรู้ ด้วยกุศลเจตนา เกิดสัมมาทิฐิ มีปัญญาชี้นำ มุ่งปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ให้สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการการพัฒนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของสังคมไทยอย่างแท้จริง

ทำอย่างไร?

วิธีที่ดีที่สุด และมีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ กลุ่มทุนไทยรักไทยหันกลับมาสำรวจตนเองอย่างจริงจังว่ากำลังทำอะไรอยู่ และกำลังจะมุ่งไปทางไหน เพื่อใคร? พร้อมกับวิเคราะห์ลักษณะสังคมโลกและสภาวะสังคมไทย ให้เห็นกระบวนการที่กำลังดำเนินไปของสังคมโลก หรือกฎเกณฑ์ที่กำกับทิศทางการพัฒนาดังกล่าว เกิดตาสว่าง เกิดสัมมาทิฐิ

เมื่อมองเห็นความเป็นธรรมชาติของทุน และบทบาทที่ควรจะเป็นของตนในฐานะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ และมีทุนเป็นเครื่องมือ ก็เป็นไปได้ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางความคิดจิตใจ เกิดกุศลธรรมฉันทะแรงกล้าพอที่จะ "ตัดใจ" ละเลิกการยึดติดในอัตตาหรือตัวกูของกู ไม่ถือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่มองเห็นตัวเองเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของกระบวนการของเหตุปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และพร้อมแสดงบทบาทในฐานะ "เหตุปัจจัย" ที่สร้างสรรค์ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยไปสู่อนาคตที่ดีกว่า

กล่าวสั้นๆ ว่า หากกลุ่มทุนไทยรักไทย "กลับใจ" และ "กลับลำ" ได้ทัน ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี โดยพลัน!

เสียงสาธุก็จะดังกระหึ่มไปทั้งแผ่นดิน!

หมายเหตุ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเจตนารมณ์ของผู้เขียนในการนำเสนอบทความนี้ชัดเจนขึ้น โปรดอ่านบทความเรื่อง "สำนึกสร้างชาติ ต้องนำหน้าสำนึกสร้างพรรค" ในคอลัมน์เดียวกันฉบับวันที่ 28 ก.ค. 48 หรือ 27 ก.ค. 48 ในเว็บไซต์ผู้จัดการ
กำลังโหลดความคิดเห็น