พรีม่าโกลด์ หวั่นตลาดทองรูปพรรณ 99.99% ซบช่วงปลายปี หลังเจอตัวเลขยอดขายบริษัทฯเดือนสิงหาคมเติบโตต่ำเป้า เร่งอัดแคมเปญยักษ์ แจกรถยนต์ครั้งแรกของวงการ ออกคอลเลกชั่นใหม่ 3 ชุด แต่ยังมั่นใจทั้งปีนี้ยอดขายจะโต 20%
นางสาวรุ่งนภา เงางามรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีม่าโกลด์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณบ่งบอกแล้วว่า ตลาดทองคำรูปพรรณ 99.99% เริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นตลอดตั้งแต่ช่วงต้นปี ต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น บริษัทฯได้ทำการปรับราคาไปแล้วเพียงครั้งเดียวเมื่อต้นปีนี้ประมาณ 2% ในมุมของผู้บริโภคเองก็เกิดการชะลอและระมัดระวังในการจับจ่ายมากขึ้น ซึ่งทำให้ยอดขายในเดือนสิงหาคมของบริษัทฯที่ตั้งไว้ว่าจะโต 20-30% แต่มีการเติบโตจริงเพียง 10% เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามคาดว่าตลาดรวมในปีนี้ยังน่าจะมีการเติบโตได้อีก
โดยผลประกอบการของบริษัทฯครึ่งปีแรกปีนี้มียอดขาย 225 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่ทำได้ 195 ล้านบาท หรือเติบโต 15% ขณะที่ช่วง 8 เดือนแรกปีนี้มียอดขาย 360 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่มี 300 ล้านบาท หรือเติบโต 20% สำหรับงวดไตรมาสที่สามปีนี้มียอดขาย 140 ล้านบาท เพิ่มจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วที่ทำได้ 105 ล้านบาท เติบโต 30%
ขณะที่ยอดขายโดยรวมในปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้าไว้ที่ 550 ล้านบาท เพิ่มจากยอดรวมปีที่แล้วที่ทำได้ 450 ล้านบาท เติบโต 20% และพรีม่าโกลด์ยังเป็นผู้นำในตลาดทองคำรูปพรรณ 99.9% ด้วยส่วนแบ่ง 60% ส่วนอันดับรองลงมามีประมาณ 30-40%
อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดรวมของทองคำรูปพรรณ 99.99% ในปีนี้ยังไม่เลวร้ายเท่ากับในช่วงปี 2546 ที่มีโรคซาร์สระบาดหนัก ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยน้อยลงทำให้การซื้อขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวลดน้อยลงไปด้วย โดยในปีนั้นบริษัทฯมีการเติบโตด้านยอดขายเพียง 12% เท่านั้น และสถานการณ์เริ่มดีขึ้นเมื่อปี 2547 ที่มีการเติบโต 18%
ทั้งนี้ในช่วงไตรมาสที่สามบริษัทฯจำเป็นต้องออกแคมเปญใหญ่เพื่อกระตุ้นตลาดและกำลังซื้อในรูปแบบคูปองชิงโชค รายละเอียด เมื่อลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์พรีม่าโกลด์ทุก 5,000 บาทจะได้รับคูปองชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 1.3 ล้านบาท รางวัลที่ 1 คือ รถยนต์เชฟโรเล็ต ออฟตร้า และรางวัลอื่นๆ เป็นครั้งแรกของบริษัทฯและวงการทองคำ 99.99% ที่แจกรถยนต์ โดยปีนี้ได้เพิ่มงบการตลาดเป็น 15 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่ใช้ 12-13 ล้านบาท และมีการออกคอลเลคชั่นใหม่ 3 ชุดของทองคำรูปพรรณ 99.99% คิ เบิร์ดออฟพาราไดซ์, เอ็กโซติคเวฟ, โลตัส ราคาเฉลี่ย 1-2 แสนบาทต่อชุด โดยจะเข้าร่วมในงานบางกอกเจมส์แอนด์จิวเวลรี่แฟร์ ครั้งที่ 36 วันที่ 14-19 กันยายนศกนี้ที่อิมแพคเมืองทองธานี
นางสาวรุ่งนภากล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามตลาดทองคำยังมีการเติบโต ราคาขณะนี้อยู่ที่ 8,800 บาท และมีราคาเฉลี่ยที่สูงขึ้นกว่า 7% จากช่วงปีที่แล้ว และโอกาสที่ราคาจะลดลงมานั้นน้อยมาก ซึ่งปีที่แล้วตลาดรวมมีการนำเข้าทองประมาณ 119 ตัน ส่วน 7 เดือนแรกปีนี้นำเข้ามาแล้วรวม 80 ตัน โดยบริษัทฯนำเข้าตามจำนวนที่ต้องการไม่มีการนำเข้ามากักตุนเพื่อเก็งกไร
สำหรับช่องทางจำหน่ายของบริษัทฯปัจจุบันมีทั้งสิ้น 41 แห่ง แบ่งเป็นของแบรนด์พรีม่โกลด์ 6 สาขา เคาน์เตอร์จำหน่าย 31 สาขา และเคาน์เตอร์จำหน่ายพรีม่าไดมอนด์ 4 สาขา โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ทำการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และปลายปีนี้จะเปิดร้านพรีม่าโกลด์ที่สยามพารากอน ส่วนในปีหน้ามีแผนที่จะขยายสาขาของเซ็นจูรี่โกลด์(ทองรูปพรรณ 96.5%) อีก 5 แห่ง และร้านพรีม่าไดมอนด์ (ผลิตภัณฑ์เพชร ) ด้วยขณะทีร้านของพรีม่าโกลด์จะไม่เน้นเปิดแล้วเพราะว่ามีสาขาจำนวนมากแล้ว
"บริษัทฯมีฐานสมาชิกจำนวนมาก โดยที่ผ่านมามีอัตราการซื้อซ้ำจากสมาชิกเดิมมีอยู่สูง บางคนฉลี่ยต่ำที่สุดอยู่ที่ 2 ครั้งต่อคนต่อปี ส่วนสูงที่สุดเฉลี่ยที่ 5 ครั้งต่อคนต่อปี ซึ่งจะมีการอัพเดทสมาชิกตลอดเวลา" นางสาวรุ่งนภากล่าว
นางสาวรุ่งนภา เงางามรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีม่าโกลด์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณบ่งบอกแล้วว่า ตลาดทองคำรูปพรรณ 99.99% เริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นตลอดตั้งแต่ช่วงต้นปี ต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น บริษัทฯได้ทำการปรับราคาไปแล้วเพียงครั้งเดียวเมื่อต้นปีนี้ประมาณ 2% ในมุมของผู้บริโภคเองก็เกิดการชะลอและระมัดระวังในการจับจ่ายมากขึ้น ซึ่งทำให้ยอดขายในเดือนสิงหาคมของบริษัทฯที่ตั้งไว้ว่าจะโต 20-30% แต่มีการเติบโตจริงเพียง 10% เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามคาดว่าตลาดรวมในปีนี้ยังน่าจะมีการเติบโตได้อีก
โดยผลประกอบการของบริษัทฯครึ่งปีแรกปีนี้มียอดขาย 225 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่ทำได้ 195 ล้านบาท หรือเติบโต 15% ขณะที่ช่วง 8 เดือนแรกปีนี้มียอดขาย 360 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่มี 300 ล้านบาท หรือเติบโต 20% สำหรับงวดไตรมาสที่สามปีนี้มียอดขาย 140 ล้านบาท เพิ่มจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วที่ทำได้ 105 ล้านบาท เติบโต 30%
ขณะที่ยอดขายโดยรวมในปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้าไว้ที่ 550 ล้านบาท เพิ่มจากยอดรวมปีที่แล้วที่ทำได้ 450 ล้านบาท เติบโต 20% และพรีม่าโกลด์ยังเป็นผู้นำในตลาดทองคำรูปพรรณ 99.9% ด้วยส่วนแบ่ง 60% ส่วนอันดับรองลงมามีประมาณ 30-40%
อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดรวมของทองคำรูปพรรณ 99.99% ในปีนี้ยังไม่เลวร้ายเท่ากับในช่วงปี 2546 ที่มีโรคซาร์สระบาดหนัก ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยน้อยลงทำให้การซื้อขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวลดน้อยลงไปด้วย โดยในปีนั้นบริษัทฯมีการเติบโตด้านยอดขายเพียง 12% เท่านั้น และสถานการณ์เริ่มดีขึ้นเมื่อปี 2547 ที่มีการเติบโต 18%
ทั้งนี้ในช่วงไตรมาสที่สามบริษัทฯจำเป็นต้องออกแคมเปญใหญ่เพื่อกระตุ้นตลาดและกำลังซื้อในรูปแบบคูปองชิงโชค รายละเอียด เมื่อลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์พรีม่าโกลด์ทุก 5,000 บาทจะได้รับคูปองชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 1.3 ล้านบาท รางวัลที่ 1 คือ รถยนต์เชฟโรเล็ต ออฟตร้า และรางวัลอื่นๆ เป็นครั้งแรกของบริษัทฯและวงการทองคำ 99.99% ที่แจกรถยนต์ โดยปีนี้ได้เพิ่มงบการตลาดเป็น 15 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่ใช้ 12-13 ล้านบาท และมีการออกคอลเลคชั่นใหม่ 3 ชุดของทองคำรูปพรรณ 99.99% คิ เบิร์ดออฟพาราไดซ์, เอ็กโซติคเวฟ, โลตัส ราคาเฉลี่ย 1-2 แสนบาทต่อชุด โดยจะเข้าร่วมในงานบางกอกเจมส์แอนด์จิวเวลรี่แฟร์ ครั้งที่ 36 วันที่ 14-19 กันยายนศกนี้ที่อิมแพคเมืองทองธานี
นางสาวรุ่งนภากล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามตลาดทองคำยังมีการเติบโต ราคาขณะนี้อยู่ที่ 8,800 บาท และมีราคาเฉลี่ยที่สูงขึ้นกว่า 7% จากช่วงปีที่แล้ว และโอกาสที่ราคาจะลดลงมานั้นน้อยมาก ซึ่งปีที่แล้วตลาดรวมมีการนำเข้าทองประมาณ 119 ตัน ส่วน 7 เดือนแรกปีนี้นำเข้ามาแล้วรวม 80 ตัน โดยบริษัทฯนำเข้าตามจำนวนที่ต้องการไม่มีการนำเข้ามากักตุนเพื่อเก็งกไร
สำหรับช่องทางจำหน่ายของบริษัทฯปัจจุบันมีทั้งสิ้น 41 แห่ง แบ่งเป็นของแบรนด์พรีม่โกลด์ 6 สาขา เคาน์เตอร์จำหน่าย 31 สาขา และเคาน์เตอร์จำหน่ายพรีม่าไดมอนด์ 4 สาขา โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ทำการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และปลายปีนี้จะเปิดร้านพรีม่าโกลด์ที่สยามพารากอน ส่วนในปีหน้ามีแผนที่จะขยายสาขาของเซ็นจูรี่โกลด์(ทองรูปพรรณ 96.5%) อีก 5 แห่ง และร้านพรีม่าไดมอนด์ (ผลิตภัณฑ์เพชร ) ด้วยขณะทีร้านของพรีม่าโกลด์จะไม่เน้นเปิดแล้วเพราะว่ามีสาขาจำนวนมากแล้ว
"บริษัทฯมีฐานสมาชิกจำนวนมาก โดยที่ผ่านมามีอัตราการซื้อซ้ำจากสมาชิกเดิมมีอยู่สูง บางคนฉลี่ยต่ำที่สุดอยู่ที่ 2 ครั้งต่อคนต่อปี ส่วนสูงที่สุดเฉลี่ยที่ 5 ครั้งต่อคนต่อปี ซึ่งจะมีการอัพเดทสมาชิกตลอดเวลา" นางสาวรุ่งนภากล่าว