xs
xsm
sm
md
lg

Mandrake

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน


ถึงแม้ว่ามนุษย์จะรู้จักปลูกพืชมานานร่วมหมื่นปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ศึกษามันอย่างจริงจัง จนกระทั่งเมื่อ 3,000 ปีก่อนนี้เอง ทั้งนี้คงเป็นเพราะมนุษย์คิดว่าพืชมีขึ้นอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่สัตว์เป็นสิ่งหายาก ดังนั้น เราจึงไม่แปลกใจที่ภาพวาดตามผนังถ้ำของมนุษย์โบราณมักเป็นภาพวาดของสัตว์ และมิได้มีภาพของพืชเลย

ชาวอียิปต์โบราณได้เริ่มศึกษาพืชที่ใช้เป็นยาเมื่อ 3,600 ปีก่อนนี้เอง ดังที่ปรากฏในจารึกบนกระดาษปาปิรัส ส่วน Hippocrates ซึ่งเป็นแพทย์กรีกในสมัยเมื่อ 460-370 ปีก่อนคริสตกาล ก็ได้เคยใช้ใบพืชนานาชนิดในการรักษาโรค แต่เราก็ต้องยอมรับว่าวิชาพฤกษศาสตร์จริงๆ เกิดจากการศึกษาของ Aristotle (384-322 ปีก่อนคริสตกาล) และ Theophrastus (370-287 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งคนทั้งสองต่างก็เป็นศิษย์ของ Plato เพราะผลงานของ Aristotle ที่หลงเหลือมาถึงทุกวันนี้มีน้อย ดังนั้น เราจึงต้องพึ่งพาข้อมูลจากศิษย์ของ Aristotle และเพื่อนร่วมงานชื่อ Theophrastus แทน

ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า เมื่อ Theophrastus ผู้ถือกำเนิดบนเกาะ Lesbos ซึ่งอยู่นอกฝั่งของตุรกี ได้เข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าของสถาบันการเรียนขั้นสูง (Lyceum) แห่งนคร Athens แทน Aristotle นั้น เขาได้รับมรดกในรูปของสวน จาก Aristotle ซึ่งส่วนนี้มีพืช 450 ชนิด และ Theophrastus ก็ได้เรียบเรียงตำราพฤกษศาสตร์ขึ้นมา 2 เล่ม ซึ่งได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างพืชใบเลี้ยงเดี่ยวกับพืชใบเลี้ยงคู่ และคุณสมบัติของต้นไม้ชนิดต่างๆ รวมทั้งวงปีในลำต้นพืชด้วย นอกจากนี้ เขาก็ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างพืชที่พบในทุ่งหญ้า ในป่า และในที่ชื้นแฉะด้วย ผลงานนี้จึงทำให้ Theophrastus เป็นนักนิเวศวิทยารุ่นแรกของโลก และเมื่อกองทัพของจักรพรรดิ Alexander มหาราชรุกรานกรีก Theophrastus ก็ได้มีโอกาสใช้พืชเป็นยารักษากองทหารของ Alexander ด้วย

และเมื่อจักรพรรดิ Alexander มหาราชเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 220 จากนั้นอาณาจักรของพระองค์ก็ได้ล่มสลายตาม เมือง Alexandria ที่พระองค์ทรงสร้างก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนวิทยาศาสตร์อีกนานประมาณ 300 ปี จนกระทั่งถูกโรมันยึดครอง ทั้งๆ ที่ชาวโรมันเป็นนักเกษตรกรรมที่ดี แต่วิทยาการด้านพฤกษศาสตร์ก็มิได้ก้าวไปข้างหน้าเลย ดังจะเห็นได้จากบันทึกเรื่องพืชและสัตว์ของผู้เฒ่า Pliny (79-22 ปี ก่อนคริสตกาล) ว่ามีข้อมูลต่างๆ ที่ผิดพลาดมาก

ถึงกระนั้นก็ยังมีแพทย์โรมันคนหนึ่งชื่อ Dioscorides ผู้ถือกำเนิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 607 (ในสมัยของจักรพรรดิ Nero) ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรมากจึงได้เรียบเรียงตำราสมุนไพรชื่อ De Materia Medica ขึ้นมาเล่มหนึ่ง ซึ่งตำราเล่มนั้นมีภาพวาดของพืช คุณสมบัติและความสามารถในการเป็นยาบำบัดโรค โดยหนังสือได้กล่าวถึงพืชสมุนไพรประมาณ 500 ชนิด ทำให้ถูกใช้เป็นตำราอ้างอิงอีกนาน 1,600 ปี จนพืชสมุนไพรใดที่ Dioscorides ไม่ได้พูดถึงในตำรา ผู้คนจะไม่ใช้เป็นยารักษาโรคเลย

และเมื่อถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 21 วิชาพฤกษศาสตร์ก็ได้ก้าวหน้าอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนักพฤกษศาสตร์และผู้คนเริ่มรู้จักสมุนไพรดีๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น Leonhart Fuchs (คนที่ตั้งชื่อพืชใน genus Fuchsia) ได้เผยแพร่ผลงานของตน จนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย

ถึงแม้ผลงานเหล่านี้จะมีคุณภาพดีกว่างานเก่าๆ แต่ก็มีการกล่าวถึงความเชื่อในลักษณะงมงายเกี่ยวกับพืชหลายชนิด เช่น ต้น mandrake ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mandragora officinarum และเป็นพืชในตระกูลมะเขือเทศ

พืชชนิดนี้มีรากอวบที่เวลาหยั่งลึกลงในดิน หากเผชิญก้อนหินรากก็จะแยกจากกัน จุดสนใจของพืชชนิดนี้ก็คือ รากของมันมีลักษณะคล้ายร่างกายของคนที่มีแขนและขา ทำให้คนในสมัยโบราณเชื่อว่า มันมีคุณสมบัติรักษาโรคได้หลายชนิด และถ้าใครดึงพืชชนิดนี้ขึ้นมาจากดิน เขาก็จะได้ยินเสียงกรีดร้องจากรากพืชจนแก้วหูแตกตาย

ความเชื่อเช่นนี้ทำให้ผู้คนไม่กล้าแตะต้องต้น mandrake แต่เมื่อคนหลายคนเชื่อว่ารากของมันสามารถรักษาโรคได้ ดังนั้น จึงได้มีคนคิดเอาเชือกผูกที่ตรงโคนใบแล้วผูกปลายเชือกอีกข้างหนึ่งกับคอสุนัข จากนั้นก็ตีสุนัขให้วิ่งดึงรากของต้น mandrake ขึ้นมา ส่วนคนที่เฝ้าดูก็ให้เอาสำลีอุดหู เพื่อไม่ให้ได้ยินราก mandrake กรีดร้อง

แพทย์ในสมัยโบราณเชื่อว่ารากพืชชนิดนี้ หากนำมาต้มหรือแช่ในเหล้าองุ่นแล้วให้คนไข้ที่จะเข้าห้องผ่าตัดรับประทาน คนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บมาก ดังนั้น mandrake จึงเป็น "ยาสลบ" ที่แพทย์โบราณนิยมใช้ แต่แพทย์ก็รู้ดีว่าถ้าให้คนไข้บริโภคราก mandrake มาก คนไข้ก็อาจเสียสติถึงตายได้

ส่วนคนที่เคร่งศาสนามากก็เชื่อว่า เมื่อครั้งที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ได้ทรงดื่มเหล้าองุ่นที่มีราก mandrake ปน นักพฤกษศาสตร์รู้จักต้น mandrake ว่าเป็นพืชที่ถือกำเนิดในแถบ Mediteranean ลำต้นมีใบที่ยาวประมาณ 1 ฟุต ดอกมีขนาดใหญ่สีเหลือง-เขียว และม่วง ส่วนที่เป็นรากมักแบ่งออกเป็นสองราก จึงทำให้เห็นเป็นขา 2 ขาของคน และเมื่อผู้คนเชื่อว่าพืชทุกชนิดสามารถรักษาโรคได้ไม่โรคใดก็โรคหนึ่ง ดังนั้นรูปร่างของพืชตามปกติจะบอกประสิทธิภาพในการรักษาโรคได้ เช่น เมล็ดของ walnut ซึ่งเปลือกของมันมีลักษณะคล้ายกะโหลกศีรษะ และเนื้อของ walnut ก็มีลักษณะคล้ายสมองของคน ดังนั้น การกิน walnut จะรักษาอาการปวดหัวได้ ฉันใดก็ฉันนั้นเมื่อราก mandrake มีลักษณะคล้ายคน ดังนั้น จึงรักษาโรคหลายโรคที่เกิดกับคนได้ ส่วนจินตนาการของคนบางคนก็คิดไกลไปว่า รากของ mandrake มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศของผู้ชาย ดังนั้น หากชายใดมีรากของพืชชนิดนี้ในครอบครอง เขาก็จะครองจิตใจของสตรีอย่างถาวร และสตรีใดที่เป็นเจ้าของราก mandrake เธอก็จะไม่เป็นหมัน และสามีก็จะรักไม่เสื่อมคลาย เป็นต้น

ในส่วนของการเป็นยาเสพติดนั้น ผู้คนในยุโรปและตะวันออกกลางก็รู้ดีว่ามันสามารถทำให้คนง่วงหลับได้ การวิเคราะห์รากของ mandrake ในปี พ.ศ. 2432 ทำให้นักเคมีรู้ว่ามันมีสารประกอบ alkaloid ที่ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดหลายชนิด เช่น hyoscine, scopolamine และ mandragorine

และถ้าเอาราก mandrake มาปนกับมอร์ฟีน (Papaver somniferum) ให้สตรีที่กำลังจะคลอดลูก สูดดม เธอจะไม่รู้สึกเจ็บมาก แต่เมื่อถึงวันนี้แพทย์ปัจจุบันมียาที่มี hyoscine เป็นองค์ประกอบเข้มข้นกว่าใช้ ดังนั้น การบำบัดความเจ็บปวดเนื่องจากการคลอด จึงไม่ต้องพึ่งพามอร์ฟีนและราก mandrake อีกต่อไป

ความสนใจใน mandrake ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จากการชมภาพยนตร์ และจากการอ่านหนังสือเรื่อง Harry Potter ที่มีเรือนกระจกสำหรับปลูกต้น mandrake บทความนี้คงทำให้คุณเข้าใจความเกี่ยวพันระหว่างวิทยาศาสตร์กับต้นไม้มายาที่มีในหนังสือ และภาพยนตร์ดีขึ้นนะครับ

สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน
กำลังโหลดความคิดเห็น