สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ประกาศลอยตัวค่าเงินหยวนแล้ว แต่ไม่ใช่เป็นการลอยตัวแบบใบบัวลอยน้ำ ที่น้ำขึ้นลงถึงไหนก็ขึ้นลงได้ถึงนั่น หากเป็นการลอยตัวแบบที่มีการจัดการ คือจัดการการลอยตัวให้อยู่ในขอบเขตที่จะเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของจีน
เคยกล่าวมาบ้างแล้วว่าในศตวรรษที่ 21 นี้ สงครามสกุลเงินระหว่างสกุลดอลลาร์ของอเมริกา ยูโรของยุโรป และหยวนของจีน จะเป็นสามก๊กทางการเงินที่ระบือลือลั่นอันควรแก่การจับตาศึกษาและทำความเข้าใจ
โดยนัยยะแห่งการกล่าวนั้นก็จะกล่าวต่อไปว่า การลอยตัวค่าเงินหยวนแบบมีการจัดการในครั้งนี้ก็คือการดำเนินกลยุทธ์หรือยุทธวิธีอย่างหนึ่งในสงครามทางการเงินของจีน ดังนั้นการที่ใครต่อใครพากันมองว่าจะได้ประโยชน์จากการลอยตัวค่าเงินหยวนของจีนอย่างนั้นอย่างนี้ก็ควรที่จะได้ทำความรู้ ทำความเข้าใจ ในเรื่องนี้กันให้ทั่วด้าน มิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นการเล็งการเลิศหรือเล็งผลดีแต่ด้านเดียว
การประกาศลอยตัวค่าเงินหยวนแบบมีการจัดการในครั้งนี้ทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นไปราว 2% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นการแข็งตัวที่น้อยกว่าน้อยนัก เพราะหากพิจารณาค่าเงินหยวนที่แท้จริงในปัจจุบันนี้ก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วว่าอ่อนค่ากว่าความเป็นจริง และค่าความเป็นจริงน่าจะอยู่ที่ 7 หยวนเศษ ๆ ต่อเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
หรือหากจะเทียบเป็นเงินบาท การลอยตัวค่าเงินหยวนแบบมีการจัดการครั้งนี้ทำให้เงินหยวนมีค่าราว 5.20 บาท จากที่เคยมีค่าอยู่ราว ๆ 5.05 บาท และหากจะพิจารณาค่าที่แท้จริงก็น่าจะอยู่ราว ๆ 6.20 บาท ดังนั้นจึงเป็นการแข็งค่าที่น้อยนิดและแทบจะไม่ทำให้ไทยได้รับประโยชน์อะไรเลย นอกจากได้รับประโยชน์ทางจิตวิทยาที่อาจเอาไปโฆษณาชวนเชื่ออะไรต่อมิอะไรได้บ้างเท่านั้น
ข้อน่าสังเกตก็คือ ความคิดเห็นของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่จู่ ๆ ก็หลุดโลกออกมาพูดว่าการแข็งค่าเงินหยวนในครั้งนี้แสดงว่าจีนฉลาดและอเมริกาโง่กว่าจีน ซึ่งต้องถือว่าเป็นครั้งแรกที่คนระดับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตำหนิธนาคารกลางของอเมริกาว่าโง่ คือโง่กว่าจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจ
เพราะความคิดแบบนี้หากไม่ถูกต้องแม่นยำเหมือนกับการเข้าฌานแล้วก็อาจเกิดมาตรการประหลาด ๆ ที่อาจทำให้อัตราค่าเงินบาทต้องได้รับผลกระทบกระเทือนก็ได้
การแข็งค่าเงินหยวนในครั้งนี้ผิดคิดผิดคาดของผู้คนทั้งโลกเพราะบรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลายที่ยึดถือเอาข้อมูลข่าวสารจากตะวันตกเป็นสรณะต่างคาดหมายกันไว้ว่าจีนจะต้องลอยตัวค่าเงินหยวนในห้วงเวลาเดือนกันยายนปีนี้ และจะเป็นการลอยตัวค่าเงินหยวนแบบเต็มที่ คือลอยตัวแบบใบบัวลอยน้ำนั่นเอง
ที่ผิดคิดผิดคาดก็เพราะว่าคิดและคาดโดยไม่ถือจีนเป็นเหตุเป็นปัจจัยในการคิดและในการคาด แต่ไปถือเอาข้อมูลข่าวสารและแรงบีบคั้นของอเมริกาเป็นหลัก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ต้องผิดคิดผิดคาด เพราะการมองจีนนั้นจะไปใส่แว่นตะวันตกไม่ได้ หากต้องใส่แว่นตะวันออก จึงจะมองเห็นความจริงของจีนได้ชัดขึ้น
ความจริงเรื่องนี้จีนได้แสดงท่าทีเป็นนัย ๆ มาโดยลำดับแล้ว
ท่าทีแรกก็คือท่าทีของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลและเป็นองค์กรนำสูงสุดของรัฐบาล กองทัพ องค์กรประชาชนและประชาชนจีนทั้งมวล ที่ได้แสดงท่าทีผ่านทางประธานาธิบดีหูจิ่นเทา นายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่า ผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน และนักวิชาการ ตลอดจนนักวิเคราะห์ของจีนมาเป็นลำดับว่าการปรับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินหยวนของจีนหรือไม่เมื่อใดนั้นไม่ขึ้นกับการบีบบังคับจากภายนอก แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ของประเทศจีนและประชาชนจีน ดังนั้นจีนจะปรับค่าเงินหยวนหรือไม่เมื่อใดจึงขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของประเทศจีนและประชาชนจีนเป็นหลัก
ท่าทีที่สองก็คือท่าทีที่ต่อเนื่องจากท่าทีแรกว่าการปรับอัตราค่าเงินหยวนนั้นจะอ่อนหรือแข็งค่าไปเท่าใด เป็นเรื่องที่จะต้องเป็นไปบนพื้นฐานผลประโยชน์และความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ของประเทศจีนและประชาชนจีนเป็นหลัก
ดังนั้นการลอยตัวค่าเงินหยวนแบบมีการจัดการของจีนในครั้งนี้จึงเป็นไปตามท่าทีที่แสดงออกมาโดยลำดับของบรรดาผู้นำพรรคและรัฐของจีนดังกล่าวนั่นเอง ไม่ใช่เกิดขึ้นจากแรงกดดันของชาติมหาอำนาจหรือประเทศใด ๆ เหตุนี้จึงย่อมเกิดความผิดคิดผิดคาดแก่ผู้ที่มองจีนด้วยสายตาและแว่นตาตะวันตก
ทำไมจีนจึงลอยตัวค่าเงินหยวนในห้วงเวลานี้?
เหตุผลก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้ประเทศในเอเชียนั้นมีอยู่เพียง 3 ประเทศที่ผูกค่าเงินของตนไว้กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบขึ้นลงด้วยกันเท่าไหร่ก็เท่ากัน คือ จีน สิงคโปร์และมาเลเซีย
การผูกค่าเงินเช่นนั้นจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อตราบใดที่เงินสกุลดอลลาร์มีเสถียรภาพ มีความมั่นคงและมีความแน่นอน ก็จะทำให้สกุลเงินที่ผูกอยู่นั้นพลอยมีเสถียรภาพ ความมั่นคงและความแน่นอนตามไปด้วย
แต่เหตุผลนั้นจะใช้ไม่ได้เลยและอ้างอิงเอาประโยชน์อันใดไม่ได้เลยถ้าหากว่าเงินสกุลดอลลาร์ของอเมริกามีเสถียรภาพ ความมั่นคงและความแน่นอนเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ ซึ่งบัดนี้และอนาคตแต่นี้ไปจีนได้มองเห็นแล้วว่าเงินดอลลาร์ของอเมริกาไม่ได้มีสถานะดังแต่ก่อนแล้ว มีความง่อนแง่นและความหวั่นไหวมากมาย แล้วเรื่องอะไรที่จีนจะต้องผูกเงินหยวนไว้กับเงินดอลลาร์ของอเมริกาอีกต่อไป
เหตุผลต่อไปก็คือหากจีนได้ลอยตัวค่าเงินหยวนแล้วก็จะกดดันให้สิงคโปร์และมาเลเซียที่เคยได้เปรียบจากอัตราแลกเปลี่ยนในการส่งออกและบริการแก่ชาวโลกโดยเฉพาะชาวเอเชียทั้งมวลนั้นให้ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย
สิงคโปร์เป็นลูกน้องใคร เป็นตัวแทนนายหน้าใครก็รู้ ๆ กันอยู่ แต่มาเลเซียนั้นย่อมได้รับผลกระทบไปตามสถานการณ์ใหญ่ แต่ก็เห็นจะไม่เป็นไรนักเพราะมาเลเซียในวันนี้เป็นชาติมหาเศรษฐีเสียแล้ว และมีความชำนาญการเงินการค้าระหว่างประเทศไม่แพ้ใครในโลก ผลกระทบต่อมาเลเซียจึงไม่มากนัก
ถึงกระนั้นการทำให้ทั่วทั้งภูมิภาคนี้ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องการค้าขายและอัตราแลกเปลี่ยนจึงมีแต่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชาติทั้งโลกและทั้งภูมิภาค
เหตุผลใหญ่ใจกลางที่สำคัญก็คือจีนในวันนี้ไม่ใช่จีนในอดีตแล้ว ลัทธิสังคมนิยมแบบการตลาดของจีนได้ยืนขึ้นในเวทีโลกยุคใหม่ หลังจากที่สาธารณรัฐประชาชนจีนและประชาชนจีนได้ลุกขึ้นยืนในสังคมการเมืองของโลกตามคำประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนของประธานเหมาเจ๋อตงแล้ว
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตต่อเนื่องมาเป็นเวลาร่วม 20 ปีนับแต่ยุคของเติ้งเสี่ยวผิง ทำให้จีนเป็นแหล่งลงทุน แหล่งท่องเที่ยว แหล่งการค้า แหล่งบริการที่ยิ่งใหญ่ของโลก และในระยะสิบปีหลังมานี้เงินลงทุนจากทั่วโลกได้หลั่งไหลเข้าไปในจีนอย่างล้นหลาม
จีนได้พ้นจากประเทศลูกหนี้เป็นประเทศเจ้าหนี้ พ้นจากประเทศที่เสียดุลการค้าและบริการเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าและบริการ ฐานะการเงินของประเทศแข็งแกร่งในระดับแนวหน้าของโลก เงินสำรองระหว่างประเทศของจีนมีปริมาณเกือบจะมากที่สุดของโลกแล้ว และถ้าหากรวมเงินสำรองระหว่างประเทศของจีน ฮ่องกง และมาเก๊าเข้าด้วยกันก็ยิ่งทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศของจีนมีจำนวนมากและมั่นคงอยู่ในแถวหน้าสุดของโลก
สภาพเหล่านี้ทำให้จีนมีฐานะที่ได้เปรียบในทางเศรษฐกิจ การค้าต่อทั่วโลก กระทั่งทำให้อเมริกาเองหวาดหวั่นผวาว่าในอีกสิบกว่าปีข้างหน้ารายได้ประชาชาติของจีนจะเติบโตเท่ากับรายได้ประชาชาติของอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตระหนกตกใจของฝ่ายนำอเมริกาอย่างใหญ่หลวง
พรรคคอมมิวนิสต์จีนและศูนย์การนำในรุ่นที่สี่ของจีนเขารู้จักพอ เขาเห็นโทษของการได้เปรียบชาติอื่น และเขายังคงยึดมั่นในลัทธิมาร์คเลนิน ความคิดเหมาเจ๋อตง และทฤษฎีของเติ้งเสี่ยวผิง ดังนั้นแนวคิดทฤษฎีวิภาษวิธีในการลดทอนผลร้ายของความได้เปรียบจึงนำไปสู่การลอยตัวค่าเงินหยวนในครั้งนี้ ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่เหมาะสมและดีที่สุด เพราะเป็นห้วงเวลาที่ทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญหน้าทางวิกฤตทางเศรษฐกิจและน้ำมัน ในขณะที่อเมริกากำลังได้กำไรจากผลประโยชน์น้ำมันอย่างมหาศาล แต่ก็มีภาระรายจ่ายจากด้านความมั่นคงควบคู่ขนานตามไปด้วย
นั่นเป็นเรื่องแรกที่ว่าเหตุใดจีนจึงลอยตัวค่าเงินหยวนในห้วงเวลานี้ เรื่องถัดมาก็คือทำไมจึงมีการลอยตัวแบบมีการจัดการและลอยตัวแค่ 2%?
เหตุผลก็เพราะว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ แม้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะต่อเนื่องมาร่วม 20 ปี แต่คณะผู้นำของจีนก็มิได้ตั้งอยู่ในความประมาท ยังคงยืนหยัดในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจทั้งของจีนและผลที่จะกระทบต่อชาวโลก ดังที่เคยมีคำกล่าวว่าจีนเหมือนเรือลำใหญ่ จะหันซ้ายหันขวาก็ต้องใช้เวลา ดังนั้นแม้ทิศทางใหญ่คือการลอยตัว แต่ถ้าเป็นการลอยตัวแบบใบบัวลอยน้ำก็จะทำให้ระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเงินของจีนตกอยู่ในความเสี่ยง
จีนเขาจึงไม่ใช้วิธีตัดสินใจแบบการพยุงค่าน้ำมันของประเทศไทย แต่เป็นการตัดสินใจที่คิดทั้งเชิงรุกและเชิงถอยทั้งสองด้าน ดังนั้นจึงเป็นการลอยตัวแบบมีการจัดการ ซึ่งจีนเชื่อมั่นว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในทุกสถานการณ์
การลอยตัวค่าเงินหยวนเพียง 2% อย่าได้หมายความว่าจะทำให้เงินลงทุนไหลออกจากจีน เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วว่าค่าเงินหยวนที่แท้จริงยังสูงกว่านี้มาก จีนเขาลอยตัวแค่ 2% แต่ก็ได้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมาโดยลำดับก่อนหน้านี้แล้วว่าจีนอาจปรับค่าเงินหยวนเป็นลำดับ ๆ ไป นั่นหมายความว่านักลงทุนทั้งหลายทั่วโลกยังคงวางใจได้ว่าการเข้าไปลงทุนในจีนจะไม่เสียหายในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน มีแต่จะได้ผลประโยชน์และกำไรเพิ่มขึ้น
แม้ผู้ที่ไปลงทุนแล้วก็ไม่ต้องมีความคิดที่จะถอนเงินลงทุนเพราะการลงทุนต่อไปก็ยังมีความหวังว่าจะได้กำไรเพิ่มขึ้นไปอีก
การลอยตัวแบบนี้จึงเป็นการลอยตัวที่รักษาเงินลงทุนเก่าและยังคงจูงใจดึงเงินลงทุนใหม่ต่อไปดังเดิม
การลอยตัวเป็นเพียง 2% ไม่ได้ทำให้สินค้าจีนซึ่งมีราคาถูกมากในตลาดโลกสู้กับราคาสินค้าของชาติอื่นไม่ได้ เพราะราคาสินค้าจีนอาจจะต่ำกว่าราคาสินค้าของชาติอื่นระหว่าง 20-70% เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเพียง 2% ก็ไม่ได้ทำให้จีนเสียเปรียบอะไรเพิ่มมากขึ้นและไม่ได้ทำให้ชาติอื่นได้เปรียบจีนเท่าใดนัก
พูดให้ชัด ๆ ก็คือการได้เปรียบของจีนลดลงเท่านั้น
ประเทศไทยของเราหากคิดจะแข่งขันกับจีนและจะทำให้ได้เปรียบในทางการค้าการส่งออกก็คงจะเป็นการคิดที่ผิดและเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะยังไม่อยู่ในฐานะอะไรที่จะได้เปรียบ มีแต่เสียเปรียบน้อยลง
วิธีคิดที่ถูกต้องต่อความสัมพันธ์ไทย-จีนก็คือการกระชับความเป็นพันธมิตร ต้องหลีกเลี่ยงไม่เป็นคู่แข่งในทุกทาง ความเป็นพันธมิตรจะทำให้ไทยได้ประโยชน์ร่วมกันกับจีน แต่ความเป็นคู่แข่งจะทำให้ไทยเสียหายและเสียประโยชน์และจะกลายเป็นการแข่งขันที่ไม่มีวันชนะเลย
เคยกล่าวมาบ้างแล้วว่าในศตวรรษที่ 21 นี้ สงครามสกุลเงินระหว่างสกุลดอลลาร์ของอเมริกา ยูโรของยุโรป และหยวนของจีน จะเป็นสามก๊กทางการเงินที่ระบือลือลั่นอันควรแก่การจับตาศึกษาและทำความเข้าใจ
โดยนัยยะแห่งการกล่าวนั้นก็จะกล่าวต่อไปว่า การลอยตัวค่าเงินหยวนแบบมีการจัดการในครั้งนี้ก็คือการดำเนินกลยุทธ์หรือยุทธวิธีอย่างหนึ่งในสงครามทางการเงินของจีน ดังนั้นการที่ใครต่อใครพากันมองว่าจะได้ประโยชน์จากการลอยตัวค่าเงินหยวนของจีนอย่างนั้นอย่างนี้ก็ควรที่จะได้ทำความรู้ ทำความเข้าใจ ในเรื่องนี้กันให้ทั่วด้าน มิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นการเล็งการเลิศหรือเล็งผลดีแต่ด้านเดียว
การประกาศลอยตัวค่าเงินหยวนแบบมีการจัดการในครั้งนี้ทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นไปราว 2% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นการแข็งตัวที่น้อยกว่าน้อยนัก เพราะหากพิจารณาค่าเงินหยวนที่แท้จริงในปัจจุบันนี้ก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วว่าอ่อนค่ากว่าความเป็นจริง และค่าความเป็นจริงน่าจะอยู่ที่ 7 หยวนเศษ ๆ ต่อเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
หรือหากจะเทียบเป็นเงินบาท การลอยตัวค่าเงินหยวนแบบมีการจัดการครั้งนี้ทำให้เงินหยวนมีค่าราว 5.20 บาท จากที่เคยมีค่าอยู่ราว ๆ 5.05 บาท และหากจะพิจารณาค่าที่แท้จริงก็น่าจะอยู่ราว ๆ 6.20 บาท ดังนั้นจึงเป็นการแข็งค่าที่น้อยนิดและแทบจะไม่ทำให้ไทยได้รับประโยชน์อะไรเลย นอกจากได้รับประโยชน์ทางจิตวิทยาที่อาจเอาไปโฆษณาชวนเชื่ออะไรต่อมิอะไรได้บ้างเท่านั้น
ข้อน่าสังเกตก็คือ ความคิดเห็นของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่จู่ ๆ ก็หลุดโลกออกมาพูดว่าการแข็งค่าเงินหยวนในครั้งนี้แสดงว่าจีนฉลาดและอเมริกาโง่กว่าจีน ซึ่งต้องถือว่าเป็นครั้งแรกที่คนระดับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตำหนิธนาคารกลางของอเมริกาว่าโง่ คือโง่กว่าจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจ
เพราะความคิดแบบนี้หากไม่ถูกต้องแม่นยำเหมือนกับการเข้าฌานแล้วก็อาจเกิดมาตรการประหลาด ๆ ที่อาจทำให้อัตราค่าเงินบาทต้องได้รับผลกระทบกระเทือนก็ได้
การแข็งค่าเงินหยวนในครั้งนี้ผิดคิดผิดคาดของผู้คนทั้งโลกเพราะบรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลายที่ยึดถือเอาข้อมูลข่าวสารจากตะวันตกเป็นสรณะต่างคาดหมายกันไว้ว่าจีนจะต้องลอยตัวค่าเงินหยวนในห้วงเวลาเดือนกันยายนปีนี้ และจะเป็นการลอยตัวค่าเงินหยวนแบบเต็มที่ คือลอยตัวแบบใบบัวลอยน้ำนั่นเอง
ที่ผิดคิดผิดคาดก็เพราะว่าคิดและคาดโดยไม่ถือจีนเป็นเหตุเป็นปัจจัยในการคิดและในการคาด แต่ไปถือเอาข้อมูลข่าวสารและแรงบีบคั้นของอเมริกาเป็นหลัก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ต้องผิดคิดผิดคาด เพราะการมองจีนนั้นจะไปใส่แว่นตะวันตกไม่ได้ หากต้องใส่แว่นตะวันออก จึงจะมองเห็นความจริงของจีนได้ชัดขึ้น
ความจริงเรื่องนี้จีนได้แสดงท่าทีเป็นนัย ๆ มาโดยลำดับแล้ว
ท่าทีแรกก็คือท่าทีของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลและเป็นองค์กรนำสูงสุดของรัฐบาล กองทัพ องค์กรประชาชนและประชาชนจีนทั้งมวล ที่ได้แสดงท่าทีผ่านทางประธานาธิบดีหูจิ่นเทา นายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่า ผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน และนักวิชาการ ตลอดจนนักวิเคราะห์ของจีนมาเป็นลำดับว่าการปรับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินหยวนของจีนหรือไม่เมื่อใดนั้นไม่ขึ้นกับการบีบบังคับจากภายนอก แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ของประเทศจีนและประชาชนจีน ดังนั้นจีนจะปรับค่าเงินหยวนหรือไม่เมื่อใดจึงขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของประเทศจีนและประชาชนจีนเป็นหลัก
ท่าทีที่สองก็คือท่าทีที่ต่อเนื่องจากท่าทีแรกว่าการปรับอัตราค่าเงินหยวนนั้นจะอ่อนหรือแข็งค่าไปเท่าใด เป็นเรื่องที่จะต้องเป็นไปบนพื้นฐานผลประโยชน์และความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ของประเทศจีนและประชาชนจีนเป็นหลัก
ดังนั้นการลอยตัวค่าเงินหยวนแบบมีการจัดการของจีนในครั้งนี้จึงเป็นไปตามท่าทีที่แสดงออกมาโดยลำดับของบรรดาผู้นำพรรคและรัฐของจีนดังกล่าวนั่นเอง ไม่ใช่เกิดขึ้นจากแรงกดดันของชาติมหาอำนาจหรือประเทศใด ๆ เหตุนี้จึงย่อมเกิดความผิดคิดผิดคาดแก่ผู้ที่มองจีนด้วยสายตาและแว่นตาตะวันตก
ทำไมจีนจึงลอยตัวค่าเงินหยวนในห้วงเวลานี้?
เหตุผลก็อยู่ที่ปัจจุบันนี้ประเทศในเอเชียนั้นมีอยู่เพียง 3 ประเทศที่ผูกค่าเงินของตนไว้กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบขึ้นลงด้วยกันเท่าไหร่ก็เท่ากัน คือ จีน สิงคโปร์และมาเลเซีย
การผูกค่าเงินเช่นนั้นจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อตราบใดที่เงินสกุลดอลลาร์มีเสถียรภาพ มีความมั่นคงและมีความแน่นอน ก็จะทำให้สกุลเงินที่ผูกอยู่นั้นพลอยมีเสถียรภาพ ความมั่นคงและความแน่นอนตามไปด้วย
แต่เหตุผลนั้นจะใช้ไม่ได้เลยและอ้างอิงเอาประโยชน์อันใดไม่ได้เลยถ้าหากว่าเงินสกุลดอลลาร์ของอเมริกามีเสถียรภาพ ความมั่นคงและความแน่นอนเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ ซึ่งบัดนี้และอนาคตแต่นี้ไปจีนได้มองเห็นแล้วว่าเงินดอลลาร์ของอเมริกาไม่ได้มีสถานะดังแต่ก่อนแล้ว มีความง่อนแง่นและความหวั่นไหวมากมาย แล้วเรื่องอะไรที่จีนจะต้องผูกเงินหยวนไว้กับเงินดอลลาร์ของอเมริกาอีกต่อไป
เหตุผลต่อไปก็คือหากจีนได้ลอยตัวค่าเงินหยวนแล้วก็จะกดดันให้สิงคโปร์และมาเลเซียที่เคยได้เปรียบจากอัตราแลกเปลี่ยนในการส่งออกและบริการแก่ชาวโลกโดยเฉพาะชาวเอเชียทั้งมวลนั้นให้ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย
สิงคโปร์เป็นลูกน้องใคร เป็นตัวแทนนายหน้าใครก็รู้ ๆ กันอยู่ แต่มาเลเซียนั้นย่อมได้รับผลกระทบไปตามสถานการณ์ใหญ่ แต่ก็เห็นจะไม่เป็นไรนักเพราะมาเลเซียในวันนี้เป็นชาติมหาเศรษฐีเสียแล้ว และมีความชำนาญการเงินการค้าระหว่างประเทศไม่แพ้ใครในโลก ผลกระทบต่อมาเลเซียจึงไม่มากนัก
ถึงกระนั้นการทำให้ทั่วทั้งภูมิภาคนี้ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องการค้าขายและอัตราแลกเปลี่ยนจึงมีแต่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชาติทั้งโลกและทั้งภูมิภาค
เหตุผลใหญ่ใจกลางที่สำคัญก็คือจีนในวันนี้ไม่ใช่จีนในอดีตแล้ว ลัทธิสังคมนิยมแบบการตลาดของจีนได้ยืนขึ้นในเวทีโลกยุคใหม่ หลังจากที่สาธารณรัฐประชาชนจีนและประชาชนจีนได้ลุกขึ้นยืนในสังคมการเมืองของโลกตามคำประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนของประธานเหมาเจ๋อตงแล้ว
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตต่อเนื่องมาเป็นเวลาร่วม 20 ปีนับแต่ยุคของเติ้งเสี่ยวผิง ทำให้จีนเป็นแหล่งลงทุน แหล่งท่องเที่ยว แหล่งการค้า แหล่งบริการที่ยิ่งใหญ่ของโลก และในระยะสิบปีหลังมานี้เงินลงทุนจากทั่วโลกได้หลั่งไหลเข้าไปในจีนอย่างล้นหลาม
จีนได้พ้นจากประเทศลูกหนี้เป็นประเทศเจ้าหนี้ พ้นจากประเทศที่เสียดุลการค้าและบริการเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าและบริการ ฐานะการเงินของประเทศแข็งแกร่งในระดับแนวหน้าของโลก เงินสำรองระหว่างประเทศของจีนมีปริมาณเกือบจะมากที่สุดของโลกแล้ว และถ้าหากรวมเงินสำรองระหว่างประเทศของจีน ฮ่องกง และมาเก๊าเข้าด้วยกันก็ยิ่งทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศของจีนมีจำนวนมากและมั่นคงอยู่ในแถวหน้าสุดของโลก
สภาพเหล่านี้ทำให้จีนมีฐานะที่ได้เปรียบในทางเศรษฐกิจ การค้าต่อทั่วโลก กระทั่งทำให้อเมริกาเองหวาดหวั่นผวาว่าในอีกสิบกว่าปีข้างหน้ารายได้ประชาชาติของจีนจะเติบโตเท่ากับรายได้ประชาชาติของอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตระหนกตกใจของฝ่ายนำอเมริกาอย่างใหญ่หลวง
พรรคคอมมิวนิสต์จีนและศูนย์การนำในรุ่นที่สี่ของจีนเขารู้จักพอ เขาเห็นโทษของการได้เปรียบชาติอื่น และเขายังคงยึดมั่นในลัทธิมาร์คเลนิน ความคิดเหมาเจ๋อตง และทฤษฎีของเติ้งเสี่ยวผิง ดังนั้นแนวคิดทฤษฎีวิภาษวิธีในการลดทอนผลร้ายของความได้เปรียบจึงนำไปสู่การลอยตัวค่าเงินหยวนในครั้งนี้ ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่เหมาะสมและดีที่สุด เพราะเป็นห้วงเวลาที่ทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญหน้าทางวิกฤตทางเศรษฐกิจและน้ำมัน ในขณะที่อเมริกากำลังได้กำไรจากผลประโยชน์น้ำมันอย่างมหาศาล แต่ก็มีภาระรายจ่ายจากด้านความมั่นคงควบคู่ขนานตามไปด้วย
นั่นเป็นเรื่องแรกที่ว่าเหตุใดจีนจึงลอยตัวค่าเงินหยวนในห้วงเวลานี้ เรื่องถัดมาก็คือทำไมจึงมีการลอยตัวแบบมีการจัดการและลอยตัวแค่ 2%?
เหตุผลก็เพราะว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ แม้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะต่อเนื่องมาร่วม 20 ปี แต่คณะผู้นำของจีนก็มิได้ตั้งอยู่ในความประมาท ยังคงยืนหยัดในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจทั้งของจีนและผลที่จะกระทบต่อชาวโลก ดังที่เคยมีคำกล่าวว่าจีนเหมือนเรือลำใหญ่ จะหันซ้ายหันขวาก็ต้องใช้เวลา ดังนั้นแม้ทิศทางใหญ่คือการลอยตัว แต่ถ้าเป็นการลอยตัวแบบใบบัวลอยน้ำก็จะทำให้ระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเงินของจีนตกอยู่ในความเสี่ยง
จีนเขาจึงไม่ใช้วิธีตัดสินใจแบบการพยุงค่าน้ำมันของประเทศไทย แต่เป็นการตัดสินใจที่คิดทั้งเชิงรุกและเชิงถอยทั้งสองด้าน ดังนั้นจึงเป็นการลอยตัวแบบมีการจัดการ ซึ่งจีนเชื่อมั่นว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในทุกสถานการณ์
การลอยตัวค่าเงินหยวนเพียง 2% อย่าได้หมายความว่าจะทำให้เงินลงทุนไหลออกจากจีน เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วว่าค่าเงินหยวนที่แท้จริงยังสูงกว่านี้มาก จีนเขาลอยตัวแค่ 2% แต่ก็ได้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมาโดยลำดับก่อนหน้านี้แล้วว่าจีนอาจปรับค่าเงินหยวนเป็นลำดับ ๆ ไป นั่นหมายความว่านักลงทุนทั้งหลายทั่วโลกยังคงวางใจได้ว่าการเข้าไปลงทุนในจีนจะไม่เสียหายในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน มีแต่จะได้ผลประโยชน์และกำไรเพิ่มขึ้น
แม้ผู้ที่ไปลงทุนแล้วก็ไม่ต้องมีความคิดที่จะถอนเงินลงทุนเพราะการลงทุนต่อไปก็ยังมีความหวังว่าจะได้กำไรเพิ่มขึ้นไปอีก
การลอยตัวแบบนี้จึงเป็นการลอยตัวที่รักษาเงินลงทุนเก่าและยังคงจูงใจดึงเงินลงทุนใหม่ต่อไปดังเดิม
การลอยตัวเป็นเพียง 2% ไม่ได้ทำให้สินค้าจีนซึ่งมีราคาถูกมากในตลาดโลกสู้กับราคาสินค้าของชาติอื่นไม่ได้ เพราะราคาสินค้าจีนอาจจะต่ำกว่าราคาสินค้าของชาติอื่นระหว่าง 20-70% เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเพียง 2% ก็ไม่ได้ทำให้จีนเสียเปรียบอะไรเพิ่มมากขึ้นและไม่ได้ทำให้ชาติอื่นได้เปรียบจีนเท่าใดนัก
พูดให้ชัด ๆ ก็คือการได้เปรียบของจีนลดลงเท่านั้น
ประเทศไทยของเราหากคิดจะแข่งขันกับจีนและจะทำให้ได้เปรียบในทางการค้าการส่งออกก็คงจะเป็นการคิดที่ผิดและเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะยังไม่อยู่ในฐานะอะไรที่จะได้เปรียบ มีแต่เสียเปรียบน้อยลง
วิธีคิดที่ถูกต้องต่อความสัมพันธ์ไทย-จีนก็คือการกระชับความเป็นพันธมิตร ต้องหลีกเลี่ยงไม่เป็นคู่แข่งในทุกทาง ความเป็นพันธมิตรจะทำให้ไทยได้ประโยชน์ร่วมกันกับจีน แต่ความเป็นคู่แข่งจะทำให้ไทยเสียหายและเสียประโยชน์และจะกลายเป็นการแข่งขันที่ไม่มีวันชนะเลย