เอเอฟพี –นักวิเคราะห์ชี้ มาเลเซียก้าวพ้นวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997-98 อย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งยังมีความมั่นใจในสถานะทางเศรษฐกิจมากขึ้น ด้วยการประกาศยกเลิกการตรึงค่าเงินริงกิตเข้ากับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อันเป็นมาตรการสุดท้ายที่สืบเนื่องมาจากช่วงเวลาวิกฤตดังกล่าว
เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (21) บรรดาตลาดและผู้สังเกตการณ์ต่างประหลาดใจ ตอนที่แบงก์ เนการาหรือธนาคารกลางมาเลเซีย ประกาศยกเลิกการตรึงค่าเงิน และปล่อยให้เงินริงกิตลอยตัวแบบมีการจัดการ ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจีนประกาศปรับขึ้นค่าเงินหยวน
ด้านนักเศรษฐศาสตร์และผู้นำในอุตสาหกรรมต่างแซ่ซ้องยินดีกับการตัดสินใจปล่อยให้ค่าเงินริงกิตเป็นไปตามกลไกตลาดเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีครั้งนี้ พร้อมระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่มาเลเซียจะต้องยกเลิกการใช้มาตรการควบคุมด้านการเงินมาตรการสุดท้าย อันเป็นผลพวงมาจากยุควิกฤตเมื่อครั้งอดีต
ไมเคิล เหยียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสถาบัน เอเชียน สแตรเตจี แอนด์ ลีดเดอร์ชิป อินสติติว กล่าวว่า เศรษฐกิจแดนเสือเหลืองฟื้นตัวมากเพียงพอแล้ว และการประกาศลอยค่าเงินดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจของมาเลเซียในปัจจุบันนั้นเข้มแข็งมากเพียงใด
ทั้งนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด เป็นผู้ริเริ่มนำมาตรการควบคุมเงินทุน และการตรึงริงกิตเข้ากับสกุลเงินดอลลาร์มาใช้ในวันที่ 1 กันยายน 1998 เพื่อต่อสู้กับวิกฤตทางการเงินทั่วเอเชียซึ่งเริ่มบ่อนทำลายเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคแล้วในช่วง 1 ปีก่อนหน้านั้น
เหยียวชี้ว่า “ขณะนี้มาเลเซียมีปัจจัยโดยทั่วไปค่อนข้างเอื้ออำนวย กล่าวคือ มีการเติบโตและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีความก้าวหน้าภายใต้การทำงานของคณะบริหารชุดใหม่ของนายกรัฐมนตรี อับดุลเลาะห์ บาดาวี”
การลอยตัวค่าเงินริงกิตในท้ายที่สุดแล้ว จะส่งผลดีหลายประการ อาทิ ช่วยลดแรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่ผลกระทบระยะสั้นต่อเศรษฐกิจอาจไม่เป็นปัญหาใหญ่โตอะไรนัก เนื่องจากคาดกันว่าทางธนาคารกลางมาเลเซียยังจะเข้าแทรกแซงระบบลอยตัวแบบมีการจัดการซึ่งประกาศใช้ใหม่นี้อย่างแน่นอน เพื่อควบคุมไม่ให้ค่าเงินมีมูลค่าสูงจนเกินไป
“ในส่วนหนึ่ง ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีลักษณะในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการกระทำเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เห็นได้จากในวันที่ประกาศลอยค่าเงินนั้น เงินริงกิตยังคงได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดเช่นเดิม” เควิน ชิว จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจมาเลเซียกล่าว
พร้อมเสริมต่อว่า เดิมทีแม้แต่ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงิน มูลค่าเงินริงกิต ก็ “ถูกแทรกแซงจากรัฐบาลเป็นอย่างมากอยู่แล้ว”
ผลดีอย่างแท้จริงของมาตรการลอยตัวค่าริงกิตคราวนี้ จึงกลับไปอยู่ที่การช่วยเพิ่มพูนผลในเชิงจิตวิทยาให้แก่มาเลเซีย เนื่องจากแสดงให้เห็นว่า มาเลเซียมีการเปิดเสรีเศรษฐกิจต่อตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังพร้อมแสดงให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงด้วย
ตัวอย่างสัญญาณด้านบวกประการหนึ่งจากความเคลื่อนไหวครั้งนี้เห็นได้จาก การซื้อขายเงินริงกิตเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (22) พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ระดับ 3.7780 ริงกิตในช่วงสุดท้ายของการซื้อขาย แม้ว่ายังคงมีความระวังระไวอยู่บ้าง และยังคงเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้าการลอยค่าเงินก็ตาม
ด้านนายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวีเผยว่า รู้สึกพึงพอใจกับมูลค่าของค่าเงินริงกิตใหม่นี้ เนื่องจากเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ค่อนข้างมาก
ต่อข้อถามที่ว่าการยกเลิกการตรึงค่าเงินจะทำให้มาเลเซียเปลี่ยนแปลงการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้หรือไม่ อับดุลเลาะห์ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนที่จะปรับลดตัวเลขที่ธนาคารกลางพยากรณ์ไว้ที่ 5-6% แต่อย่างใด
เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (21) บรรดาตลาดและผู้สังเกตการณ์ต่างประหลาดใจ ตอนที่แบงก์ เนการาหรือธนาคารกลางมาเลเซีย ประกาศยกเลิกการตรึงค่าเงิน และปล่อยให้เงินริงกิตลอยตัวแบบมีการจัดการ ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจีนประกาศปรับขึ้นค่าเงินหยวน
ด้านนักเศรษฐศาสตร์และผู้นำในอุตสาหกรรมต่างแซ่ซ้องยินดีกับการตัดสินใจปล่อยให้ค่าเงินริงกิตเป็นไปตามกลไกตลาดเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีครั้งนี้ พร้อมระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่มาเลเซียจะต้องยกเลิกการใช้มาตรการควบคุมด้านการเงินมาตรการสุดท้าย อันเป็นผลพวงมาจากยุควิกฤตเมื่อครั้งอดีต
ไมเคิล เหยียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสถาบัน เอเชียน สแตรเตจี แอนด์ ลีดเดอร์ชิป อินสติติว กล่าวว่า เศรษฐกิจแดนเสือเหลืองฟื้นตัวมากเพียงพอแล้ว และการประกาศลอยค่าเงินดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจของมาเลเซียในปัจจุบันนั้นเข้มแข็งมากเพียงใด
ทั้งนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด เป็นผู้ริเริ่มนำมาตรการควบคุมเงินทุน และการตรึงริงกิตเข้ากับสกุลเงินดอลลาร์มาใช้ในวันที่ 1 กันยายน 1998 เพื่อต่อสู้กับวิกฤตทางการเงินทั่วเอเชียซึ่งเริ่มบ่อนทำลายเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคแล้วในช่วง 1 ปีก่อนหน้านั้น
เหยียวชี้ว่า “ขณะนี้มาเลเซียมีปัจจัยโดยทั่วไปค่อนข้างเอื้ออำนวย กล่าวคือ มีการเติบโตและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีความก้าวหน้าภายใต้การทำงานของคณะบริหารชุดใหม่ของนายกรัฐมนตรี อับดุลเลาะห์ บาดาวี”
การลอยตัวค่าเงินริงกิตในท้ายที่สุดแล้ว จะส่งผลดีหลายประการ อาทิ ช่วยลดแรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่ผลกระทบระยะสั้นต่อเศรษฐกิจอาจไม่เป็นปัญหาใหญ่โตอะไรนัก เนื่องจากคาดกันว่าทางธนาคารกลางมาเลเซียยังจะเข้าแทรกแซงระบบลอยตัวแบบมีการจัดการซึ่งประกาศใช้ใหม่นี้อย่างแน่นอน เพื่อควบคุมไม่ให้ค่าเงินมีมูลค่าสูงจนเกินไป
“ในส่วนหนึ่ง ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีลักษณะในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการกระทำเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เห็นได้จากในวันที่ประกาศลอยค่าเงินนั้น เงินริงกิตยังคงได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดเช่นเดิม” เควิน ชิว จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจมาเลเซียกล่าว
พร้อมเสริมต่อว่า เดิมทีแม้แต่ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงิน มูลค่าเงินริงกิต ก็ “ถูกแทรกแซงจากรัฐบาลเป็นอย่างมากอยู่แล้ว”
ผลดีอย่างแท้จริงของมาตรการลอยตัวค่าริงกิตคราวนี้ จึงกลับไปอยู่ที่การช่วยเพิ่มพูนผลในเชิงจิตวิทยาให้แก่มาเลเซีย เนื่องจากแสดงให้เห็นว่า มาเลเซียมีการเปิดเสรีเศรษฐกิจต่อตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังพร้อมแสดงให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงด้วย
ตัวอย่างสัญญาณด้านบวกประการหนึ่งจากความเคลื่อนไหวครั้งนี้เห็นได้จาก การซื้อขายเงินริงกิตเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (22) พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ระดับ 3.7780 ริงกิตในช่วงสุดท้ายของการซื้อขาย แม้ว่ายังคงมีความระวังระไวอยู่บ้าง และยังคงเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้าการลอยค่าเงินก็ตาม
ด้านนายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวีเผยว่า รู้สึกพึงพอใจกับมูลค่าของค่าเงินริงกิตใหม่นี้ เนื่องจากเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ค่อนข้างมาก
ต่อข้อถามที่ว่าการยกเลิกการตรึงค่าเงินจะทำให้มาเลเซียเปลี่ยนแปลงการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้หรือไม่ อับดุลเลาะห์ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนที่จะปรับลดตัวเลขที่ธนาคารกลางพยากรณ์ไว้ที่ 5-6% แต่อย่างใด