เรื่องลำไยยังเป็นเรื่องที่โกงกินกันอย่างมโหฬารและอย่างต่อเนื่อง เป็นการโกงแบบเย้ยฟ้าท้าดิน และยังจัดการปัญหานี้ไม่สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่พื้นที่สวนลำไยในภาคเหนือนั้นเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคไทยรักไทย และหัวหน้าพรรค ตลอดจนแกนนำสำคัญของพรรคก็เป็นชาวภาคเหนือเสียเป็นส่วนใหญ่
เรื่องการโกงลำไยจึงเป็นมหากาพย์แห่งการโกงที่โด่งดังไปทั้งบ้านทั้งเมือง และดังไปทั้งโลกแล้ว และเกิดคำถามขึ้นมากหลายว่าทำไมมหากาพย์การโกงลำไยกระฉ่อนสะท้านฟ้าสะเทือนดินถึงปานนี้แล้วก็ยังจัดการแก้ไขอะไรไม่ได้
ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แก้ยากและยังแก้ไม่ได้ บัดนี้ปัญหามหากาพย์การโกงลำไยในภาคเหนือก็เป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขไม่ได้ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้ว
ไม่มีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหา หรือว่าไม่แก้ไขปัญหา หรือว่ามีวาระซ่อนเร้นอะไรกันอยู่ จึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และพัฒนาไป จนทำให้ผู้คนทั้งแผ่นดินอึดอัดขัดใจจนทำให้สถิติคนเป็นโรคจิต โรคเครียด และโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นกว่า 1,900% แล้ว
การแก้ไขปัญหาลำไยในปี 2545 โกงกันสนั่นเมือง ด้านหนึ่งเป็นการโกงราษฎร์ คือกดราคาลำไยกับชาวสวนลำไยจนยากจนป่นปี้ตาม ๆ กัน อีกด้านหนึ่งโกงหลวง เพราะมีแต่ลำไยลมเสียเป็นส่วนใหญ่ จนทำอะไรต่อไปไม่ได้ และต้องออกมาตรการประหลาด ๆ คือการทำลายลำไยปี 2545 นั้นเสีย ดังที่ปรากฏเป็นภาพข่าวประจานประเทศไทยออกไปทั่วโลกแล้ว
มาถึงการแก้ไขปัญหาลำไยปี 2546 และปี 2547 ก็โกงกันสนั่นเมืองเลื่องลือไปทั่วทั้งประเทศและทั่วโลกเช่นเดียวกัน เป็นการโกงทั้งราษฎร์ โกงทั้งหลวง แต่ออกจะหนักข้อกว่าปี 2545 คือนอกจากการกดราคาลำไยเอากับชาวสวนลำไยจนฉิบหายวายวอดซ้ำเติมเข้าไปอีกแล้ว ลำไยยังหายไปถึง 50,000 ตัน
ลำไยหายไปถึง 50,000 ตันได้อย่างไร? ก็ยังไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ปริมาณลำไยที่หายไปขนาดนี้เป็นจำนวนมากมายมหาศาล ดังที่นายเสนาะ เทียนทอง เคยพูดในสภาและนอกสภาเปรียบเทียบไว้ว่า ถ้าเอาลำไยจำนวนดังกล่าวนี้มากองไว้ที่ท้องสนามหลวงก็จะเต็มท้องสนามหลวง และมีความสูงสามารถบังพระอุโบสถวัดพระแก้วได้
ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้บงการเป็นหัวโจกคนร้ายและยังจับใครไม่ได้
การแถลงผลการปฏิบัติงานของตำรวจภูธรภาค 5 ที่นำโดย พล.ต.ต.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2548 เกี่ยวกับการจับโกงลำไย คือพยานหลักฐานจากภาครัฐที่ชัดเจนที่สุด
ตามข่าวระบุว่าฝ่ายตำรวจได้ตรวจพบมาเฟียถึง 8 กลุ่ม ตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพลโกงลำไยทุกรูปแบบ ในขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้สั่งให้ขึ้นบัญชีเป็นผู้มีอิทธิพลกับกลุ่มมาเฟียเหล่านี้แล้ว
ในการดำเนินการตรวจค้นของตำรวจภูธรภาค 5 ปรากฏว่ายังสามารถจับกุมแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายกว่า 14 คน จับกุมแรงงานที่ตั้งตัวเป็นเจ้ามือหวยเถื่อนอีก 2 คน รวมเป็น 16 คน ทั้งยังยึดอาวุธได้อีกจำนวนหนึ่ง
พล.ต.ต.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ยังได้แถลงอีกว่าการเข้าจับกุมครั้งนี้เป็นการขยายผลจากการที่ลำไยอบแห้งปี 2545 ที่หายไป และทราบว่านอกจาก มาเฟียทั้ง 8 กลุ่มแล้วยังมีอดีตข้าราชการและข้าราชการปัจจุบันร่วมขบวนการอีกด้วย จัดเป็นขบวนการที่ใหญ่โตมาก
แต่ก็ได้แถลงข่าวให้ใจหายต่อไปว่า ยังจับกุมไม่ได้เพราะหลักฐานยังไม่พร้อม แต่ก็ทราบว่ามีการโกงเกษตรกรกันทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตกเขียวลำไย การจำหน่ายลำไยอบแห้งซึ่งแอบแฝงเข้ามาทุกรูปแบบ
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดลำพูนได้แถลงเสริมให้ชัดขึ้นอีกว่า ขบวนการโกงลำไยที่ใหญ่โตนี้ได้ดำเนินการมากว่า 5 ปีแล้ว
ตั้ง 5 ปีแล้วยังไม่มีหลักฐานที่จะจับกุมดำเนินคดี และยังมีการปล่อยให้โกงกันอยู่อย่างเป็นขบวนการใหญ่โต โอ้ละเห่หนอประเทศไทย!
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็ได้แถลงในห้วงเวลาเดียวกันว่าคดีโกงลำไยที่หายไป 50,000 ตัน กำลังติดตามกันอยู่ และคงจะดำเนินคดีได้ในเร็ว ๆ นี้ ส่วนลำไยเก่าปี 2545 ก็พบว่าหายไป 5,000 กล่อง
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้ย้ำอีกว่าจากการที่ได้ลงไปตรวจสอบในพื้นที่ก็พบว่าผู้มีอิทธิพลที่เป็นมาเฟียลำไยฝังตัวอยู่ในทุกพื้นที่ “บางรายถึงกับมีป้อมตำรวจอยู่หน้าบ้าน ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นถึงรัฐมนตรีก็ยังไม่มีป้อมตำรวจอยู่หน้าบ้าน”
ตำรวจตัวเล็กตัวน้อยคงไม่ไปตั้งป้อมเฝ้าหน้าบ้านมาเฟียเองเป็นแน่ คงจะมีตัวใหญ่ ๆ สูงขึ้นไปกว่านั้นอุปถัมภ์ค้ำชูเกื้อกูลกันอยู่ อย่างนี้แล้วมีหรือที่มาเฟียเหล่านั้นจะถูกจับกุมดำเนินคดีได้
มิน่าเล่ามหากาพย์การโกงลำไยจึงดังกระฉ่อนเย้ยฟ้าท้าดินโดยไม่ยำเกรงรัฐบาล ทั้งๆ ที่หัวหน้ารัฐบาลก็เป็นตำรวจเหมือนกัน
มาถึงการแก้ไขปัญหาลำไยปี 2548 ที่ได้เปลี่ยนแปลงมาตรการจากการรับจำนำดังที่เคยกระทำมาในปี 2545-2547 เป็นมาตรการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่ สหกรณ์การเกษตรจำนวนหนึ่งเพื่อนำเงินไปซื้อลำไยแล้วมีมาตรการบังคับให้ อบต. ทั่วประเทศและหน่วยงานต่าง ๆ ช่วยรับซื้อ โดยหักเงินค่าซื้อให้แก่สหกรณ์นั้น ก็มีเรื่องเหม็นคาวฉาวโฉ่ขึ้นมาอีก
เรื่องนี้อยู่ในหน้าที่รับผิดชอบของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ โดยตรง เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะดำรงตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้
เขาโกงกันอย่างไร? ก็ต้องฟังผู้รู้ผู้ชำนาญในเรื่องลำไยซึ่งเป็นถึงประธานองค์กรสำคัญเกี่ยวกับการเกษตร คือนายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม รวมทั้งประธาน สหกรณ์อีกหลายแห่งที่ไม่ได้รับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไปดำเนินการจัดซื้อลำไย
คนเหล่านี้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องหลายเวลาหลายวาระอาจจะทำให้จับความไม่ได้ จึงขอทำหน้าที่นำสิ่งที่ท่านเหล่านี้ได้พูดไว้มาเรียบเรียงเพื่อให้รู้ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เขาว่ามีการโกงกันอย่างนี้คือ
โกงที่หนึ่ง เป็นการโกงแบบเลือกปฏิบัติ คือมีการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเฉพาะ สหกรณ์ที่เป็นพรรคพวกของนักการเมือง ทั้ง ๆ ที่อาจไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือไม่มีประสบการณ์ในเรื่องลำไยเลย ส่วนสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับชาวสวนลำไยโดยตรงกับไม่ได้รับเงินกู้ไปจัดการแก้ไขปัญหา เป็นปฐมบทของการโกงลำไยปี 2548
โกงที่สอง เมื่อได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากหลวงไปแล้วก็นำไปดำเนินการสองอย่าง คือ
อย่างแรก ไปกดราคาลำไยชาวสวนลำไยโดยไม่แยแสต่อความเดือดร้อนเสียหายและผลขาดทุน เพราะไม่มีความสัมพันธ์หรือมีภาระหน้าที่ต้องอุปถัมภ์ค้ำชูชาวสวนลำไยเหล่านั้น เท่ากับเป็นการบังคับซื้อลำไยจากชาวสวนลำไยในราคาต่ำกิโลกรัมละ 4-6 บาทเท่านั้น แล้วเอาลำไยไปบังคับขายกิโลกรัมละ 20 บาท เป็นการโกงโดยมาตรการทางการค้าขายคือให้คนกลางเป็นคนโกง ได้กำไรไปมหาศาลบนความเดือดร้อนฉิบหายวายวอดของชาวสวนลำไย
อย่างที่สอง ได้เงินไปแล้วก็ไม่ไปซื้อลำไย แต่ไปซื้อลมแทน โดยวิธีการให้สมัครพรรคพวกมาเข้าชื่อกันว่าได้ขายลำไยจำนวนเท่านั้นเท่านี้แล้วทำทีเป็นว่านำลำไยนั้นไปขายได้แล้ว นั่นคือการเอาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่หลวงให้ไปช่วยซื้อลำไยเอาไปใช้กันเสียเฉย ๆ โดยชาวสวนลำไยจำนวนมากขายลำไยไม่ได้ เป็นเหตุให้ต้องเพิ่มวงเงินในการจัดซื้อลำไย ทำให้หลวงเสียหายมากขึ้น
โกงที่สาม ยังไม่เกิดขึ้นแต่กำลังจะเกิดขึ้น โดยจะเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลากำหนดชำระเงินกู้แล้วจะมีพวกที่กู้เงินไปแล้วไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้ หลวงจะฟ้องก็ฟ้องไป เพราะ สหกรณ์ไม่มีทรัพย์สินอะไรที่จะให้ยึดไปชำระหนี้ เป็นการโกงกันซึ่ง ๆ หน้า โกงกันดื้อ ๆ โดยถือว่าไม่มีหน้าไหนมาฟ้องให้รับผิดชอบได้
มหากาพย์การโกงลำไยจึงเป็นมหากาพย์แห่งการโกงราษฎร์โกงหลวงที่สมบูรณ์แบบ และเป็นมหากาพย์ที่ท้าทายรัฐบาลทักษิณว่าถึงโกงกันขนาดนี้ก็ไม่มีใครทำอะไรได้
ในขณะเดียวกันก็เป็นมหากาพย์แห่งการโกงที่ก่อเกิดเป็นคำถามตัวใหญ่ในหัวใจของประชาชนว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้เมืองนี้ที่ปล่อยให้การโกงและแสวงหาประโยชน์บนความฉิบหายของคนยากคนจนคือชาวสวนลำไยเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ทั้ง ๆ ที่ชาวสวนลำไยทั้งหมดก็เป็นคนบ้านเดียวกับนายกรัฐมนตรี เป็นผู้คนในพื้นที่อันเป็นฐานการเมืองของพรรคไทยรักไทยโดยตรง
โกงกันเป็นมหากาพย์เช่นนี้ยังทำอะไรใครไม่ได้ แล้วจะให้ประชาชนเชื่อถือได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรียกว่าสงครามกับการคอรัปชั่นนั้นเป็นเรื่องจริง และในเวลา 3 ปีครึ่งที่เหลือคนจนจะหมดไปจากประเทศไทยจริง ๆ
ดูไปแล้วการที่ชาวสวนลำไยถูกฉ้อฉลเอาเปรียบให้ขาดทุนฉิบหายปีแล้วปีเล่า ฉิบหายได้ฉิบหายไปก็ไม่ต่างอะไรกับสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ถูกฆ่าได้ถูกฆ่าไป แล้วไม่มีใครแสดงความรับผิดชอบอะไรเลยแม้แต่สักคนเดียว
มาชื่นใจเอาหน่อยหนึ่งก็ที่พลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีหน้าใหม่แห่งกระทรวงมหาดไทยที่ถูกปรามาสว่า “ได้ดีเพราะเป็นสามีเลขานายหญิง” ซึ่งได้ออกมาแถลงว่าจะแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เห็นได้ชัดภายใน 30 วัน
อย่างน้อยได้ฟังคนพูดอย่างนี้ก็ดีกว่าการที่เกิดเหตุแล้วไม่มีใครยอมพูดอะไรเลย
แต่ก็อดจะห่วงใยพลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา ไม่ได้ เพราะหากพ้น 30 วันแล้วเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่คลี่คลายไปแล้วจะทำอย่างไร?
จะบอกว่าพูดไปเพราะไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจปัญหา หรือว่าพูดส่งเดชเพื่อสร้างความมั่นใจตอบโต้กับข้อครหาที่ว่าเป็นใหญ่ได้ดีเพราะเพียงแค่เป็นสามีคุณลูกน้ำก็คงจะไม่ได้ เพราะพูดแบบนี้ความเสียหายจะย้อนกระทบไปถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า
หรือว่าจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือว่าจะทำเป็นเพิกเฉย
จึงต้องมาติดตามดูกันต่อไปว่ามหากาพย์การโกงลำไยจะคลี่คลายไปในทางใด และเมื่อครบ 30 วันแล้ว พลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา จะทำอย่างไรต่อไป?
เรื่องการโกงลำไยจึงเป็นมหากาพย์แห่งการโกงที่โด่งดังไปทั้งบ้านทั้งเมือง และดังไปทั้งโลกแล้ว และเกิดคำถามขึ้นมากหลายว่าทำไมมหากาพย์การโกงลำไยกระฉ่อนสะท้านฟ้าสะเทือนดินถึงปานนี้แล้วก็ยังจัดการแก้ไขอะไรไม่ได้
ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แก้ยากและยังแก้ไม่ได้ บัดนี้ปัญหามหากาพย์การโกงลำไยในภาคเหนือก็เป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขไม่ได้ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้ว
ไม่มีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหา หรือว่าไม่แก้ไขปัญหา หรือว่ามีวาระซ่อนเร้นอะไรกันอยู่ จึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และพัฒนาไป จนทำให้ผู้คนทั้งแผ่นดินอึดอัดขัดใจจนทำให้สถิติคนเป็นโรคจิต โรคเครียด และโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นกว่า 1,900% แล้ว
การแก้ไขปัญหาลำไยในปี 2545 โกงกันสนั่นเมือง ด้านหนึ่งเป็นการโกงราษฎร์ คือกดราคาลำไยกับชาวสวนลำไยจนยากจนป่นปี้ตาม ๆ กัน อีกด้านหนึ่งโกงหลวง เพราะมีแต่ลำไยลมเสียเป็นส่วนใหญ่ จนทำอะไรต่อไปไม่ได้ และต้องออกมาตรการประหลาด ๆ คือการทำลายลำไยปี 2545 นั้นเสีย ดังที่ปรากฏเป็นภาพข่าวประจานประเทศไทยออกไปทั่วโลกแล้ว
มาถึงการแก้ไขปัญหาลำไยปี 2546 และปี 2547 ก็โกงกันสนั่นเมืองเลื่องลือไปทั่วทั้งประเทศและทั่วโลกเช่นเดียวกัน เป็นการโกงทั้งราษฎร์ โกงทั้งหลวง แต่ออกจะหนักข้อกว่าปี 2545 คือนอกจากการกดราคาลำไยเอากับชาวสวนลำไยจนฉิบหายวายวอดซ้ำเติมเข้าไปอีกแล้ว ลำไยยังหายไปถึง 50,000 ตัน
ลำไยหายไปถึง 50,000 ตันได้อย่างไร? ก็ยังไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ปริมาณลำไยที่หายไปขนาดนี้เป็นจำนวนมากมายมหาศาล ดังที่นายเสนาะ เทียนทอง เคยพูดในสภาและนอกสภาเปรียบเทียบไว้ว่า ถ้าเอาลำไยจำนวนดังกล่าวนี้มากองไว้ที่ท้องสนามหลวงก็จะเต็มท้องสนามหลวง และมีความสูงสามารถบังพระอุโบสถวัดพระแก้วได้
ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้บงการเป็นหัวโจกคนร้ายและยังจับใครไม่ได้
การแถลงผลการปฏิบัติงานของตำรวจภูธรภาค 5 ที่นำโดย พล.ต.ต.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2548 เกี่ยวกับการจับโกงลำไย คือพยานหลักฐานจากภาครัฐที่ชัดเจนที่สุด
ตามข่าวระบุว่าฝ่ายตำรวจได้ตรวจพบมาเฟียถึง 8 กลุ่ม ตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพลโกงลำไยทุกรูปแบบ ในขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้สั่งให้ขึ้นบัญชีเป็นผู้มีอิทธิพลกับกลุ่มมาเฟียเหล่านี้แล้ว
ในการดำเนินการตรวจค้นของตำรวจภูธรภาค 5 ปรากฏว่ายังสามารถจับกุมแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายกว่า 14 คน จับกุมแรงงานที่ตั้งตัวเป็นเจ้ามือหวยเถื่อนอีก 2 คน รวมเป็น 16 คน ทั้งยังยึดอาวุธได้อีกจำนวนหนึ่ง
พล.ต.ต.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ยังได้แถลงอีกว่าการเข้าจับกุมครั้งนี้เป็นการขยายผลจากการที่ลำไยอบแห้งปี 2545 ที่หายไป และทราบว่านอกจาก มาเฟียทั้ง 8 กลุ่มแล้วยังมีอดีตข้าราชการและข้าราชการปัจจุบันร่วมขบวนการอีกด้วย จัดเป็นขบวนการที่ใหญ่โตมาก
แต่ก็ได้แถลงข่าวให้ใจหายต่อไปว่า ยังจับกุมไม่ได้เพราะหลักฐานยังไม่พร้อม แต่ก็ทราบว่ามีการโกงเกษตรกรกันทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตกเขียวลำไย การจำหน่ายลำไยอบแห้งซึ่งแอบแฝงเข้ามาทุกรูปแบบ
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดลำพูนได้แถลงเสริมให้ชัดขึ้นอีกว่า ขบวนการโกงลำไยที่ใหญ่โตนี้ได้ดำเนินการมากว่า 5 ปีแล้ว
ตั้ง 5 ปีแล้วยังไม่มีหลักฐานที่จะจับกุมดำเนินคดี และยังมีการปล่อยให้โกงกันอยู่อย่างเป็นขบวนการใหญ่โต โอ้ละเห่หนอประเทศไทย!
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็ได้แถลงในห้วงเวลาเดียวกันว่าคดีโกงลำไยที่หายไป 50,000 ตัน กำลังติดตามกันอยู่ และคงจะดำเนินคดีได้ในเร็ว ๆ นี้ ส่วนลำไยเก่าปี 2545 ก็พบว่าหายไป 5,000 กล่อง
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้ย้ำอีกว่าจากการที่ได้ลงไปตรวจสอบในพื้นที่ก็พบว่าผู้มีอิทธิพลที่เป็นมาเฟียลำไยฝังตัวอยู่ในทุกพื้นที่ “บางรายถึงกับมีป้อมตำรวจอยู่หน้าบ้าน ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นถึงรัฐมนตรีก็ยังไม่มีป้อมตำรวจอยู่หน้าบ้าน”
ตำรวจตัวเล็กตัวน้อยคงไม่ไปตั้งป้อมเฝ้าหน้าบ้านมาเฟียเองเป็นแน่ คงจะมีตัวใหญ่ ๆ สูงขึ้นไปกว่านั้นอุปถัมภ์ค้ำชูเกื้อกูลกันอยู่ อย่างนี้แล้วมีหรือที่มาเฟียเหล่านั้นจะถูกจับกุมดำเนินคดีได้
มิน่าเล่ามหากาพย์การโกงลำไยจึงดังกระฉ่อนเย้ยฟ้าท้าดินโดยไม่ยำเกรงรัฐบาล ทั้งๆ ที่หัวหน้ารัฐบาลก็เป็นตำรวจเหมือนกัน
มาถึงการแก้ไขปัญหาลำไยปี 2548 ที่ได้เปลี่ยนแปลงมาตรการจากการรับจำนำดังที่เคยกระทำมาในปี 2545-2547 เป็นมาตรการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่ สหกรณ์การเกษตรจำนวนหนึ่งเพื่อนำเงินไปซื้อลำไยแล้วมีมาตรการบังคับให้ อบต. ทั่วประเทศและหน่วยงานต่าง ๆ ช่วยรับซื้อ โดยหักเงินค่าซื้อให้แก่สหกรณ์นั้น ก็มีเรื่องเหม็นคาวฉาวโฉ่ขึ้นมาอีก
เรื่องนี้อยู่ในหน้าที่รับผิดชอบของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ โดยตรง เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะดำรงตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้
เขาโกงกันอย่างไร? ก็ต้องฟังผู้รู้ผู้ชำนาญในเรื่องลำไยซึ่งเป็นถึงประธานองค์กรสำคัญเกี่ยวกับการเกษตร คือนายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม รวมทั้งประธาน สหกรณ์อีกหลายแห่งที่ไม่ได้รับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไปดำเนินการจัดซื้อลำไย
คนเหล่านี้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องหลายเวลาหลายวาระอาจจะทำให้จับความไม่ได้ จึงขอทำหน้าที่นำสิ่งที่ท่านเหล่านี้ได้พูดไว้มาเรียบเรียงเพื่อให้รู้ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เขาว่ามีการโกงกันอย่างนี้คือ
โกงที่หนึ่ง เป็นการโกงแบบเลือกปฏิบัติ คือมีการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเฉพาะ สหกรณ์ที่เป็นพรรคพวกของนักการเมือง ทั้ง ๆ ที่อาจไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือไม่มีประสบการณ์ในเรื่องลำไยเลย ส่วนสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับชาวสวนลำไยโดยตรงกับไม่ได้รับเงินกู้ไปจัดการแก้ไขปัญหา เป็นปฐมบทของการโกงลำไยปี 2548
โกงที่สอง เมื่อได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากหลวงไปแล้วก็นำไปดำเนินการสองอย่าง คือ
อย่างแรก ไปกดราคาลำไยชาวสวนลำไยโดยไม่แยแสต่อความเดือดร้อนเสียหายและผลขาดทุน เพราะไม่มีความสัมพันธ์หรือมีภาระหน้าที่ต้องอุปถัมภ์ค้ำชูชาวสวนลำไยเหล่านั้น เท่ากับเป็นการบังคับซื้อลำไยจากชาวสวนลำไยในราคาต่ำกิโลกรัมละ 4-6 บาทเท่านั้น แล้วเอาลำไยไปบังคับขายกิโลกรัมละ 20 บาท เป็นการโกงโดยมาตรการทางการค้าขายคือให้คนกลางเป็นคนโกง ได้กำไรไปมหาศาลบนความเดือดร้อนฉิบหายวายวอดของชาวสวนลำไย
อย่างที่สอง ได้เงินไปแล้วก็ไม่ไปซื้อลำไย แต่ไปซื้อลมแทน โดยวิธีการให้สมัครพรรคพวกมาเข้าชื่อกันว่าได้ขายลำไยจำนวนเท่านั้นเท่านี้แล้วทำทีเป็นว่านำลำไยนั้นไปขายได้แล้ว นั่นคือการเอาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่หลวงให้ไปช่วยซื้อลำไยเอาไปใช้กันเสียเฉย ๆ โดยชาวสวนลำไยจำนวนมากขายลำไยไม่ได้ เป็นเหตุให้ต้องเพิ่มวงเงินในการจัดซื้อลำไย ทำให้หลวงเสียหายมากขึ้น
โกงที่สาม ยังไม่เกิดขึ้นแต่กำลังจะเกิดขึ้น โดยจะเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลากำหนดชำระเงินกู้แล้วจะมีพวกที่กู้เงินไปแล้วไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้ หลวงจะฟ้องก็ฟ้องไป เพราะ สหกรณ์ไม่มีทรัพย์สินอะไรที่จะให้ยึดไปชำระหนี้ เป็นการโกงกันซึ่ง ๆ หน้า โกงกันดื้อ ๆ โดยถือว่าไม่มีหน้าไหนมาฟ้องให้รับผิดชอบได้
มหากาพย์การโกงลำไยจึงเป็นมหากาพย์แห่งการโกงราษฎร์โกงหลวงที่สมบูรณ์แบบ และเป็นมหากาพย์ที่ท้าทายรัฐบาลทักษิณว่าถึงโกงกันขนาดนี้ก็ไม่มีใครทำอะไรได้
ในขณะเดียวกันก็เป็นมหากาพย์แห่งการโกงที่ก่อเกิดเป็นคำถามตัวใหญ่ในหัวใจของประชาชนว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้เมืองนี้ที่ปล่อยให้การโกงและแสวงหาประโยชน์บนความฉิบหายของคนยากคนจนคือชาวสวนลำไยเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ทั้ง ๆ ที่ชาวสวนลำไยทั้งหมดก็เป็นคนบ้านเดียวกับนายกรัฐมนตรี เป็นผู้คนในพื้นที่อันเป็นฐานการเมืองของพรรคไทยรักไทยโดยตรง
โกงกันเป็นมหากาพย์เช่นนี้ยังทำอะไรใครไม่ได้ แล้วจะให้ประชาชนเชื่อถือได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรียกว่าสงครามกับการคอรัปชั่นนั้นเป็นเรื่องจริง และในเวลา 3 ปีครึ่งที่เหลือคนจนจะหมดไปจากประเทศไทยจริง ๆ
ดูไปแล้วการที่ชาวสวนลำไยถูกฉ้อฉลเอาเปรียบให้ขาดทุนฉิบหายปีแล้วปีเล่า ฉิบหายได้ฉิบหายไปก็ไม่ต่างอะไรกับสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ถูกฆ่าได้ถูกฆ่าไป แล้วไม่มีใครแสดงความรับผิดชอบอะไรเลยแม้แต่สักคนเดียว
มาชื่นใจเอาหน่อยหนึ่งก็ที่พลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีหน้าใหม่แห่งกระทรวงมหาดไทยที่ถูกปรามาสว่า “ได้ดีเพราะเป็นสามีเลขานายหญิง” ซึ่งได้ออกมาแถลงว่าจะแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เห็นได้ชัดภายใน 30 วัน
อย่างน้อยได้ฟังคนพูดอย่างนี้ก็ดีกว่าการที่เกิดเหตุแล้วไม่มีใครยอมพูดอะไรเลย
แต่ก็อดจะห่วงใยพลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา ไม่ได้ เพราะหากพ้น 30 วันแล้วเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่คลี่คลายไปแล้วจะทำอย่างไร?
จะบอกว่าพูดไปเพราะไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจปัญหา หรือว่าพูดส่งเดชเพื่อสร้างความมั่นใจตอบโต้กับข้อครหาที่ว่าเป็นใหญ่ได้ดีเพราะเพียงแค่เป็นสามีคุณลูกน้ำก็คงจะไม่ได้ เพราะพูดแบบนี้ความเสียหายจะย้อนกระทบไปถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า
หรือว่าจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือว่าจะทำเป็นเพิกเฉย
จึงต้องมาติดตามดูกันต่อไปว่ามหากาพย์การโกงลำไยจะคลี่คลายไปในทางใด และเมื่อครบ 30 วันแล้ว พลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา จะทำอย่างไรต่อไป?