ผู้จัดการรายวัน - สภาวางกรอบถกงบปี 49 ใช้เวลา 3 วัน 36 ชม. “ทักษิณ” กำชับ รมต.นั่งฟังอภิปรายฯงบ ด้าน ฝ่ายค้าน วาง 70 ส.ส.ถล่ม เป้าหลักฉะงบซูเปอร์ซีอีโอ หลังพบหมกเม็ดแหกตาซ่อน 1 หมื่นล้านสนอง ส.ส.ทรท.แถมตั้งงบฯกระจุกตัวพัฒนาเพียง 3 ลุ่มน้ำที่อยู่ในเขตกลุ่มนายกฯ และรมต. จนถูกขนานนาม “ลุ่มน้ำนายกฯ” แฉตั้งงบฯจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เอ็กซิมแบงค์ให้พม่าทำคนไทย แบกหนี้หลังหัก
นายโภคิน พลกุล ประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการประสานงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการ กำหนดรกรอบการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณประจำปี 2549 ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านได้ตกลงไว้ว่า จะใช้เวลาการประชุมทั้งหมด 3 วัน หรือ 36 ชั่วโมง โดยเฉลี่ยวันละ 12 ชม โดยจะเริ่มการพิจารณาในวันที่ 31 ส.ค.-2 ก.ย. ตั้งแต่เวลา 09.30 น.ถึง 21.30 น.
สำหรับกรอบการอภิปรายจะแบ่งเวลาฝ่ายค้านและรัฐบาล ฝ่ายละ 15 ชม. และกรรมาธิการชี้แจงอีก6 ชม. โดยให้แต่ละฝ่ายเป็นผู้บริหารเวลากันเอง ซึ่งได้กำหนดไว้ว่าจะให้สมาชิกได้อภิปรายคนละ 15 นาที
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมพิจารณางบประมาณ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้อยู่ร่วมพิจารณาด้วยเพราะต้องเดินทาง ไปราชการที่ญี่ปุ่น และเมื่อกลับมาก็จะเดินทางต่อไปประชุม ครม.ร่วมสิงคโปร์ ที่จ.เชียงใหม่
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธาน วิปฝ่ายค้าน แถลงหลังการประชุมว่า ในการประชุมได้หารือถึงกรณีที่ นายกรัฐมนตรีมีแนวโน้มการใช้อำนาจทางการเมือง ในลักษณะคุกคามการทำหน้าที่ขององค์กรและสถาบันต่าง ๆ เช่นสื่อมวลชนในส่วนของ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งและยังมีแนวโน้มที่จะแทรกแซงสื่อมวลชน อย่างรุนแรงมากขึ้น ซึ่ง ที่ผ่านมาฝ่ายค้านเคยยื่นเรื่อง ต่อผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ
“ท่าทีการคุกคามสื่อมวลชนเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งต่อการทำงานของ ทุกฝ่ายที่เป็นประกบวนการตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตยเพราะสื่อมวลชนก็เป็น องค์กรตรวจสอบอย่างหนึ่งดังนั้นในการอภิปรายงบประมาณหากส่วนใดเกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชน ฝ่ายค้านจะมีการหยิบยกประเด็นขึ้นมาอภิปรายโดยจะเกี่ยวเนื่องกับการใช้อำนาจในส่วนต่างๆด้วย”
นายสาทิตย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีการคุกคามการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกระทบต่อเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของฝ่ายนิติบัญญัติโดยรวม จึงเรียกร้องให้ประธานสภาแม้จะมีที่มาจากซีกรัฐบาลก็ต้องวางตน เป็นกลางอย่างเคร่งครัดตามรัฐธรรมนูญและต้องยึดหลักเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของ สมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งฝ่ายค้านได้ทำหนังสือถึงประธานสภา จากกรณีที่มีการ กล่าวหาใส่ร้ายกันในสภาและการใช้อำนาจของรัฐบาลจะเกี่ยวโยงถึง เรื่องการใช้งบประมาณด้วย
นายสาทิตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณฯ ของพรรคได้มีการซักถามถึงเรื่องความไม่ชอบมาพากลของงบก็มักจะถูกประท้วงหรือขัดขวางจากกรรมาธิการเสียงข้างมากอยู่บ่อยครั้งที่สำคัญคืองบที่มีข้อมูลว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นมักจะถูกอ้างว่ามีการตั้งผูกพันเอาไว้แล้วไม่สามารถปรับลด หรือ เปลี่ยนแปลงได้เพราะอาจจะถูกฟ้องร้องได้และเมื่อตั้งข้อสังเกตุเรื่องการทุจริต เกิดขึ้นก็จะมีการลงมติผ่านไปโดยไม่มี การปรับลดแต่อย่างใดแสดงให้เห็นว่า ในส่วนของกรรมาธิการที่มาจากซีกรัฐบาลไม่สามารถทำงานปกป้องผลประโยชน์ที่มาจากเงินภาษีของประชาชนได้
“ที่สำคัญคือประเด็นการกระจุกตัวของงบประมาณจากากรชี้แจงของ กรรมาธิการซีกฝ่ายค้านพบว่ายังคงมีการกระจุกตัวของงบอยู่ในลักษณะใหม่โดยอาศัยยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเช่น กรณียุทธศาสตร์เรื่องของ 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ แต่เวลาจัดตั้งงบ กลับล๊อคไว้ว่ามีเพียง 3 ลุ่มน้ำโดยครอบคลุมแต่จังหวัดของนายกฯ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ และจังหวัดอื่นๆในภาคอีสาน ทำให้อนุกรรมาธิการที่ปรับลดงบ ไม่สามารถปรับลดให้กระจายไปยังลุ่มน้ำอื่นๆได้ จนมีข้อครหาจากรรมาธิการ หลายคนว่าเดี๋ยวนี้เกิดลุ่มน้ำใหม่คือ ?ลุ่มน้ำนายกฯ กับ “ลุ่มน้ำรัฐมนตรี”ซึ่งเรื่องนี้ จะมีการอภิปรายกันมากในสภาต่อไป
นายสาทิตย์กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของงบที่ขาดรายละเอียดและกระจุกตัว โดยเฉพาะงบที่มีการใช้อำนาจทางการเมืองเรื่องที่จะพูดกันมากที่สุดคืองบกลาง ที่เรียกว่างบยุทธศาสตร์จังหวัดหรืองบผู้ว่าฯซีอีโอ จากากรทำงานของกรรมาธิการ พบว่างบผู้ว่าฯซีอีโอ นอกจากมีปัญหาเรื่องของการขาดหลักการในการทำงาน ที่ตอบสนองต่อการเมืองแล้ว ยังพบว่ามีลักษณะมีการตอบสนองต่อฝ่ายการเมือง ที่รุนแรงทางเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณก็ยอมรับว่างบที่ตั้งไว้ 4 หมื่นล้านบาท ความจริงแล้วจังหวัดสามารถเสนอได้เพียง3 หมื่นล้านบาทเท่านั้น จึงสงสัยว่าอีก 1 หมื่นล้านบาทไปอยู่ที่ไหน มีการยอมรับกันว่ารัฐบาลได้มีมติออกมาว่า ร้อยละ 25 ของงบผู้ว่าฯซีอีโอ ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ถูกกันเอาไว้และตัดสินใจโดยคณะกรรมการชุดใหม่ ซึ่งฝ่ายค้านเรียกว่างบผู้ว่าซีอีโอ กำลังกลายเป็น “งบซุปเปอร์ซีอีโอ”
“ต่อไปนี้เงิน1หมื่นล้านนี้จะถูกชี้นำจากการเมืองจากส่วนกลาง และที่น่าเศร้า คือในยามที่งบประมาณแผ่นดินมีปัญหา การเก็บภาษีทำด้วยความยากลำบาก ประชาชนทุกข์ยากเดือดร้อน ฝ่ายรัฐบาลกำลังย่ามใจในการมีอำนาจและใช้จ่ายเงินอย่าง ปราศจากความรอบคอบโดยคำนึงถึงเพียงเหตุผลทางการเมืองเท่านั้น โดย กรรมาธิการไม่สามารถเข้าไปแตะต้องในรายละเอียดได้ การอภิปรายฯของเราจึงจะมุ่งไปที่งบซุปเปอร์ซีอีโอ ซึ่งไม่มีความเป็นธรรมและอาจจะเป็นส่วนที่ใช้เวลาค่อนข้างมาก”
นอกจากนี้ยังมีการติดตามเรื่องงบเงินกู้ ที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า ของไทยปล่อยกู้ให้ประเทศพม่า โดยมีการตั้งงบในการชดใช้ในกรณีที่สัญญาเขียนว่า หากดอกเบี้ยที่ธนาคารให้พม่ากู้ไปเกินจากอัตราดอกเบี้ยที่เขียนไว้ในสัญญาให้รัฐบาลไทยเป็นผู้แบกภาระส่วนนี้ไว้ ฝ่ายค้านเคยอภิปรายแล้วว่ามีรายการให้บริษัทเอกชนของไทยบางแห่งได้รับประโยชน์ แต่ขณะนี้งบที่รัฐบาลไทยให้พม่ากู้กำลังตก เป็นภาระภาษีที่คนไทยต้องแบกรับซึ่งเกิดจากสัญญาที่เขียนเอื้อประโยชน์ให้พม่า โดยในงบปะ2549 ได้มีการตั้งงบประมาณชดใช้อยู่ที่ 59 ล้านบาท ซึ่งกรรมิการ ของฝ่ายค้านได้สงวนคำแปรญัตติให้ปรับลดงบลง เพราะไม่มีเหตุที่คนไทยต้องแบกรับภาษีในกรณีที่รัฐบาลให้ต่างประเทศกู้ยืมเงิน แต่คนไทยไม่ได้รับประโยชน์อะไร
อย่างไรก้ตาม ขณะนี้มีผู้สงวนคำแปรญัตติในส่วนของฝ่ายค้าน จำนวน 70 คน โดยจะเปิดโอกาสให้อภิปรายกันเต็มที่ คาดว่าจะใช้เวลา ประมาณ 3วัน
นายโภคิน พลกุล ประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการประสานงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการ กำหนดรกรอบการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณประจำปี 2549 ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านได้ตกลงไว้ว่า จะใช้เวลาการประชุมทั้งหมด 3 วัน หรือ 36 ชั่วโมง โดยเฉลี่ยวันละ 12 ชม โดยจะเริ่มการพิจารณาในวันที่ 31 ส.ค.-2 ก.ย. ตั้งแต่เวลา 09.30 น.ถึง 21.30 น.
สำหรับกรอบการอภิปรายจะแบ่งเวลาฝ่ายค้านและรัฐบาล ฝ่ายละ 15 ชม. และกรรมาธิการชี้แจงอีก6 ชม. โดยให้แต่ละฝ่ายเป็นผู้บริหารเวลากันเอง ซึ่งได้กำหนดไว้ว่าจะให้สมาชิกได้อภิปรายคนละ 15 นาที
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมพิจารณางบประมาณ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้อยู่ร่วมพิจารณาด้วยเพราะต้องเดินทาง ไปราชการที่ญี่ปุ่น และเมื่อกลับมาก็จะเดินทางต่อไปประชุม ครม.ร่วมสิงคโปร์ ที่จ.เชียงใหม่
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธาน วิปฝ่ายค้าน แถลงหลังการประชุมว่า ในการประชุมได้หารือถึงกรณีที่ นายกรัฐมนตรีมีแนวโน้มการใช้อำนาจทางการเมือง ในลักษณะคุกคามการทำหน้าที่ขององค์กรและสถาบันต่าง ๆ เช่นสื่อมวลชนในส่วนของ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งและยังมีแนวโน้มที่จะแทรกแซงสื่อมวลชน อย่างรุนแรงมากขึ้น ซึ่ง ที่ผ่านมาฝ่ายค้านเคยยื่นเรื่อง ต่อผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ
“ท่าทีการคุกคามสื่อมวลชนเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งต่อการทำงานของ ทุกฝ่ายที่เป็นประกบวนการตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตยเพราะสื่อมวลชนก็เป็น องค์กรตรวจสอบอย่างหนึ่งดังนั้นในการอภิปรายงบประมาณหากส่วนใดเกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชน ฝ่ายค้านจะมีการหยิบยกประเด็นขึ้นมาอภิปรายโดยจะเกี่ยวเนื่องกับการใช้อำนาจในส่วนต่างๆด้วย”
นายสาทิตย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีการคุกคามการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกระทบต่อเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของฝ่ายนิติบัญญัติโดยรวม จึงเรียกร้องให้ประธานสภาแม้จะมีที่มาจากซีกรัฐบาลก็ต้องวางตน เป็นกลางอย่างเคร่งครัดตามรัฐธรรมนูญและต้องยึดหลักเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของ สมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งฝ่ายค้านได้ทำหนังสือถึงประธานสภา จากกรณีที่มีการ กล่าวหาใส่ร้ายกันในสภาและการใช้อำนาจของรัฐบาลจะเกี่ยวโยงถึง เรื่องการใช้งบประมาณด้วย
นายสาทิตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณฯ ของพรรคได้มีการซักถามถึงเรื่องความไม่ชอบมาพากลของงบก็มักจะถูกประท้วงหรือขัดขวางจากกรรมาธิการเสียงข้างมากอยู่บ่อยครั้งที่สำคัญคืองบที่มีข้อมูลว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นมักจะถูกอ้างว่ามีการตั้งผูกพันเอาไว้แล้วไม่สามารถปรับลด หรือ เปลี่ยนแปลงได้เพราะอาจจะถูกฟ้องร้องได้และเมื่อตั้งข้อสังเกตุเรื่องการทุจริต เกิดขึ้นก็จะมีการลงมติผ่านไปโดยไม่มี การปรับลดแต่อย่างใดแสดงให้เห็นว่า ในส่วนของกรรมาธิการที่มาจากซีกรัฐบาลไม่สามารถทำงานปกป้องผลประโยชน์ที่มาจากเงินภาษีของประชาชนได้
“ที่สำคัญคือประเด็นการกระจุกตัวของงบประมาณจากากรชี้แจงของ กรรมาธิการซีกฝ่ายค้านพบว่ายังคงมีการกระจุกตัวของงบอยู่ในลักษณะใหม่โดยอาศัยยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเช่น กรณียุทธศาสตร์เรื่องของ 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ แต่เวลาจัดตั้งงบ กลับล๊อคไว้ว่ามีเพียง 3 ลุ่มน้ำโดยครอบคลุมแต่จังหวัดของนายกฯ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ และจังหวัดอื่นๆในภาคอีสาน ทำให้อนุกรรมาธิการที่ปรับลดงบ ไม่สามารถปรับลดให้กระจายไปยังลุ่มน้ำอื่นๆได้ จนมีข้อครหาจากรรมาธิการ หลายคนว่าเดี๋ยวนี้เกิดลุ่มน้ำใหม่คือ ?ลุ่มน้ำนายกฯ กับ “ลุ่มน้ำรัฐมนตรี”ซึ่งเรื่องนี้ จะมีการอภิปรายกันมากในสภาต่อไป
นายสาทิตย์กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องของงบที่ขาดรายละเอียดและกระจุกตัว โดยเฉพาะงบที่มีการใช้อำนาจทางการเมืองเรื่องที่จะพูดกันมากที่สุดคืองบกลาง ที่เรียกว่างบยุทธศาสตร์จังหวัดหรืองบผู้ว่าฯซีอีโอ จากากรทำงานของกรรมาธิการ พบว่างบผู้ว่าฯซีอีโอ นอกจากมีปัญหาเรื่องของการขาดหลักการในการทำงาน ที่ตอบสนองต่อการเมืองแล้ว ยังพบว่ามีลักษณะมีการตอบสนองต่อฝ่ายการเมือง ที่รุนแรงทางเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณก็ยอมรับว่างบที่ตั้งไว้ 4 หมื่นล้านบาท ความจริงแล้วจังหวัดสามารถเสนอได้เพียง3 หมื่นล้านบาทเท่านั้น จึงสงสัยว่าอีก 1 หมื่นล้านบาทไปอยู่ที่ไหน มีการยอมรับกันว่ารัฐบาลได้มีมติออกมาว่า ร้อยละ 25 ของงบผู้ว่าฯซีอีโอ ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ถูกกันเอาไว้และตัดสินใจโดยคณะกรรมการชุดใหม่ ซึ่งฝ่ายค้านเรียกว่างบผู้ว่าซีอีโอ กำลังกลายเป็น “งบซุปเปอร์ซีอีโอ”
“ต่อไปนี้เงิน1หมื่นล้านนี้จะถูกชี้นำจากการเมืองจากส่วนกลาง และที่น่าเศร้า คือในยามที่งบประมาณแผ่นดินมีปัญหา การเก็บภาษีทำด้วยความยากลำบาก ประชาชนทุกข์ยากเดือดร้อน ฝ่ายรัฐบาลกำลังย่ามใจในการมีอำนาจและใช้จ่ายเงินอย่าง ปราศจากความรอบคอบโดยคำนึงถึงเพียงเหตุผลทางการเมืองเท่านั้น โดย กรรมาธิการไม่สามารถเข้าไปแตะต้องในรายละเอียดได้ การอภิปรายฯของเราจึงจะมุ่งไปที่งบซุปเปอร์ซีอีโอ ซึ่งไม่มีความเป็นธรรมและอาจจะเป็นส่วนที่ใช้เวลาค่อนข้างมาก”
นอกจากนี้ยังมีการติดตามเรื่องงบเงินกู้ ที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า ของไทยปล่อยกู้ให้ประเทศพม่า โดยมีการตั้งงบในการชดใช้ในกรณีที่สัญญาเขียนว่า หากดอกเบี้ยที่ธนาคารให้พม่ากู้ไปเกินจากอัตราดอกเบี้ยที่เขียนไว้ในสัญญาให้รัฐบาลไทยเป็นผู้แบกภาระส่วนนี้ไว้ ฝ่ายค้านเคยอภิปรายแล้วว่ามีรายการให้บริษัทเอกชนของไทยบางแห่งได้รับประโยชน์ แต่ขณะนี้งบที่รัฐบาลไทยให้พม่ากู้กำลังตก เป็นภาระภาษีที่คนไทยต้องแบกรับซึ่งเกิดจากสัญญาที่เขียนเอื้อประโยชน์ให้พม่า โดยในงบปะ2549 ได้มีการตั้งงบประมาณชดใช้อยู่ที่ 59 ล้านบาท ซึ่งกรรมิการ ของฝ่ายค้านได้สงวนคำแปรญัตติให้ปรับลดงบลง เพราะไม่มีเหตุที่คนไทยต้องแบกรับภาษีในกรณีที่รัฐบาลให้ต่างประเทศกู้ยืมเงิน แต่คนไทยไม่ได้รับประโยชน์อะไร
อย่างไรก้ตาม ขณะนี้มีผู้สงวนคำแปรญัตติในส่วนของฝ่ายค้าน จำนวน 70 คน โดยจะเปิดโอกาสให้อภิปรายกันเต็มที่ คาดว่าจะใช้เวลา ประมาณ 3วัน