xs
xsm
sm
md
lg

ปรากฏการณ์คัทลียา แมคอินทอช ความวิปริตของวัฒนธรรมคนดี-คนดัง

เผยแพร่:   โดย: บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา

ป่านฉะนี้ ใครๆ ก็คงจะได้ร่วมวงสนทนาบางชนิด ส่วนมากเพื่อที่จะพูดถึง "คำโกหก" เกี่ยวกับ "การท้องก่อนแต่ง" บนจอโทรทัศน์ของคุณคัทลียา แมคอินทอช หรือที่รู้จักกันในนามของ "คุณแหม่ม" ผู้มีฉายาว่าเป็น "เจ้าหญิง" แห่งวงการบันเทิงเมืองไทย ซึ่งกลายเป็น Talk of the Town ที่ทำให้กิตติศัพท์ของยาสตรีเบนโลดังเป็นพลุทั้งบนจอโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ และสื่ออื่นๆ รวมทั้งชุมชนซุบซิบขนาดต่างๆ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศแล้ว

นับถึงวันนี้ ประเด็นแห่งการซุบซิบเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ก็คือคุณแหม่มท้องแล้วกี่เดือนกันแน่ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มันเป็นการท้องที่เธอมีส่วนสมรู้ร่วมคิดด้วยจริงๆ หรือไม่เพียงใด!

และที่น่างุนงงไม่ใช่น้อยๆ ก็คือ แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานใกล้ชิดผู้ที่เคยได้รับประโยชน์จากชื่อเสียงของเธอก็ออกมาร่วมลงขันในรายการด่าทอเธอว่าเป็นคนโกหกด้วยอีกคนหนึ่งแล้ว สงสัยว่าการตีจาก "ผู้พ่ายแพ้" คงจะเป็นแก่นของวัฒนธรรมไทยจริงๆ หากเป็นเช่นนั้น ก็คงจะหมายความว่าเมืองไทยมีคนป่วยทางจิตใจกันมากจริงๆ เพราะนั่นหมายความว่าไม่มีอะไรมีคุณค่าจริงๆ เลยแม้กระทั่งมิตรภาพอันยาวนาน นอกจากการเป็นผู้ชนะ หรือการยืนอยู่ข้างผู้ชนะ

ในขณะที่ "คำพิพากษา" ว่าด้วยความผิดของคุณแหม่มนั้นสามารถทำกันได้ง่ายๆ ทว่าในการวิเคราะห์อีกระดับหนึ่ง คำพิพากษาด้วยสามัญสำนึกอย่างนี้อาจจะเป็นความผิดพลาดอย่างรุนแรงจนเข้าข่ายเป็น "อาชญากรรมทางจิตเวช" ที่สามารถสร้างความทุกข์ระทมอย่างไม่สิ้นสุดให้แก่คุณแหม่ม และในขณะเดียวกันเป็นการลดมาตรฐานทางวัฒนธรรมของเราเองได้

ไม่ว่าคุณแหม่มจะตั้งใจโกหกหรือไม่ก็ตาม เธอเป็นคนที่ต้องการ "ความช่วยเหลือ" มากกว่าคำด่าทออย่างไม่ต้องสงสัย ภาพที่ "ไทยรัฐ" ตีพิมพ์เมื่อเธอเดินทางไปถึงลอสแองเจลิส ก่อนจะต่อไปยังดีทอยท์ เพื่อการพักกายและใจหลังจาการแถลงข่าวอันประหลาดนั้น เป็นภาพของคนโดดเดี่ยวและอิดโรย ผู้คู่ควรกับความเมตตาอย่างแท้จริง

แน่นอน การแถลงข่าวที่เกิดขึ้นอย่างฉุกระหุกมีความเหลือเชื่อเข้าขั้นผิดปกติทีเดียว ถ้าคุณแหม่มพูด "ความจริง" อย่างที่เธอบอกเล่าให้เราฟังอย่างซื่อๆ ใสๆ ใครๆ ที่มีจิตใจเป็นธรรมก็ต้องสรุปว่าเธอเป็นบุคคลที่เราต้องให้ความสงสารในความไร้เดียงสาอย่างยิ่งเกี่ยวกับ "สุขภาพของสตรี" ของเธอ

หรือหากว่าเธอหวังพึ่งยาสตรีเบนโลเพื่อวัตถุประสงค์ในการ "ขับเลือด" เธอก็ยิ่งไร้เดียงสาไปใหญ่

หรือแม้นว่าเธอตั้งใจโกหก เธอก็อาจจะมี "เหตุผล" อันลึกล้ำที่เราท่านกำลังมองข้ามกันไปว่าคืออะไรกันแน่ บางทีการเข้าใจถึง "เหตุผล" ของเธออาจจะทำให้เราบังเกิดความเห็นใจเธอมากยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้

ถึงคุณแหม่มจะไม่ยอมพูดความจริงทั้งหมดในวันนี้ ในที่สุดแล้ว คำตอบที่ถูกต้องย่อมมีพื้นฐานอยู่ที่พัฒนาการด้านบุคลิกภาพส่วนตัวของเธอเอง ผสมผสานกับสิ่งที่อาจจะเรียกว่า "วัฒนธรรมคนดี" และ "วัฒนธรรนคนดัง" ของเมืองไทย ซึ่งล้วนแล้วแต่มิติของความโหดร้ายซ่อนเร้นอยู่ทั้งสิ้น

แม้นจะไม่ค่อยดูโทรทัศน์ ผมก็พอจะรู้ว่าคุณคัทลียา แมคอินทอช "แหม่ม" เป็นใคร นานๆ ทีที่เปิดโทรทัศน์ และได้เห็นเธอเป็นพิธีกรโดยบังเอิญ ผมมักจะดูเพียงผ่านๆ เพราะไม่เคยพบว่ามีเนื้อหาอะไรที่ตนเองสนใจเพียงสักครั้งเดียว แต่สิ่งที่ประทับอยู่ในใจก็คือ เธอดูเหมือนว่าจะเป็นคนเรียบๆ ที่เต็มไปด้วยความสุภาพเรียบร้อยอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

ทั้งๆ ที่เป็นผู้จัดรายการที่เด่นที่สุดคนหนึ่งที่เมืองไทยมีอยู่ เธอก็ไม่เคยเลยที่จะออกท่าแก่งแย่งใครพูดแบบที่เรามักจะเห็นกันอยู่บ่อยๆ ในจอโทรทัศน์ที่การดัดจริตถูก "แปรสภาพ" ให้กลายเป็นพฤติกรรมของ "คนน่ารัก" ที่เฉลียวฉลาดเสียแล้ว

พูดง่ายๆ ผมจำได้เลาๆ เพียงแต่ว่าเธอคงจะเป็น "เด็กดี" ในความหมายง่ายๆ ว่าเธอดูเหมือนว่าจะไม่มีความก้าวร้าวในตนเองแม้แต่น้อย นั่นก็คือ ไม่ใส่ใจในการแข่งขันใดๆ จนถึงขนาดที่ยินดีที่ให้ผู้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรร่วม หรือผู้ร่วมรายการอื่นๆ สามารถฉกโฉยโอกาสทำอะไรๆ ล้ำหน้าตนเองไปได้โดยไม่ถือสา

ทั้งนี้ ความลงตัวดังกล่าวนี้อาจจะเกิดขึ้นจากการที่เธอประสบความสำเร็จทางอาชีพมานานตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ก็ได้ นั่นคือ การเริ่มต้นในอาชีพนางแบบแฟชั่นเมื่ออายุยังไม่ครบ 20 ปี แล้วก็กลายเป็นนางแบบของงานโฆษณา นักแสดงชั้นนำคนหนึ่งทั้งทางภาพยนตร์และโทรทัศน์ รวมทั้งเป็นพิธีกรทางโทรทัศน์ในระยะหลังๆ

ด้านลบอย่างหนึ่งของความสำเร็จทางอาชีพที่เกิดขึ้นมากและเร็วเกินไปนี้ก็คือ คุณแหม่มกลับกลายเป็นคนที่โชคร้ายในอีกด้านหนึ่ง นั่นก็คือ เธอไม่มีโอกาสได้ผ่านโลกของการเรียนหนังสือในระดับสูง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบุคคลในสถานภาพเช่นเธอดำรงอยู่เลย โปรดอย่าลืมว่าเธอมีคุณพ่อเป็นนักบินและคุณแม่ของเธอก็คือพนักงานของสายการบินพาณิชย์ ในยุคที่ถือว่าเป็นอาชีพที่ดีมากของสมาชิกของชนชั้นกลางที่ประสบความสำเร็จในการไต่เต้าทางสังคม

หากความผิดพลาดชนิดนี้ไม่เกิดขึ้น นั่นก็คือ การก้าวสู่การทำงานโดยไม่เรียนหนังสือให้เพียงพอเสียก่อน คุณแหม่มก็คงจะมี "ภูมิคุ้มกัน" ตนเองขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง อันอาจจะช่วยให้เธอรอดพ้นจากอันตรายทั้งที่เป็นตัวบุคคลและความคิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ความคิด" นั้นเป็น "ผู้ร้าย" ที่น่ากลัวไม่น้อยไปกว่า "บุคคล" เลยทีเดียว

ทว่าในบางครั้ง เมื่อได้อ่านประวัติชีวิตเกี่ยวกับความผิดหวังในครวามรักของเธอแบบผิดๆ ถูกๆ ที่มีตีพิมพ์เผยแพร่กันในนิตยสารประเภทซุบๆ ซิบๆ อย่างกว้างขวางราวกับว่าชีวิตของเธอเป็น "ของเล่น" ในนามของ "เสรีภาพ" โดยอ้างว่าเธอเป็น "บุคคลสาธารณะ" ใครๆ ก็คงรู้สึกสงสารเธอเล็กๆ ขึ้นมาเหมือนกัน คนอะไรกันแค่ผิดหวังในเรื่องความรักโง่ๆ ตอนที่ตนยังอยู่ในช่วงที่ถือได้ว่าไร้เดียงสา กลับมีความรู้สึกขมขื่นกับผู้ชายที่สุดแสนจะธรรมดาคนหนึ่ง จนกระทั่งมีข่าวว่าเธอแทบไม่เคยแวบมองใครเลยได้นานถึง 7 ปี

จากมุมมองของคนสมัยใหม่ อะไรอย่างนี้ถือเป็นความโง่เขลาสิ้นดี ทุกวันนี้ ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่จัดรายการโทรทัศน์เป็นกลุ่มๆ ประเภทแบ่งกันพูดนิดพูดหน่อยพูดโน่นพูดนี่ไปเรื่อยๆ จะแสดงความภาคภูมิใจว่าตนเองสนใจผู้ชายคนไหนบ้างด้วยอารมณ์สุนทรีในทำนองว่าตนเองอยากจะเป็น "กี๊ก" ด้วย มิหนำซ้ำ บ่อยๆ พวกเธอยังแย่งกันป่าวประกาศว่าใครหล่อตรงไหนรวยขนาดไหนด้วยความสนุกสนานราวกับเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ นี่คงจะเป็นอาการที่บอกว่าอุดมคติว่าด้วยผู้หญิงที่ดีกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านขนานใหญ่

พิจารณาจากมาตรฐานใหม่ชนิดนี้ คุณแหม่มกลายเป็น "คนตกรุ่น" ไปโดยปริยาย

ฉะนั้น ในขณะที่สังคมไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงนี้ ดูเหมือนว่าชีวิตของคุณแหม่มกลับยังคงตกอยู่ใต้อำนาจของอุดมการณ์ว่าด้วย "เด็กสาวผู้แสนดี" (ideology of good girl) แบบเก่าๆ ที่ถูกออกแบบและเผยแพร่ผ่านกลไกต่างๆ เพื่อกดดันให้บรรดาผู้หญิงในสังคมนั้นๆ มีความรู้สึกว่าเธอควรจะต้องอยู่ในร่องในรอยของ "วัฒนธรรมคนดี" ซึ่งผู้หญิงมีหน้าที่อันยากเย็นมากมาย

นั่นก็คือ ผู้หญิงจะต้อง (1) คอยรับใช้ผู้ใหญ่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชาย) (2) ไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศใดๆ ก่อนการสมรส เพราะต้องรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ให้ "สามี" ได้ชื่นชมเพียงคนเดียว (3) คอยเอาอกเอาใจและซื่อสัตย์กับสามีทั้งทางกายและวาจา ทั้งๆ ที่เขาอาจจะเป็นคนไม่เอาไหน รวมทั้งการสร้างปัญหาสารพัดที่ไม่สมกับความเป็นสุภาพบุรุษ จนกระทั่งผู้หญิงเต็มไปด้วยความระทมทุกข์ (4) เลี้ยงดูลูกเต้าให้เติบใหญ่เป็นคนดีโดยไม่ปริปากบ่น และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะหน้าที่ของ "เด็กสาวผู้แสนดี" นั้นหมุนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่รู้ว่าเริ่มตนที่ไหนและจะสิ้นสุดเมื่อใด

ครั้นเมื่อคุณแหม่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้น นอกจะดี สวย โสด และมีชื่อเสียงแล้ว เธอยังกลายเป็นคนที่มั่งคั่งในทรัพย์สินอีกด้วย ด้วยประการฉะนี้ ชีวิตของเธอจึงตกเป็นเป้าหมายการครอบครองของผู้ชายสารพัดประเภทที่คงจะคิดค้นวิธีการสารพัดที่จะไปวนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของเธอ ในแง่หนึ่ง นี่คงหมายความว่าคุณแหม่มมีโอกาสจะตกเป็นเหยื่อได้ง่ายกว่าผู้หญิงอื่นๆ มาก

สำหรับผู้ชายที่เป็นนักไต่เต้าทางสังคม การได้ใกล้ชิดกับดาราผู้หญิงดังๆ นั้นได้กลายเป็นเส้นทางอาชีพใหม่ไปแล้ว ผู้ชายบางคนก็กลายเป็นคนดังขึ้นมาความสัมพันธ์ส่วนตัวชนิดนี้ล้วนๆ บ้างก็กับไร้ยางอายถึงขนาดที่หากินกับการเขียนหนังสือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวของตนกับผู้หญิงประเภทนี้มาขาย เพื่อประกาศกิตติคุณและค่าต้นฉบับเงินเล็กๆ น้อยๆ ในกรณีของคุณแหม่มเอง หนังสือพิมพ์บางฉบับก็ได้ค้นพบว่าเธอกลายเป็น "ผู้ลงทุน" จำนวนเกือบยี่สิบล้านบาทในธุรกิจอพาร์ตเมนต์ที่ล้มเหลวของฝ่ายชาย

เรื่องราวประเภทนี้ทำให้คนดังที่เป็นผู้หญิงตกที่นั่งลำบาก เพราะบางทีการที่จะมาตั้งท่าแยกแยะว่าใครดีหรือไม่ดีนั้นคงทำได้ยากมากในความสัมพันธ์ชนิดนี้ ดังนั้น ผู้หญิงที่ค่อนข้างดัง สาว สวย และรวยพวกนี้ จึงถือได้ว่าตกอยู่ในแดนอันตรายตลอดเวลา การตัดสินใจผิดพลาดเกิดขึ้นได้ง่ายกว่ากรณีผู้หญิงกลุ่มอื่นๆ

ความที่คงจะหลงเชื่อในอุดมการณ์ "เด็กสาวผู้แสนดี" คุณแหม่มจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตส่วนตัวแบบลับๆ เพราะการเป็นคนดังในเมืองไทยนั้นในแง่หนึ่งไม่ใช่ของสนุกอะไรเลย มีสื่อหลายต่อหลายชนิดคอยทำมาหากินกับการถ่ายภาพส่วนตัวๆ ของคนดังในวงการบันเทิงมาเผยแพร่ โดยมีเรื่องซุบซิบๆ จริงบ้างเท็จบ้างมาประกอบชนิดที่อัปเดตกันได้วันต่อวันทีเดียว

ความที่การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างดารากับ "นักข่าว" ประเภทนี้มีให้เห็นเป็นรายวัน การสู้รบตบมือที่ไปถึงศาลนั้นดูจะมีน้อยมาก ดูเหมือนว่าคนดังกลุ่มหนึ่งจึงเรียนรู้ที่จะไม่ให้ความสนใจอะไรมากเกินไป โดยยึดปรัชญาว่าหากทำเฉยๆ เสีย เดี๋ยวก็เงียบไปเอง

ความที่คงจะถูกครอบงำโดยอุดมการณ์เก่าว่าด้วย "เด็กสาวผู้แสนดี" คุณแหม่มจึงไม่ได้เลือกวิธีการจัดการกับความสอดรู้สอดเห็นของสื่อประเภทนั้นด้วยวิธีการที่เด็ดเดี่ยวอย่างนั้น ทว่ากลับพยายามที่จะอยู่กับ "วัฒนธรรมคนดัง" ในแบบฉบับที่สอดคล้องกับอุดมการณ์เดียวกันนั้นด้วย ผลลัพธ์ก็คือ การคอยหลบๆ หลีกๆ เลี่ยงๆ สายตาของสื่อแบบนั้นอย่างถึงที่สุดจนกระทั่งเกิด "ความชำนาญ" ในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา จึงแทบจะไม่เคยมีใครได้อ่านข่าวฉาวต่างๆ เกี่ยวกับคุณแหม่มเลย ด้วยประการฉะนี้ เธอจึงได้รับฉายาว่าเป็น "เจ้าหญิง" แห่งวงการบันเทิง

ทว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองเล็ก สื่อสารพัดประเภทก็มีเกลื่อนตลาด อีกทั้งความจริงบางชนิดมันปกปิดยาก ในที่สุด เรื่องราวจึงต้องลงเอยแบบนั้น

ความไม่ราบรื่นใดๆ ที่เกิดขึ้นในวันแถลงข่าวนั้นเป็นภาพสะท้อนของความไร้เดียงสาของคุณแหม่มและผู้ใกล้ชิดอื่นๆ แท้ๆ ในความเป็นจริง ไม่ว่าเรื่องราวจะเหมือนว่าเลวร้ายเพียงใด การจัดการที่ดีสามารถลดความเสียหายลงได้ หรือแม้กระทั่งแปลงความเสียหายให้กลายเป็นเรื่องดีก็ได้เหมือนกัน

หลายปีก่อน ผมได้ดูภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งชื่อ "ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท" ซึ่งมีเรื่องย่อสั้นๆ ว่านางเอกต้องจำใจแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งเพื่อเป็นการไถ่ทรัพย์สินที่คุณพ่อของเธอเสียการพนันให้แก่ผู้ชายคนนั้นไป ความที่ไม่ได้รักผู้ชายคนนั้นเลยลงท้าย นางเอกจึงต้องเสียตัวด้วยการโดนข่มขืน โชคไม่ดี การข่มขืนคราวนั้นทำให้นางเอกท้อง เมื่อเธอทราบก็หาวิธีการทำแท้งแบบโง่ๆ เมื่อการทำแท้งล้มเหลว นางเอกก็ต้องให้กำเนิดแก่บุตรที่ไม่ได้เกิดจากความรัก ในฉากสุดท้าย ฝ่ายชายก็มาพูดง่ายๆ เพียงว่าขอโทษ และขอร้องให้เธอเป็นภรรยาเขาเสียดีๆ เพราะตอนนี้มีลูกด้วยกันแล้ว

เชื่อหรือไม่ว่า ภาพยนตร์ที่มีตรรกะที่ออกจะพิลึกกึกกือเรื่องนี้จบลงอย่างสุขสม ทั้งนี้ โดยไม่มีกลุ่มสิทธิสตรีที่ไหนของเมืองไทยมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องออกมาประท้วงอะไร ทั้งหมดนี้คือ "ปรากฏการณ์ทางอุดมการณ์" ที่มีคุณค่าควรแก่การศึกษาให้ถ่องแท้ว่า กลไกอะไรที่ทำให้ทุกอย่างกลับหัวเป็นหาง จนกระทั่งเรื่องผิดกลายเป็นเรื่องถูกจนได้

เดิมที ผมคิดว่าวามเข้าใจผิดอย่างยิ่งชนิดนี้จะหายสาปสูญไปจากเมืองไทยแล้ว จนกระทั่งมีข่าวคุณแหม่มขึ้นมา ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่ามีผู้หญิงไทยที่ตกอยู่ในความทุกข์ระทมเพราะ "การเดินหลงทางอุดมการณ์" แบบนี้อีกสักกี่มากน้อย

ไม่ว่าอะไรจะจริงเท็จอย่างไรก็ตาม กรณีของคุณแหม่มคงจะไม่ใช่เรื่องราวง่ายๆ ตื้นๆ เพียงว่าเธอโกหกใครสักเท่าไรนัก และยิ่งเธอโกหกก็ยิ่งต้องให้อภัย อีกทั้งให้ความเข้าใจเธอมากยิ่งขึ้นว่าเธอได้กระทำไปด้วยเหตุอันใดกันแน่

หากสาเหตุคือการพยายามทำตัวเป็น "คนดี" จนนาทีสุดท้ายจนกระทั่งไม่มีทางออกใดๆ แล้วนอกจากการเปิดเผย "ความจริง" (ส่วนหนึ่ง) เธอก็ยิ่งควรที่จะได้รับความเห็นใจมากขึ้นไปอีก เพราะนี่คือการดิ้นรนของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เธอเองก็ไม่เข้าใจดีนัก

สังคมไทยจะมีอนาคตดีขึ้นก็ต่อเมื่อเราไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ตัดสินอะไรง่ายๆ จนเกินไป บ่อยๆ เราต้องให้โอกาสแก่ความสงสัยบ้างว่า เหตุการณ์พิสดารขนาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่ ไม่อย่างนั้น เราอาจจะเผลอทำตัวเป็น "ผู้ร้าย" เสียเองแทนที่จะเป็น "ผู้ปลดปล่อย" ให้เธอหลุดพ้นจากความเชื่อผิดๆ ที่นำความทุกข์มาให้ตัวเธอเอง

ใครจะต่อว่าคุณแหม่มก็คงไม่มีใครห้ามใครได้ แต่หน้าที่สำคัญกว่าของการเป็นมนุษย์ร่วมโลกเดียวกันก็คือการมีความปรารถนาที่จะช่วยเธอ (รวมทั้งคนอื่นๆ) ให้มีความสุขขึ้นอย่างอิสรชน ไม่ตกเป็นเหยื่อของอุดมการณ์อันล้าหลังโดยไม่รู้สึกตัว

เส้นทางที่ถูกต้องคือความเมตตา การให้อภัย และการโอบอุ้มคนที่ตกอยู่ในฐานะอย่างคุณแหม่ม เพราะนี่คือวิธีการแห่งยกระดับวัฒนธรรมของเราเองให้สูงขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น