xs
xsm
sm
md
lg

ฆ่าตัวตายเพราะพ่ายรัก : เหตุเพราะเห็นแก่ตัว

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

"การพลัดจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นทุกข์ และการอยู่ร่วมกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์" นี่คือส่วนหนึ่งแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เกี่ยวกับความรัก

โดยนัยแห่งพุทธพจน์ทั้งสองประการดังกล่าวมองชัดเจนว่า ความรักมิได้เป็นตัวทุกข์โดยตรง แต่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จะด้วยความพลัดพรากหรือการอยู่ร่วมกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ คือก่อให้เกิดความเดือดร้อนใจ หรือที่เรียกทุกข์ทางใจนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่า ความรักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จะเห็นได้ชัดเจนจากพุทธพจน์บทที่ว่า ปิยโต ชายเต โสโก ความเศร้าโศกเกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก

ทำไมการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักจึงก่อให้เกิดทุกข์?

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ถ้าท่านผู้อ่านเคยมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้คงเข้าใจได้ไม่ยาก ในทำนองเดียวกับคนที่เคยโดนไฟลวกย่อมเข้าใจความเจ็บปวดอันเกิดจากแผลไฟไหม้ได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยโดน ถึงแม้จะเคยรับรู้หรือเคยเห็นคนที่ถูกไฟไหม้มาก่อนก็ตาม

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งคนที่เคยมีความรักแล้วพลัดจากความรัก หรือผู้ที่เคยอยู่ร่วมกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักแล้วเกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนเกิดขึ้นก็รู้เพียงว่าความทุกข์เป็นอย่างไร แต่คงไม่รู้ หรือจะรู้ก็เพียงส่วนน้อยว่าเหตุใดการพลัดพรากจากความรัก และการอยู่ร่วมกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักจึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจนเกิดความรู้ความเข้าใจถึงสภาวะแห่งทุกข์ในลักษณะนี้

ในขณะเดียวกัน ผู้ที่รู้และเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้จะรู้ได้ในทันทีว่า ตัวที่ทำให้เกิดความทุกข์นั้นก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นในความมี และความเป็นของตัวตนนั่นเอง ถ้าปราศจากความยึดถือในลักษณะนี้แล้ว ความทุกข์ถึงแม้จะเกิดขึ้น และมีอยู่ก็ไม่ทำให้จิตใจเดือดร้อนแต่ประการใด

ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีความรักและยึดถือในความมี ความเป็นแห่งความรักว่าเป็นของตนหรือเป็นส่วนหนึ่งแห่งตัวตน ก็ทำให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนขึ้นเป็นอันมากถึงขั้นทำร้ายตัวเอง หรือผู้ที่เกี่ยวข้องหรือทั้งสองคนพร้อมกันได้ดังที่ปรากฏเป็นข่าวบ่อยๆ ว่า ชายฆ่าหญิง หรือหญิงฆ่าชายเพียงเพราะความหึงหวงอันเป็นอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าเพียงวันเดียวมีข่าวฆ่าตัวตายเพราะอารมณ์หึงหวงถึงสองราย

รายแรก ฝ่ายชายเป็นถึงรองประธาน อบต.ได้ฆ่าหญิงคนรัก พร้อมฆ่าตัวเองตายตามเพียงเพราะทราบว่าคนรักหนีหน้าเพราะพบว่าตนเองมีภรรยาอยู่แล้ว

รายที่สอง ฝ่ายชายฆ่าหญิงคนรักตายโดยการบีบคอเพราะพบว่าฝ่ายหญิงเมินเฉยตัวเอง และระแวงว่ามีคนรักใหม่

ทั้งสองรายที่ยกขึ้นมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฆ่ากันตายเพราะความรักเป็นเหตุเท่านั้น แต่ถ้านำเอาตัวเลขเป็นปีมาคิดรวบรวมก็จะพบว่าปีหนึ่งมีนับเป็นสิบรายหรือมากกว่านี้ด้วยซ้ำ และที่เป็นเช่นนี้น่าจะเนื่องมาจากปัญหาต่อไปนี้

1. พฤติกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมทุกวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผู้ใหญ่กับเด็กมีช่องว่างระหว่างวัยเกิดขึ้น และนำไปสู่ความขัดแย้งมากขึ้น

2. ในปัจจุบันความรักที่เคยถือว่าต้องมาควบคู่กับความเสียสละได้หมดไป คงเหลือเพียงความรักที่ตามมาด้วยความเห็นแก่ตัว

ดังนั้น เมื่อฝ่ายใดมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม หรือเป็นความเกลียดชัง อันเป็นต้นเหตุให้เกิดปฏิกิริยาหนีออกห่างแทนที่ปฏิกิริยาเดินเข้าหาอันเกิดจากความรัก ก็จะทำให้ฝ่ายที่ถูกตีจากเกิดอาการโกรธแค้น และตอบโต้ด้วยการกระทำที่รุนแรงในรูปแบบต่างๆ เริ่มตั้งแต่ทำร้ายร่างกายให้เกิดความกลัว และยอมกลับมาเป็นของฝ่ายผู้กระทำอย่างเดิม ไปจนถึงการสังหารให้ตายเป็นการตัดโอกาสมิให้คนที่ตนเคยรักตกไปเป็นของคนอื่นด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียวคือ เมื่อตนเองไม่ได้คนอื่นก็ไม่ควรจะได้

อะไรเป็นเหตุให้ผู้คนในปัจจุบันมีความรักที่เห็นแก่ตัว และก่อให้เกิดพฤติกรรมจองเวรคนที่ตนเคยรักจนถึงขั้นทำร้ายร่างกาย หรือสุดท้ายจนถึงขั้นทำลายชีวิต

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังอยู่ในวัยรุ่น รวมไปถึงวัยกลางคนที่ไม่เคยผ่านกาลเวลาแห่งอดีตในยุคที่ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ยังยึดติดกับขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าๆ ที่เกี่ยวกับผู้หญิง เช่น ลูกผู้หญิงควรจะเป็นกุลสตรีที่มีอากัปกิริยาเรียบร้อยเหมือนผ้าที่พับไว้ เป็นต้น

ด้วยเหตุที่ค่านิยมในยุคเก่าได้ขีดวงให้ผู้หญิงต้องอยู่ในกรอบของประเพณี ดังนั้น ในการเลือกคู่ครองให้บุตรพ่อแม่ทุกคนจะต้องเลือกเป็น โดยการดูตั้งแต่รูปร่างลักษณะ อุปนิสัย ไปจนถึงการบ้านการเมือง ดังจะเห็นได้จากคำพังเพยที่ว่า ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ เป็นต้น โดยนัยแห่งคำสอนนี้ก็คือ ให้ดูเลยไปถึงแม่อันถือว่าเป็นต้นแบบของลูกผู้หญิงว่าเป็นคนอย่างไรแล้วค่อยมาดูลูก ถ้าพบว่าแม่เป็นคนไม่ดี ไม่เรียบร้อยก็ไม่ต้องดูลูก ถือได้ว่ามองข้ามไปได้เลย

อีกประการหนึ่ง ในอดีตที่ผู้คนในสังคมไทยยังแนบแน่นอยู่กับการศึกษา และการฝึกอบรมอันมีรากฐานมาจากศาสนาเป็นหลัก แนวทางหรือคตินิยมเกี่ยวกับสตรีเพศได้ถูกกำหนดไว้ค่อนข้างจะละเอียดอ่อน และยากต่อการที่คนรุ่นใหม่จะเข้าใจว่าอะไรทำให้คนรุ่นเก่าตีกรอบผู้หญิงในทำนองที่ว่า เป็นช้างเท้าหลัง หรือเป็นคนเดินตามเพศชายในทุกๆ เรื่อง ดังจะเห็นได้จากบทกลอนสอนใจเกี่ยวกับผู้หญิง ดังต่อไปนี้

"อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม
อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี
ใครได้เห็นเป็นดูไม่สู้ดี
เหย้าเรือนมีกลับมา จงหารือ"
(จากสุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู่)

นอกจากนี้ยังมีบทกลอนอีกหลายบทที่ผู้เขียนจำได้แต่ลืมไปแล้วว่ามาจากที่ใด และบทกลอนที่ว่านี้ได้แก่

"ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาศัย
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ
รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ"

จากนัยแห่งกลอนบทนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าได้เตือนผู้หญิงให้ระวังตัว ถ้ามีการคบผู้ชาย เพราะข้าวเปลือกตกที่ไหนงอกที่นั่น ไม่สูญพันธุ์ มีโอกาสแตกหน่อขึ้นต้นใหม่ได้เรื่อยๆ ไม่เสียหาย

แต่ผู้หญิงตกที่ไหนเน่าที่นั่น ไม่มีโอกาสงอกเป็นต้นใหม่ หรือพูดง่ายๆ ผู้หญิงทำผิดพลาดแล้วไม่มีโอกาสแก้ตัวนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม โดยนัยแห่งคตินี้มิได้ห้ามหญิงชายไม่ให้คบกัน เพียงแต่ให้พึงระวังให้อยู่ในกรอบที่ควรจะเป็นเท่านั้น

อีกบทหนึ่งที่จำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ

"อันผักหญ้าปลาเคล้าคาวระบาด
ใส่กระจาดล้างน้ำกลิ่นจางหาย
เมื่อสตรีหลงเสียสาวแก่เหล่าชาย
อย่าพึงหมายว่ากลิ่นจะสิ้นคาว
แม้นวันนี้มิรู้อยู่อีกหน่อย
กลิ่นก็ค่อยกระพือให้อื้อฉาว
ถึงใส่น้ำชะล้าง ไม่สร่างคาว
ขอสาวสาวจงจำคำเตือนเอย"

จะเห็นได้ว่ากลอนบทนี้เขียนเพื่อมุ่งให้ผู้หญิงตระหนักถึงพฤติกรรมสำส่อนทางเพศว่าเลวร้ายยิ่งกว่ากลิ่นปลาเน่า เพราะเกิดขึ้นแล้วลบล้างยาก

เนื่องจากคนรุ่นเก่ามีแนวคิดในเชิงอนุรักษ์เยี่ยงนี้ เรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับคดีล่วงละเมิดทางเพศจึงมีน้อย ยิ่งการฆ่าตัวตายเพราะพิษแรงหึงด้วยแล้วเกิดขึ้นน้อยมาก

แต่ในปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนไป ผู้หญิงได้รับการศึกษามากขึ้น และมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้นตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

ยิ่งกว่านั้นค่านิยมเก่าๆ ที่ปรากฏในบทกลอนดังกล่าวข้างต้นก็แทบไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของคนรุ่นใหม่แล้ว

ดังนั้น โอกาสที่หญิงหรือชาย หรือทั้งสองฝ่ายจะก่อคดีสะเทือนขวัญอันเนื่องจากพิษแรงหึงจึงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เพราะความรักระหว่างหนุ่มสาวในยุคปัจจุบันเกิดขึ้นได้ง่าย โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ต้องรอให้ฝ่ายชายมาเกี้ยวพาราสีก่อนแล้วจึงค่อยเปิดใจรับในลักษณะตั้งรับ ผู้หญิงในปัจจุบันอาจเป็นฝ่ายเปิดเกมชวนเชิญหรือทอดสะพานให้ฝ่ายชายเดินเข้ามาหาตัวก่อนก็ทำได้โดยไม่ต้องเกรงคำครหาเหมือนในยุคอดีต และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของความเสื่อมของศีลข้อ 3 คือกาเม อันเป็นข้อห้ามเรื่องการประพฤติผิดในกาม และทั้งยังผิดธรรมะข้อสันโดษนี้ให้ยินดีในภรรยาหรือสามีของตนจนเป็นบ่อเกิดแห่งความเสื่อมของสังคม และมีผลตามมานานัปการ ตั้งแต่หย่าร้าง ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และฆ่าลูกที่ออกมา รวมไปถึงทอดทิ้งลูกที่เกิดมาเพียงเพราะตนเองไม่พร้อมจะเลี้ยงดูเท่านั้น

จากปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในส่วนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกทีนี้เอง ผู้เขียนจึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ผู้คนในสังคมควรจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ และหาทางแก้ไขร่วมกัน

เมื่อยอมรับว่าปัญหาการทำผิดอันเนื่องมาจากความสำส่อนทางเพศรุนแรงขึ้นเช่นนี้ ใครควรจะแก้ไข และแก้ไขอย่างไร?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้เขียนเห็นว่าผู้ที่น่าจะมีส่วนแก้ไขมีทั้งบุคคล และหน่วยงานในภาครัฐ ดังต่อไปนี้

1. สถาบันครอบครัว โดยพ่อและแม่ควรจะได้ใส่ใจดูแลบุตรและธิดาให้ใกล้ชิด พร้อมทั้งให้คำแนะนำในสิ่งที่เด็กในแต่ละวัยควรจะได้รับรู้ตามความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศตามความเป็นจริง พร้อมกับให้คำปรึกษาแนวทางแก้ปัญหาแก่เด็กในทันทีที่เกิดปัญหาทำนองนี้ ไม่ควรดุด่าหรือลงโทษรุนแรงในลักษณะซ้ำเติม เมื่อเด็กมีความทุกข์อันเกิดจากความรักไม่สมหวัง

2. หน่วยงานในภาครัฐ เช่น กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงศึกษาฯ ควรอย่างยิ่งที่จะทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปัญหาความเสื่อมทางศีลธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับทางเพศ และกำหนดแนวทางแก้ไขในรูปของการศึกษาในทุกระดับเริ่มตั้งแต่ปฐมไปจนถึงอุดมศึกษา

แต่ในการให้การศึกษาจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมแก่เพศ ภาวะ และขนบธรรมเนียมไทยเป็นหลัก ไม่ควรเปิดการสอนเพศศึกษาในทำนองชี้โพรงให้กระรอก ดังที่เคยปรากฏเป็นข่าวว่าครูนำอุปกรณ์หรือเครื่องมือสอนเพศศึกษามาให้เด็กดู เป็นต้น

3. สถาบันทางศาสนา โดยให้วัดเป็นศูนย์กลางในการให้ความรู้ และการอบรมทางด้านจิตใจ ด้วยยึดหลักคำสอนในแต่ละศาสนาสอนให้เด็กรู้ถึงข้อห้ามต่างๆ เป็นแนวทางในการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีให้แก่เด็ก รวมไปถึงการตีกรอบเพื่อควบคุมพฤติกรรมอันอาจก่อให้เกิดคดีทางเพศและนำไปสู่ความรุนแรงตามมาในภายหลัง

ที่นำเสนอมานี้เป็นเพียงแนวคิดหนึ่งของผู้เขียน ถ้าท่านผู้อ่านเห็นว่ายังมีแนวทางอื่นใดดีกว่า ก็ขอให้ช่วยกันแสดงออกมาเพื่อช่วยกันแก้ไขต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น