xs
xsm
sm
md
lg

ไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง ไม่พัฒนา: ทักษิณกับอานันท์ (3)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

อดีตนายกฯอานันท์กรุณาโทรศัพท์มา บอกว่าผมเข้าใจผิด ที่วิตกว่า 3 จังหวัดภาคใต้จะร้องเรียนสหประชาชาติขอตัดสินชะตากรรมตนเองได้ ท่านบอกว่าไม่ได้ เพราะไม่ใช่กรณีอดีตอาณานิคม ท่านได้ยกตัวอย่างและอธิบายให้ผมฟังอีกหลายกรณี เป็นพระคุณที่ช่วยขจัดความโง่ให้ผม ผมชมว่าทั้งท่วงทีและวาจาในทีวีคืนนั้นท่านช่างเปี่ยมเมตตาเสียจริงๆ ท่านหัวเราะชอบใจบอกว่าต้องประคับประคองกันยิ่งกว่า..เสียอีก ใครอยากทราบว่า..คืออะไร โปรดโทรไปถามเอาเอง

ท่านแก้อีกว่าคนที่หายน่ะสองร้อยนะ ไม่ใช่หนึ่งร้อยอย่างที่ผมเขียน ผมเลยเล่าว่าพล.ต.ท.ชูชาติบอกว่ามากกว่านั้นอีก และเมื่อไม่กี่วันนี้ก็เสียผู้ใหญ่บ้านที่เป็นแฟนกันไปอีกคน

ผมขอขมาคุณอานันท์ที่หัวข้อบทความอาจจะทำให้เข้าใจผิดว่า ผมเสียดสีอดีตนายกฯและนายกฯปัจจุบันว่าไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง ไม่พัฒนา จริงๆแล้วผมไม่ได้ว่าทั้งสองท่าน ผมพูดถึงระบบ และพฤติกรรมขององค์ประกอบต่างๆที่อยู่ในระบบ โดยอาศัยท่านเป็นตัวเปิดประเด็น ผมเองก็รู้อยู่ว่า อานันท์กับทักษิณเป็นแต่เพียงกลไกเล็กๆและชั่วคราว ในเครื่องจักรอันมหึมาที่มีความคงทนถาวรกว่าตัวบุคคล บางคนอาจจะนึกว่านายกฯมีอำนาจล้นฟ้า จะต้องควบคุมปรับปรุงแก้ไขระบบได้แน่ๆ ผิดทั้งเพ ระบบต่างหากที่กลืนเอาทั้ง2 ท่านเป็นเหยื่อ หากจะใช้สำนวนคุณหมอประเวศก็ได้ว่า ท่านเป็นเพียงไก่โต้ง 2 ตัวที่อัดอยู่ในเข่งกับไก่ตัวอื่นๆเท่านั้น

เมื่อใคร่ครวญถึงพระราชกระแส ผมต้องยอมรับโดยดีว่า ผมเองก็ใช่ว่าจะเป็นข้อยกเว้น ผมยังขาดความเข้าใจ ผมเองเข้าไม่ถึง และจะให้ทำอย่างไรๆก็เข้าไม่ถึงพี่น้องในสามจังหวัดภาคใต้ เพราะผมไม่มีกิจและมิได้คลุกคลีใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น นอกจากการติดตามหาความรู้และเอาใจช่วยพี่น้องและทางการบ้านเมืองแล้ว ย่อมเรียกได้ว่าผมเป็นคนนอก ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจาก ผู้ที่เราเรียกว่า เจ้าสิทธิ์หรือ stakeholder ได้แก่ประชาชนและผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในนั้น อีกส่วนหนึ่ง ก็คือ คนของทางราชการและสายบังคับบัญชาที่มี(อำนาจ)หน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันไปปฏิบัติงานรับผิดชอบ รับใช้แก้ปัญหา สร้างความเจริญ และนำการพัฒนาไปสู่ภูมิภาคและพี่น้องประชาชน พวกหลังนี้แหละสำคัญ ถึงหากจะไม่เอาไหน-ไร้ความสามารถ ทำอะไรไม่เป็น ก็อย่าทำตัวเป็นปัญหาหรือเป็นผู้ก่อปัญหาเสียเอง เวลานี้ประชาชนเชื่อว่า แท้ที่จริง พวกนี้แหละคือต้นตอของปัญหา จริงหรือไม่จริง ผมว่าน่าจะต้องศึกษาวิเคราะห์กันอย่างละเอียดถี่ถ้วนให้ได้ข้อสรุปที่แน่นอนเสียที

พวกเราหนีไม่พ้นที่จะต้องเห็นใจ สอดส่องให้ผู้ปฏิบัติงานมีสวัสดิการและความปลอดภัย ในขณะเดียวกันการใช้อำนาจหาผลประโยชน์ที่เกินเลยก็จะต้องลงโทษและขจัดให้เฉียบขาด ข้อนี้แหละที่ยากยิ่ง แม้ในยามธรรมดาก็คุมกันไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อมีพ.ร.ก.หรือกฎหมายพิเศษ ใครจะเชื่อว่าคุมได้ทุกขั้นตอน

การบริหารราชการของเราเป็นระบบรวมศูนย์-รวบอำนาจ การปกครองตนเองหรือการปกครองท้องถิ่นยังอ่อนแอและถูกควบคุมภายใต้กฎเหล็กของส่วนกลาง

ที่สำคัญ การเมืองของเรายังด้อยพัฒนา โครงสร้างการตัดสินทางการเมืองขึ้นอยู่กับบุคลาธิษฐานหรือผู้เป็นหัวหน้า สูงสุดก็คือนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนมาตรการและตัวผู้รับผิดชอบบุคคลตั้งแต่ระดับรองนายกฯ รัฐมนตรีมหาดไทย และผู้อำนวยการในพื้นที่ลงมา เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน บางครั้งก็เป็นสัปดาห์ ไม่ถึงเดือนก็มี รัฐมนตรีมหาดไทยยอดฝีมือคนหลังนี้แค่ 4 เดือนก็เปลี่ยน คราวนี้เอาคนที่บินมาทางอากาศ อย่างนี้ จะหาเวลา หาความต่อเนื่องและหาความน่าเชื่อถือมาจากที่ไหน ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งผู้ที่ออกคำสั่ง และ ผู้ที่รับคำสั่ง จึงไม่มีเวลา ไม่มีปัญญา ที่จะ”เข้าใจ และ เข้าถึง” ประชาชน การพัฒนาที่เรานำไปให้จึงเกิดจากความเข้าใจ(ผิดๆ)ของเราเอง ที่ยึดถือเงินกับอำนาจเป็นสรณะ ไม่ตรงกับความต้องการของชาวบ้านเขา

สิ่งที่เราต้องเข้าใจนั้นก็คือ ต้องเข้าใจชาวบ้าน ต้องเข้าใจถึงชีวิตจิตใจและความเป็นอยู่ ความเชื่อ ภาษาวัฒนธรรม ธรรมเนียมประเพณีของ ตลอดจนถึงความทุกข์ความสุขและปัญหาของเขา ความเข้าใจกับความเข้าถึงจะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เข้าใจเพราะเข้าถึง เข้าถึงเพราะเข้าใจ นั่นก็คือ เข้าถึงตัวบุคคล เข้าถึงกลุ่มบุคคลและเข้าถึงชุมชน เข้าถึงบ้าน เข้าถึงมัสยิด เข้าถึงปอเนาะ เข้าถึงวงตะกร้อ เข้าถึงวงกินเหนียว ฯลฯ แปลว่า สามารถไปกับเขาได้ทุกสถานที่ทุกสถานการณ์ เพราะสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นหัวอกเขา ถ้าเป็นอย่างนี้ ปัญหาอะไรก็แก้ได้ ถ้าไม่มีสองอย่างนี้ พัฒนาอย่างไรก็แก้ปัญหาไม่ได้

แต่การแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างแท้จริง จำเป็นจะต้องแก้โครงสร้างทางการเมืองและการบริหารให้คนในพื้นที่มีสิทธิและมีส่วนร่วมทุกระดับ ทั้งนี้ไม่เฉพาะแต่สามจังหวัดภาคใต้เท่านั้น ภาคอื่นๆและจังหวัดอื่นๆก็เหมือนกัน มิฉะนั้น สังคมและบ้านเมืองของเรานอกจากกรุงเทพฯจะเป็นสังคมชั่วคราวไปหมด ชั่วคราวเพราะทรัพยากร งบประมาณและตำแหน่งหน้าที่ถูกผูกขาดโดยคนที่ส่วนกลางส่งมาชั่วคราวทั้งหมด ดังที่ผมเคยเขียนไว้แล้วในเรื่องการปกครองกึ่งเมืองขึ้นแบบคอนโดมีเนียม

เรื่องที่ผมจะเขียนตอนจบนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เพราะผมกำลังจะเสนอว่า การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าใน 3 จังหวัดภาคใต้ จะต้องใช้หลักอโหสิกรรมและหลักกฎหมายธรรมชาติเท่านั้น จึงจะเกิดผลได้ในเวลาที่ไม่นานเกินไป หากรัฐบาลยังใช้วิธีการในปัจจุบัน แม้จะมีกฎหมายพิเศษหรือไม่มี แม้จะมีสมานฉันท์หรือไม่มี ปัญหาจะยังลากยาวไปเรื่อยๆอย่างไม่มีวันจบ

หลักอโหสิกรรมกับหลักกฎหมายธรรมชาติต่างกับหลักที่รัฐบาลใช้อย่างไร

หลักของรัฐบาล คือหลักที่ติดยึดกับทฤษฏีรัฐชาติและระบบประมวลกฎหมายตะวันตก หลักกฎหมายธรรมชาติเป็นหลักที่มองข้ามแต่ไม่ต้องทำลายรัฐชาติหรือประมวลกฎหมายแบบตะวันตก เป็นการมองข้ามบางเวลาเพื่อให้เกิดช่องว่าง และเพื่อเปิดโอกาสให้นำมาตรการที่เหนือกว่า เหมาะสมกว่า สอดคล้องกว่ามาประยุกต์ใช้ได้ ให้สอดคล้องกับปัญหาของมนุษย์ ของชุมชนและลักษณะของปัญหา

การออกกฎหมายพิเศษเป็นการทำลายหลักกฎหมายตะวันตกโดยตรง และต่างกับหลักกฎหมายธรรมชาติ

ผมได้นำเสนอเรื่องนี้มากว่า 2 ปีแล้ว ผู้ที่ใกล้ชิดกับอำนาจมากๆท่านหนึ่งบอกผมว่า ทั้งๆที่เห็นด้วยการวิเคราะห์ปัญหา แต่อดหัวเราะวิธีแก้ปัญหาของผมไม่ได้ ดูๆคล้ายกับว่า ผมเสนอให้อยู่เฉยๆ ปล่อยให้ปัญหามันแก้ตัวเองตามธรรมชาติ

ผมพอจะเข้าใจวาโลกาภิวัตน์และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทำให้พรมแดนและระยะทางหมดความหมาย ซึ่งแปลง่ายๆว่า ใครจะไปทำอะไรที่ไหนเมื่อไรก็ได้ อำนาจรัฐถูกมองข้าม ถูกทำลายหรือถูกจำกัดลงมากกว่าเดิม ด้วยนัยนี้ การส่งอาวุธเงินทอง หรือแม้แต่การไปตั้งค่ายฝึกผู้ก่อการร้าย จะไปทำในรัฐที่เป็นมิตรหรือศัตรูหรือแม้แต่ใต้จมูกฝ่ายตรงกันข้ามก็ไม่ยาก ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลของประเทศนั้นๆจะต้องยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจไปด้วยทุกกรณี เพื่อความแน่ใจ ผมลองถามดร.สุร ชาติ บำรุงสุข ที่ปรึกษาความมั่นคงว่า บ้านเราหรือใกล้บ้านเรามีหรือไม่ ได้รับคำตอบว่า มี

ผมจึงเห็นว่า ข้อเสนอของผมถูกต้องแล้ว แต่เราควรจะมองข้ามความเป็นรัฐชาติเฉพาะภายในประเทศ โดยอย่ามัวแต่ไปห่วงแต่การแบ่งแยก แต่เราจะต้องป้องกันบูรณภาพแห่งดินแดนโดยการปิด ควบคุมและตรวจตราชายแดนของเราทั้งทางบก เรือ อากาศให้เฉียบขาดแน่นหนาที่สุดเพื่อป้องกันการแทรกซึม ถ้าเราทำ ใครเขาจะว่าอะไร

ผมได้ขอความรู้จากคุณหมอเสม พริ้งพวงแก้ว ผมกับท่านเห็นตรงกันว่า หลักอโหสิกรรม และความเมตตากรุณา มีอยู่ในทุกศาสนา ในศาสนาพุทธและอิสลามมีอยู่อย่างพิสดารและมากมาย สามารถนำมาใช้ได้ในทุกสถานการณ์ น่าจะต้องนำมาประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง แต่ตราบใดที่เรายังใช้ประมวลกฎหมาย(ตะวันตก)อยู่โดยไม่ลืมหูลืมตา เราก็จะติดหล่มออกไม่ได้ ผู้ทำผิดกฎหมายจะต้องรับโทษทุกกรณี ยกเว้นแต่จะรอลงอาญา อภัยโทษ หรือนิรโทษกรรม ทั้งหมดนี้สู้อโหสิกรรมไม่ได้ ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถนำอโหสิกรรมมาใช้ได้

สำหรับกฎหมายธรรมชาติ(Law of Nature) ที่ตั้งขึ้นเป็นทฤษฏีก็เป็นของตะวันตก แต่ในความเป็นจริง ในวิถีชีวิตแห่งชุมชน กฎหมายธรรมชาติก็มีอยู่ทั่วไป

ศ.สมบัติ จันทรวงศ์ รอบรู้เรื่องนี้ดีกว่าผม ผมจะเชิญท่านเขียนบทความสักหนึ่งบท ข้อเสนอของผมที่ให้ควบคุมพรมแดนอย่างเฉียบขาด ต้องตามด้วยมาตรการภายในที่ประกอบด้วยการถอนกำลังทหารตำรวจและเจ้าหน้าที่จากกระทรวงทบวงกรมสวนกลางออกไปจากสามจังหวัดภาคใต้ให้เร็วและมากที่สุด เหลือไว้แต่ที่จำเป็นจริง ๆ และรีบจัดตั้งและปรับโครงสร้างการปกครองท้องถิ่นให้ประชาชนได้ปกครองตนเองอย่างแท้จริง กล่าวคือ ให้เป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบ และมีอิสระในงบประมาณและภาษีอากรของท้องถิ่นเอง รัฐบาลจะจัดให้เฉพาะสิ่งที่ขาดเหลือไม่พอหรือตามคำร้องขอ ส่วนกฎหมายเพื่อความสงบและศีลธรรมอันดีของหมู่ชนนั้น จะต้องประชุมปรึกษาหารือกันให้ชัดเจนหรือทั่วถึง ว่าจะใช้หลักตามสภาพก่อนที่ดินแดนสามจังหวัดจะผนวกเข้ากับรัฐไทย หรือจะใช้ตามสภาพและโครงสร้างปัจจุบัน(ความเป็นสังคมมุสลิม) หรืออยากใช้รูปแบบที่ประยุกต์มาจากมาเลเซียในปัจจุบัน ผมเองไม่เชื่อเรื่องประหารชีวิตมิฉะนั้น ผมอยากเห็นเราเอาระบบความมั่นคงภายในของมาเลเซีย มาใช้ทุกจังหวัดด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในเรื่องพกพาอาวุธ ยาเสพติด และการล่วงละเมิดสตรีเพศ ซึ่งโทษแรงถึงประหารทั้งนั้น ผมอยากให้พี่น้องสามจังหวัดมีประชามติว่าจะเลือกอะไร

ผมยืนยันว่าผมมิได้สนับสนุนการแก้ปัญหาด้วยอาวุธ ไมว่าจะโดยฝ่ายใด ผมเชื่อว่า พี่น้องสามจังหวัดส่วนใหญ่ไม่ต้องการแยกดินแดน ผมเชื่อว่ามาเลเซียไม่ต้องการ 3 จังหวัดภาคใต้ เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาโดยสมุฏฐานดังกล่าวย่อมจะไม่ถูก
กำลังโหลดความคิดเห็น