xs
xsm
sm
md
lg

มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน (64)

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา


ในท่ามกลางกระบวนการเล่นกับนิมิตหรือการทำอุคหนิมิตเป็นปฏิภาคนิมิตนั้นจิตยังต้องเผชิญกับอุปสรรคขวากหนามที่อยู่ลึกชั้นที่สองคืออุปกิเลสหรือนิวรณ์ห้าประการด้วย ซึ่งอาจเปรียบเทียบได้ว่าในแดนแห่งปฏิภาคนิมิตนี้เป็นแดนแห่งการต่อสู้กันระหว่างด้านมืดกับด้านที่สว่างของจิตซึ่งจะเกิดขึ้นในท่ามกลางการฝึกฝนอบรมปฏิบัติ

ด้านที่มืดของจิตก็คืออุปกิเลส ได้แก่ความกำหนัด ความพอใจในกาม ความพยาบาท ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ห่อเหี่ยวและความลังเลสงสัย ที่ส่งผลให้จิตวอกแวกหวั่นไหว เผลอเรอ ไร้กำลัง ไม่ว่าจะรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัวก็ตาม

ด้านที่สว่างของจิตที่จะเกิดขึ้นจากการฝึกฝนปฏิบัติในขั้นปฏิภาคนิมิตก็คือความสงบสงัดไปของความกำหนัดและนิวรณ์ รวมทั้งการก่อตัวขององค์ห้าแห่งปฐมฌาน ได้แก่ วิตก วิจาร ปิติ สุข และเอกัคคตารมณ์

เพราะความสว่างเกิดขึ้น ความมืดจึงค่อย ๆ สิ้นสลายไป ในที่นี้มาทำความรู้จักองค์ห้าแห่งปฐมฌานกันสักครั้งหนึ่ง

วิตกได้แก่ความคิดหรือความเพ่งที่มีลักษณะยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ที่เล่นอยู่กับนิมิตนั้น เทียบได้กับการคิดหรือเพ่งผลส้มทั้งลูก เป็นด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับความหดหู่ห่อเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้ไม่อยากคิด ไม่อยากเพ่ง ไม่อยากทำอะไร อารมณ์ทั้งสองนี้จะต่อสู้กันตลอดระยะเวลาในกระบวนการฝึกฝนปฏิบัติปฏิภาคนิมิต

วิจารได้แก่ความตรวจตราพิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่งของนิมิตนั้นอย่างลึกซึ้งและชัดเจน เทียบได้กับการคิดหรือเพ่งกลีบส้มแต่ละกลีบเป็นกลีบ ๆ ไปจนครบถ้วนทุกกลีบของผลส้มลูกนั้น เป็นด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับความลังเลสงสัย อารมณ์ทั้งสองนี้จะต่อสู้กันตลอดระยะเวลาในกระบวนการฝึกฝนปฏิบัติปฏิภาคนิมิต

ปิติได้แก่อารมณ์ความรู้สึกชุ่มชื่นผ่องใสฉ่ำเย็นในจิต เป็นด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกพยาบาทที่รุ่มร้อนกระวนกระวายและมืดดำ อารมณ์ทั้งสองนี้จะต่อสู้กันตลอดระยะเวลาในกระบวนการฝึกฝนปฏิบัติปฏิภาคนิมิต

สุขได้แก่ความสบาย ความชุ่มฉ่ำเย็น ปลอดโปร่งของจิต เป็นด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับความฟุ้งซ่านที่ทำให้จิตพลุ่งพล่านฟุ้งไปไม่มีความสงบ อารมณ์ทั้งสองนี้จะต่อสู้กันตลอดระยะเวลาในกระบวนการฝึกฝนปฏิบัติปฏิภาคนิมิต

เอกัคคตารมณ์ได้แก่ภาวะที่จิตมีความมั่นคง มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว มีลักษณะตั้งมั่น ไม่วอกแวก ไม่พลุ่งพล่าน หรือเผลอเรอ เป็นด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับความกำหนัดหรือความพอใจในกามที่ทำให้จิตกระสับกระส่ายหรือกระวนกระวายและมีความรุ่มร้อน ไม่มีความสงบ อารมณ์ทั้งสองนี้จะต่อสู้กันตลอดระยะเวลาในกระบวนการฝึกฝนปฏิบัติปฏิภาคนิมิต

ดังนี้ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าด้านมืดห้าประการของจิตที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาจิตไม่ให้ตั้งมั่น ไม่ให้บริสุทธิ์ และไม่ให้มีกำลังที่แกล้วกล้าคือนิวรณ์ห้าประการซึ่งกลุ้มรุมจิตอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นด้านที่อยู่ตรงกันข้ามและเป็นปรปักษ์กับด้านที่สว่างห้าประการ ซึ่งเป็นองค์ห้าแห่งปฐมฌาน คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข และเอกัคคตารมณ์

เพราะเหตุที่ขจัดด้านมืดเสียได้ ด้านสว่างจึงปรากฏชัดขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเมื่อด้านสว่างปรากฏขึ้น ด้านที่มืดจึงถูกขจัดไป การต่อสู้กันของทั้งสองด้านจะดำเนินไปอย่างหนักหน่วงต่อเนื่องตลอดกระบวนการเล่นกับนิมิตหรือกระบวนการพัฒนาของจิตตั้งแต่อุคหนิมิตไปจนถึงขั้นที่สุดของปฏิภาคนิมิต

หากด้านที่สว่างไม่ประสบชัยชนะตราบใด ด้านมืดก็ยังดำรงอยู่ตราบนั้น เมื่อใดที่ด้านสว่างประสบชัยชนะ เมื่อนั้นด้านมืดก็จะสิ้นสลายไป แต่ทว่าลำดับของชัยชนะและการสิ้นสลายนั้นไม่ได้เกิดขึ้นแบบแวบวาบแปลบปลาบหรือแค่พริบตาเดียว แต่มีกระบวนการพัฒนาจากสว่างน้อยแล้วค่อย ๆ สว่างมากขึ้นเป็นลำดับไปจนเจิดจ้า หรืออีกนัยหนึ่งก็คือด้านที่มืดสนิทค่อย ๆ จางคลายเป็นมืดน้อยลง สลัว ราง ๆ และสว่างขึ้นโดยลำดับ

ห้าประการของด้านที่สว่าง กับห้าประการของด้านมืด ซึ่งสัประยุทธ์กันอย่างดุเดือดต่อเนื่องและหนักหน่วงนั้น แต่ละด้านก็ยังมีแม่ทัพหรือตัวหลักในการสัประยุทธ์ชิงชัยกัน

ด้านมืดก็คือกามฉันทะ ซึ่งเป็นตัวหลักที่ทำให้จิตไม่ตั้งมั่น มีความหวั่นไหวร้อนรุ่มวอกแวก ตัวที่รองลงมาคือความฟุ้งซ่าน ไม่อยู่กับที่อยู่กับทาง ร้อนรุ่มวุ่นวายเรื่อยไป ถัดไปก็คือพยาบาทที่ทำให้มีความรุ่มร้อน แห้งแล้งในจิต ถัดไปคือความหดหู่ห่อเหี่ยวที่ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากคิด ไม่อยากเพ่ง ไม่อยากทำอะไร และสุดท้ายก็คือความลังเล สงสัย ที่เงอะงะงมงายไปทางไหนไม่ได้แม้แต่ทางเดียว

ด้านสว่างนั้นแม้จะจัดเอกัคคตารมณ์ไว้ในลำดับสุดท้าย แต่แท้จริงก็คือนายท้ายเรือหรือตัวแม่ทัพของด้านที่สว่าง เพราะหากอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวเกิดขึ้นไม่ได้ตราบใด ตราบนั้นวิตก วิจาร ปิติ และสุขก็ไม่อาจปรากฏหรือเกิดขึ้นได้ โดยนัยยะเช่นนี้เอกัคคตารมณ์หรืออารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวจึงมีบทบาทสำคัญที่สุด

ตั้งแต่อุคคหนิมิตเกิดขึ้น อารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวหรือเอกัคคตารมณ์จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นลำดับ ทำให้จิตมีความตั้งมั่น ทำลายความวอกแวกเผอเรอวุ่นวายที่เป็นด้านมืดไปโดยลำดับ

เพราะจิตมีความตั้งมั่นมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวเช่นนี้ ความคิดที่มีลักษณะยกจิตขึ้นสู่อารมณ์หรือวิตกจึงก่อตัวเกิดขึ้นและพัฒนาไป ความพินิจพิเคราะห์ตรวจตราหรือการตรึกอ่านในอารมณ์หนึ่ง ๆ ส่วนหนึ่ง ๆ ก็จะเกิดขึ้นต่อเนื่องไป เห็นความจริงที่เป็นไปอย่างชัดเจนขึ้นโดยลำดับ ความชุ่มฉ่ำสดชื่นผ่องใสหรือปิติก็จะเกิดขึ้น ความฉ่ำเย็นสบายหรือความสุขก็จะเกิดขึ้น

ด้านสว่างก่อตัวขึ้นเป็นลำดับไป ด้านมืดก็อ่อนกำลังสลายตัวเป็นลำดับไป ในภาวะเช่นนั้นความตั้งมั่นของจิต ความบริสุทธิ์ของจิต และกำลังอำนาจของจิตก็เข้มแข็งแกล้วกล้าขึ้นเป็นลำดับไปด้วย

ในขณะที่ด้านสว่างปรากฏขึ้นกับจิตทั้งห้าประการเป็นลำดับไปนั้นก็คือภาวะที่จิตก้าวเข้าใกล้กับเขตของฌานมากขึ้นทุกที ยิ่งสว่างมากขึ้นเท่าใดความผ่องใสแห่งจิตใจภายในก็เกิดขึ้นตามไปเท่านั้น นั่นคือเมื่อเอกัคคตารมณ์ วิตก วิจาร ปิติ และสุข ก่อตัวแน่นหนากล้าแข็งขึ้นเป็นลำดับไปเพียงใด กามฉันทะ พยาบาท ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ห่อเหี่ยว และความลังเลสงสัยที่เป็นด้านมืดก็จะถูกข่มให้ระงับเป็นลำดับไปเพียงนั้น

ณ ปลายแดนแห่งปฏิภาคนิมิตคือจุดที่ใกล้กับฌานมากที่สุด ฌานที่ว่านี้ก็คือปฐมฌาน ทั้งนี้เนื่องจากองค์ห้าแห่งปฐมฌานได้แก่วิตก วิจาร ปิติ สุข และเอกัคคตารมณ์ได้ก่อตัวแน่นหนามั่นคงขึ้นนั่นเอง

เป้าหมายหลักในการฝึกฝนอบรมในขั้นปฏิภาคนิมิตนี้ก็คือการขจัดด้านมืดคืออุปกิเลสทั้งห้าหรือนิวรณ์ทั้งห้าให้หมดสิ้นไป ทำให้องค์ห้าแห่งปฐมฌานก่อตัวขึ้นถึงขั้นที่จะสมบูรณ์เต็มที่

พระตถาคตเจ้าได้ตรัสถึงภาวะของจิต ณ แดนต่อแดนแห่งปฏิภาคนิมิตกับปฐมฌานว่า “วิวิจเจวะ กาเมหิ วิวิจจะ อกุสเลหิ ธัมเมหิ สะวิตตะกัง สวิจารัง วิเวกชัง ปิติสุขัง ปะฐะมะญานัง อุปสัมปัชชะ วิหะระติ” ซึ่งแปลว่าเมื่อสงัดจากกามและอกุศลธรรมแล้วเข้าสู่ปฐมฌานซึ่งมีวิตก วิจาร ปิติ และสุขเกิดจากวิเวกอยู่

พระตถาคตเจ้าไม่ได้ตรัสถึงเอกัคคตารมณ์หรือความตั้งมั่นของจิต ทั้งนี้เนื่องจากเป็นที่รู้และเป็นที่เข้าใจโดยถ่องแท้แล้วว่า ภาวะของจิตในยามนั้นมีภาวะที่เป็นเอกัคคตารมณ์เกิดขึ้นอยู่แล้ว จึงทรงเน้นเฉพาะวิตก วิจาร ปิติ และสุข แต่จะเข้าถึงจุดนี้ได้จิตย่อมต้องสงัดจากกามและอกุศลธรรมเสียก่อน และเป็นการสงัดจากกามและอกุศลธรรมโดยอาศัยวิเวก

กามและอกุศลธรรมที่ตรัสถึงนี้ก็คืออุปสรรคที่ขัดขวางจิตคือนิวรณ์หรืออุปกิเลสห้าประการนั่นเอง ซึ่งมีความชัดเจนแจ่มแจ้งว่าก่อนจะเข้าสู่ปฐมฌานจิตจะต้องละกามและอกุศลธรรมได้แก่นิวรณ์ทั้งห้าประการนั้นเสียก่อน

ภาวะที่จิตต่อสู้และขจัดกามและอกุศลธรรมนั้นยังไม่จัดว่าเป็นเขตของฌานหรือเป็นฌานแต่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเป็นฌานหรือถึงซึ่งฌาน เหตุนี้ในภาวะนั้นจึงถูกเรียกโดยปริยัติว่าเป็นบุพพโยคฌาน หรือภาวะก่อนที่จะถึงฌานนั่นเอง ในภาวะนี้จิตจะอยู่ในอุปจารสมาธิเต็มที่ ทำให้จิตมีความสงบเฉียดฌาน หรืออยู่ ณ ปลายแดนสุดที่จะเข้าเขตฌาน

ภาวะที่จิตสงัดจากกามและอกุศลธรรมนั้นเกิดขึ้นได้โดยอาศัยวิเวก ได้แก่กายวิเวกคือการตั้งกายหรือการที่ได้อยู่ในที่สงบวิเวกจากการรบกวนทางกายด้วยประการทั้งปวง รวมทั้งจิตวิเวกได้แก่ภาวะที่จิตปลอดจากภาวะถูกรบกวนด้วยเหตุปัจจัยภายนอก หรืออารมณ์ที่รุมเร้าอย่างอื่น

ปิติและสุขซึ่งเป็น 2 ใน 5 องค์แห่งปฐมฌานนั้นเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตได้ในสองสถานะ คือ โดยอาศัยวิเวกอย่างหนึ่ง ดังที่ได้พรรณนามานี้ และเกิดขึ้นโดยอาศัยสมาธิซึ่งมีความประณีตละเอียดลึกซึ้งและระดับขั้นที่สูงกว่าปิติและสุขที่เกิดขึ้นโดยอาศัยวิเวกอีกอย่างหนึ่ง

ปิติและสุขซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับจิตในขั้นตอนปฏิภาคนิมิตนั้นยังคงเป็นปิติและสุขที่เพิ่งเริ่มก่อตัว ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ และก่อตัวเกิดขึ้นในขณะที่กามและอกุศลธรรมสงบรำงับไปโดยอาศัยวิเวก คือกายวิเวกและจิตวิเวกในลักษณะที่พรรณนามานี้

ในขั้นสูงสุดของปฏิภาคนิมิต สมาธิแห่งจิตจะอยู่ในอุปจารสมาธิอย่างเต็มที่ ใกล้เต็มทีกับอัปปนาสมาธิ อุปกิเลสได้แก่นิวรณ์ทั้งห้าได้ถูกข่มกำจัดจนออกฤทธิ์เดชไม่ได้ มีความผ่องใสความสว่างขึ้นในจิตแทนที่ความมืด ในขณะที่ความสว่างแห่งจิตซึ่งได้แก่องค์ห้าแห่งปฐมฌานก็ก่อตัวขึ้นและพัฒนาหนาแน่นขึ้นจนใกล้จะสมบูรณ์

ความมีศรัทธามั่น ความเพียรไม่ย่อหย่อน ความมีสติตั้งมั่น ภาวะที่จิตเป็นสมาธิในระดับเฉียดฌานและความมีปัญญาเห็นความจริงที่เพิ่มพูนขึ้นโดยลำดับ ก็จะพัฒนาเข้มแข็งขึ้น ทำให้นามกายเข้มข้นขึ้น และเข้าไปใกล้เขตฌานมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ในภาวะเช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่าสมาธิแห่งจิตอยู่ในขั้นสูงสุดของอุปจารสมาธิ ใกล้ชิดอย่างยิ่งกับอัปปนาสมาธิแล้ว กามและอกุศลธรรมได้สงัดไปเพราะวิเวกแล้ว องค์ห้าแห่งปฐมฌานได้ก่อตัวขึ้นถึงขีดใกล้สมบูรณ์เต็มที เหมือนกับการย่างเท้าใกล้จะจรดลงในเขตปฐมฌานแล้ว

ในพลันที่ภาวะของจิตพัฒนาก้าวข้ามพ้นจากปฏิภาคนิมิตสู่ปฐมฌาน ระดับของสมาธิก็จะเคลื่อนสูงขึ้นจากอุปจารสมาธิสู่อัปปนาสมาธิ กามและอกุศลธรรมเป็นอันสงัดไป องค์ห้าแห่งปฐมฌานเกิดขึ้นครบถ้วนสมบูรณ์ คือ วิตก วิจาร ปิติ และสุข ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยวิเวก ในขณะที่ภาวะของจิตนั้นมีความตั้งมั่นบนอารมณ์เดียวหรือความเป็นเอกัคคตารมณ์

ในขณะที่จิตเข้าสู่เขตของปฐมฌานนั้นกามและอกุศลธรรมเป็นอันสงัดหรือรำงับไป แต่ยังไม่เป็นอันสิ้นสุดถึงขนาดถอนรากถอนโคน และยังคงมีกิเลสหลักคือโลภะ โทสะ โมหะ ที่อยู่ในชั้นลึกกว่าดำรงอยู่ แต่ก็ได้สงัดลงไป สงบลงไปตามกำลังอำนาจของจิตและกำลังแห่งฌานนั้น

เมื่อถึงตอนนี้ก็อาจเปรียบเทียบภาวะของจิตให้เห็นชัดเจนขึ้นอีกขั้นหนึ่งว่าเปรียบได้กับโอ่งน้ำโอ่งหนึ่งที่ผิวน้ำมีสวะและขยะลอยอยู่ ในน้ำมีฝุ่นตะกอนคละคลุ้งอยู่ ที่ก้นโอ่งยังมีดินโคลนอยู่ เมื่อเข้าสู่ปฐมฌานสวะและขยะถูกขจัดไปแล้ว ฝุ่นตะกอนสงบสงัดตกลงที่ก้นโอ่งทับอยู่บนดินโคลนที่อยู่ก้นโอ่งนั้น น้ำจึงใสมากขึ้น สามารถมองเห็นอะไรในน้ำได้ แต่ก็ยังอยู่ในวิสัยที่ฝุ่นตะกอนจะคละคลุ้งทำให้น้ำขุ่นได้อีก ทั้งฝุ่นตะกอนและโคลนจะหมดสิ้นไปก็ต่อเมื่อจิตมีความหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิงถึงที่สุดแห่งทุกข์ ดังที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสว่าเป็นภาวะที่เหมือนกับตาลยอดด้วนที่จะไม่งอก ไม่กำเริบอีก นับเป็นอันสิ้นสุดภพชาติและถึงที่สุดแห่งทุกข์สิ้นเชิงนั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น