xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของแหม่ม-คัทลียา

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงบทความนี้

แม้ว่าสังคมส่วนใหญ่จะอยากรู้อยากเห็นกรณีข่าวการตั้งครรภ์ของ "แหม่ม"คัทลียา แมคอินทอช แต่กลับมีอาจารย์นิเทศศาสตร์ และพวกสิทธิสตรีออกมาท้วงติงสื่อมวลชนว่า เป็นการแทรกแซงเรื่องส่วนตัว และนำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมานำเสนอ

พวกสิทธิสตรีก็ช่างเธอเถอะครับ แต่มุมมองของอาจารย์นิเทศนี่ผมว่าไม่ใช่

ผมคิดว่า สื่อมวลชนโดยรวมคงจะตระหนักต่อ "สิทธิส่วนบุคคล" แม้ว่าบุคคลๆนั้นจะเป็นบุคคลสาธารณะ แต่บุคคลผู้นั้นก็มีสิทธิในการอยู่ตามลำพัง โดยไม่ถูกแทรกแซงคุกคามในความเป็นอยู่ส่วนตัว นั่นก็คือ การตระหนักถึงขอบเขตที่แยกแยะว่าอันไหนเป็นเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมของบุคคลสาธารณะที่สาธารณชนควรจะรับรู้

และยอมรับว่า หลายครั้งสื่อมวลชนเองก็ได้ก้าวล้ำในเรื่องส่วนตัว หรือรุกล้ำเข้าไปในสิทธิส่วนบุคคลของดาราที่เป็นบุคคลสาธารณะจนเกินความพอดี ผมไม่เห็นด้วยที่สื่อเที่ยวไปตามดาราคนนั้นคนนี้ไปทุกที่เพื่อแอบถ่ายภาพกิจวัตรส่วนตัวของดาราคนนั้น และผมก็เห็นว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเช่นเดียวกัน

แต่ในเรื่องของ "แหม่ม"คัทลียา ไม่ใช่แน่ ไม่ใช่แน่นอนครับ

นอกเหนือจากที่แหม่มเป็นคนออกมาแถลงข่าวเรื่องนี้ต่อสื่อมวลชนเอง

วิลาสินี พิพิธกุล อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าการนำเสนอข่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่าสื่อมวลชนของไทยยังชอบแทรกแซงเรื่องส่วนตัวของบุคคลผู้มีชื่อเสียง เพราะเห็นว่าเรื่องเหล่านี้ เช่น เรื่องความรัก ความสัมพันธ์ส่วนตัว เป็นข่าวขายได้ จึงอยากให้ระมัดระวัง เรื่องแบบนี้ไม่ควรนำเสนอมากเพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

ที่สำคัญดารานักแสดงผู้นี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้น การดำเนินความสัมพันธ์ในชีวิตส่วนตัวจึงมีสิทธิ์ที่จะเปิดเผยหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น สื่อควรหยุดนำเสนอข่าวนี้ได้แล้ว อย่านำเสนอในลักษณะตัดสินว่าดาราสาวแกล้งไม่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ หากยิ่งนำเสนอนอกจากจะกระทบต่อจิตใจของดาราคนนี้ยังอาจเป็นดาบ 2 คม ให้เด็กและเยาวชนเลียนแบบได้

อาจารย์วิลาสินี กล่าวด้วยว่า กรณีข่าวดาราสาวตั้งครรภ์ยังสะท้อนว่าสื่อกลุ่มนี้มีมุมมองที่หยาบเกินไป ไม่เข้าใจประเด็นเงื่อนไขของความเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ เพราะแม้จะเป็นผู้หญิงไม่มีชื่อเสียง หากประสบปัญหาเช่นนี้ คงไม่มีผู้หญิงคนใดออกมาประกาศให้สังคมรับรู้หรือให้สังคมทราบ

"อย่าทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี เพราะไม่ได้ทำให้สังคมดีขึ้น ไม่เช่นนั้นอาจเป็นต้นแบบที่เยาวชนเดินตาม การที่ดาราสาวบอกว่าไม่รู้ว่าท้อง สื่อไม่มีสิทธิ์คิดหรือย้ำว่าเธอแกล้งไม่รู้ สื่อพยายามชี้นำและทำตัวแบบวีรบุรุษที่จะปราบคนไม่มีจริยธรรม โดยมองว่าการโกหกกรณีนี้เป็นความไม่มีจริยธรรมที่ต้องนำเสนอ เป็นการรุกรานเรื่องส่วนตัวเพราะเห็นว่าขายได้ โดยไม่สนใจว่าละเมิดสิทธิของใคร ขอเรียกร้องสมาคมที่ดูแลจริยธรรมสื่อมวลชนออกมาทบทวน"

พูดอย่างตรงไปตรงมา ก็คือ อาจารย์ท่านนี้ระบุว่า สื่อมวลชนกำลังก้าวละเมิดในเรื่อง "สิทธิส่วนบุคคล"ของ "แหม่ม"คัทลียา นั่นเอง กลายเป็นว่า การนำเสนอของสื่อนั้นจะเป็นต้นเหตุให้เด็กและเยาวชนเลียนแบบได้

อาจารย์อาจพูดไปตามตำราที่อาจารย์ร่ำเรียนมา แต่ไม่ถูกกาลเทศะ

ในฐานะคนทำงานด้านสื่อ และสนใจติดตามข่าวคราวของ "แหม่ม"คัทลียา เช่นเดียวกัน ผมกลับคิดว่า เป็นเรื่องแปลกหากสื่อมวลชนไม่นำเสนอข่าวการตั้งครรภ์ของ แหม่ม-คัทลียา ที่เป็นที่ใคร่รู้สนใจจากประชาชนเกือบทั้งประเทศ

แหม่มเองย่อมต้องตระหนักว่า ตัวเองเป็นดาราที่มีชื่อเสียง มีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชนที่พยายามลอกเลียนและเอาเป็นแบบอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งกาย ภาษา ท่าทางและการใช้ชีวิต วิถีชีวิตของแหม่มมีสายตาสังคมจับจ้องอยู่

แน่นอนว่า แหม่มมีสิทธิในการดำเนินชีวิตโดยอิสระ มีสิทธิในการเลือกคู่ มีสิทธิในการประกอบกิจกรรมอันเป็นปกติสามัญระหว่างเพศชายกับเพศหญิง มีสิทธิในการท้องก่อนแต่ง และดาราหลายคนก็เป็นเช่นนั้น ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย

แต่กรณีของแหม่มคือ การไม่พูดความจริงกับสังคม แหม่มไม่จำเป็นต้องบอกหรอกว่าไปทำอะไรกับใครที่ไหนเมื่อไหร่ และสื่อก็ไม่ควรไปแส่รู้ในเรื่องนี้ หากว่าการกระทำของดารานั้นไม่ได้ประพฤติผิดกฎหมายและศีลธรรม

สังคมและสื่อตั้งคำถามก่อนหน้านี้ว่า แหม่มตั้งท้อง แต่ได้รับการปฏิเสธจากนางเอกสาว เจ้าหญิงแห่งวงการว่า เธออ้วนขึ้นเพราะกินยาบำรุงโลหิต และเมื่อออกมาแถลงข่าว ยอมรับต่อสื่อมวลชนว่า เธอตั้งท้องได้ 4-5 เดือนแล้ว เธอก็ยังบอกสื่อมวลชนว่า เธอเพิ่งจะรู้จากหมอก่อนวันที่จะออกมาแถลงข่าว

ดังนั้นสื่อและสังคมก็มีสิทธิ์ที่จะรู้และตั้งคำถามต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ว่าจะเป็นไปได้แค่ไหนที่คนที่ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย จะไม่รู้เลยหรือว่า เมื่อไม่มีประจำเดือนนานขนาดนี้แล้ว จะไม่สงสัยเลยหรือว่า ตัวเองอาจจะตั้งท้อง และผมก็เห็นสื่อนำคำถามนี้ไปถามต่อแพทย์ผู้รู้ และแพทย์ก็บอกว่าทั้งเป็นไปได้และไม่ได้ สังคมจึงมีสิทธิที่จะเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่เขาเคยคาดหวังต่อภาพลักษณ์ที่ดีงามจนสื่อตั้งฉายาให้ว่าเจ้าหญิงแห่งวงการ

ที่สำคัญ แหม่มไม่ได้เพียงแต่เป็นบุคคลสาธารณะในฐานะดารานักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่แหม่มยังทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในฐานะพิธีกรโทรทัศน์ด้วย เธอเองก็มีบทบาทไม่แตกต่างกับสื่อที่ทำหน้าที่เป็นหูตาของสังคม ดังนั้นไม่ว่าสื่อจะนำเสนอหรือไม่ เรื่องราวของแหม่มก็ถูกถ่ายทอดต่อสาธารณะด้วยตัวของเธอเองอยู่แล้ว

แน่นอนว่าชีวิตช่วงนี้ของแหม่มเป็นช่วงที่ต้องการความเข้าอกเข้าใจอยู่มาก แต่การเสนอข่าวของสื่อก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ขณะเดียวกัน ผมคิดว่า การเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง กับบุคคลสาธารณะนั้นแตกต่างกัน

ตัวอาจารย์วิลาสินีเอง ก็เรียกได้ว่า เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่คนในสังคมคงไม่ไปใส่ใจหรอกครับว่า อาจารย์วิลาสินีจะไปทำอะไรกับใครที่ไหน ซึ่งแม้สื่อจะรู้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะนำมาพูด มาเสนอต่อสาธารณะ เพราะสื่อก็ต้องยึดตามตำราที่อาจารย์กล่าวไว้นั่นแหละครับ

แต่แหม่มไม่ใช่ แหม่มเป็นดาราที่มีชื่อเสียง มีผลประโยชน์เงินทองจากการโอบอุ้มของคนในสังคม แหม่มทำให้สังคมคาดหวังจากภาพลักษณ์ที่ดีงาม และนำภาพลักษณ์นั้นมาแสวงหารายได้ พูดง่ายๆคือ แหม่มได้กำไรจากสังคม เป็น "บุคคลสาธารณะ"ดังนั้นต้นทุนที่บุคคลสาธารณะต้องแบกรับ คือ การทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม

ยิ่งเป็นห่วงว่าเด็กและเยาวชนจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างด้วยแล้ว อาจารย์วิลาสินีก็น่าจะเข้าใจในเรื่องนี้

อาจารย์วิลาสินี บอกว่า สื่อไม่ควรนำเสนอเรื่องนี้ แต่สื่อทุกแขนงพากันเสนอเรื่องนี้อย่าถ้วนหน้า เพราะเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากคนในสังคม บางทีทฤษฎีกับการปฏิบัติอาจมีอะไรที่ทำให้อาจารย์ต้องค้นหาอีกเยอะ
กำลังโหลดความคิดเห็น