ผู้จัดการรายวัน - สภาทนายความ แฉรายงานยูเอ็นตบหน้ากระบวนการยุติธรรมไทยไร้ความเป็นธรรม กรณี “ทนายสมชาย" ถูกอุ้ม อัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำงามหน้าลูบหน้าปะจมูก ปล่อย “ชัดชัย” จำเลยคดีอุ้มกลับเข้ารับราชการ แถมปูนบำเหน็จรางวัลคนดีศรีกองปราบ หวังสร้างผลงานปรากฏข่าวตามสื่อ ก่อนนำสืบพยาน
วานนี้ (21ก.ค.)นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ กล่าวภายหลังได้อ่านรายงานกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาคิ(ยูเอ็น)ที่ระบุว่านางอังคณา นีละไพจิตร ภารรยานายสมชาย อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ไม่น่าที่จะจำเป็นต้องไปเรียกร้องความยุติธรรม กรณีการหายตัวไปของนายสมชาย ที่กรุงเจนีวาเลย หากรัฐบาลไทยมีการดำเนินการที่เหมาะสมซึ่งถ้อยคำดังกล่าวเท่ากับเป็นการตบหน้าประเทศไทยและตราหน้าประเทศไทยว่าไม่สามารถดำเนินการ หาความยุติธรรมมาปกป้องผู้ที่ทำงานในเรื่องสิทธิมนุษยชน
นายเดชอุดม เปิดเผยด้วยว่าได้รับหนังสือและภาพร้องเรียนจากผู้อ้างตัวว่าเป็นผู้รักความยุติธรรมว่า พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อดีต รอง ผกก.3ป. 1 ใน 5ผู้ต้องหาคดีอุ้มนายสมชาย ซึ่งถูกสำนักงานงานตำรวจแห่งชาติสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนปรากฏตัวในในภาพข่าวการจับกุมนักพนันบ่อนเตาปูน บนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังปรากฏเป็นข่าวเรื่องการจับกุมนายสมคิด พุ่มพวง ฆาตรกรต่อเนื่องโดยเฉพาะคดีนี้มีชื่อเป็นผู้ได้รับมอบหมาย จากผู้บังคับบัญชาให้ดูแลคดีในฐานะรอง ผกก.3ป. จึงเกิดคำถามว่ากลับเข้าไปรับราชการได้อย่างไร
“ตามกฎหมายพ.ร.บ.ตำรวจ 2547 ม.95ระบุชัดว่า ข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา ผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวน แต่ถ้าภายหลังปรากฏผลการสอบสวนว่าไม่ได้กระทำผิดให้ผู้มีอำนาจดังกล่าวสั่งให้เข้ารับราชการตำแหน่งเดิมได้ แต่คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด และจะมีการสอบคำครั้งต่อไปในวันที่ 9 ส.ค.นี้แต่จำเลยในคดีนี้ ซึ่งเป็นคนเดียวใน 5 คน กลับได้เข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมได้ และยังได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นคนดีศรีกองปราบ จากการจับฆาตกรต่อเนื่องอีก” นายเดชอุดม กล่าว
นายกสภาทนายความ กล่าวด้วยว่า การทำเช่นนี้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก เพราะหน่วยงานต้นทางของการให้ความยุติธรรมกลับปล่อยให้คนอย่างนี้กลับมาราชการอีก แล้วตำรวจเลวคนอื่นๆที่ซ้อมผู้ต้องหา เอาไฟจี้จะได้รับการพิจารณาให้กลับรับราชด้วยหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า หนังสือร้องเรียนระบุด้วยว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองปราบได้มีการเตือน พ.ต.ท.ชัดชัย แล้วว่าให้ทำงานแต่อย่าออกสื่อต่างๆ แต่ขณะนี้ใกล้เวลาที่จะต้องเบิกความพยานบุคคลในคดีนายสมชายแล้ว ทำให้ต้องออกมาสร้างภาพ เพื่อให้สังคมเห็นว่าเป็นคนดีมีผลงานการจับกุมมากมาย รวมทั้งจำเลยทั้ง 5 คน เป็นลูกน้องเก่าของพล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มีสำนวนการสอบสวนคดีนี้ทุกแผ่นอยู่ในมือ จึงอาจเป็นไปได้ที่จำเลยทั้งหมดได้เห็นเอกสารและสามารถหาแนวทางต่อสู้คดีได้แล้ว เพราะมีการอ้างพยานบุคคลถึง 67 ปาก ทั้งที่ขณะถูกจับกุมอ้างว่าขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
ด้านนายสมัคร เชาวภานันท์ โฆษกสภาทนายความเปิดเผยว่า เรื่องการหายตัวของนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม เมื่อวันที่ 14 มี.ค 47 ขณะนี้ สภาทนายความได้ผลักดันจนที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีมติเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมารับคดีการหายตัวไปของนายสมชายเป็นคดีพิเศษของดีเอสไอแล้ว ซึ่งจะมีการสืบพยานโจทก์รวม 18 นัด ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.นี้ และฝ่ายจำเลยขอสืบพยาน17 นัด ตั้งแต่เดือนพ.ย.สำหรับพยานสำคัญฝ่ายโจทย์ในเดือนมี.ค.49 ผู้ต้องหาคดีปล้นปืน 4 คนจะเข้าร่วมเบิกความด้วย
วานนี้ (21ก.ค.)นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ กล่าวภายหลังได้อ่านรายงานกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาคิ(ยูเอ็น)ที่ระบุว่านางอังคณา นีละไพจิตร ภารรยานายสมชาย อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ไม่น่าที่จะจำเป็นต้องไปเรียกร้องความยุติธรรม กรณีการหายตัวไปของนายสมชาย ที่กรุงเจนีวาเลย หากรัฐบาลไทยมีการดำเนินการที่เหมาะสมซึ่งถ้อยคำดังกล่าวเท่ากับเป็นการตบหน้าประเทศไทยและตราหน้าประเทศไทยว่าไม่สามารถดำเนินการ หาความยุติธรรมมาปกป้องผู้ที่ทำงานในเรื่องสิทธิมนุษยชน
นายเดชอุดม เปิดเผยด้วยว่าได้รับหนังสือและภาพร้องเรียนจากผู้อ้างตัวว่าเป็นผู้รักความยุติธรรมว่า พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อดีต รอง ผกก.3ป. 1 ใน 5ผู้ต้องหาคดีอุ้มนายสมชาย ซึ่งถูกสำนักงานงานตำรวจแห่งชาติสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนปรากฏตัวในในภาพข่าวการจับกุมนักพนันบ่อนเตาปูน บนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังปรากฏเป็นข่าวเรื่องการจับกุมนายสมคิด พุ่มพวง ฆาตรกรต่อเนื่องโดยเฉพาะคดีนี้มีชื่อเป็นผู้ได้รับมอบหมาย จากผู้บังคับบัญชาให้ดูแลคดีในฐานะรอง ผกก.3ป. จึงเกิดคำถามว่ากลับเข้าไปรับราชการได้อย่างไร
“ตามกฎหมายพ.ร.บ.ตำรวจ 2547 ม.95ระบุชัดว่า ข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา ผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวน แต่ถ้าภายหลังปรากฏผลการสอบสวนว่าไม่ได้กระทำผิดให้ผู้มีอำนาจดังกล่าวสั่งให้เข้ารับราชการตำแหน่งเดิมได้ แต่คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด และจะมีการสอบคำครั้งต่อไปในวันที่ 9 ส.ค.นี้แต่จำเลยในคดีนี้ ซึ่งเป็นคนเดียวใน 5 คน กลับได้เข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมได้ และยังได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นคนดีศรีกองปราบ จากการจับฆาตกรต่อเนื่องอีก” นายเดชอุดม กล่าว
นายกสภาทนายความ กล่าวด้วยว่า การทำเช่นนี้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก เพราะหน่วยงานต้นทางของการให้ความยุติธรรมกลับปล่อยให้คนอย่างนี้กลับมาราชการอีก แล้วตำรวจเลวคนอื่นๆที่ซ้อมผู้ต้องหา เอาไฟจี้จะได้รับการพิจารณาให้กลับรับราชด้วยหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า หนังสือร้องเรียนระบุด้วยว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองปราบได้มีการเตือน พ.ต.ท.ชัดชัย แล้วว่าให้ทำงานแต่อย่าออกสื่อต่างๆ แต่ขณะนี้ใกล้เวลาที่จะต้องเบิกความพยานบุคคลในคดีนายสมชายแล้ว ทำให้ต้องออกมาสร้างภาพ เพื่อให้สังคมเห็นว่าเป็นคนดีมีผลงานการจับกุมมากมาย รวมทั้งจำเลยทั้ง 5 คน เป็นลูกน้องเก่าของพล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มีสำนวนการสอบสวนคดีนี้ทุกแผ่นอยู่ในมือ จึงอาจเป็นไปได้ที่จำเลยทั้งหมดได้เห็นเอกสารและสามารถหาแนวทางต่อสู้คดีได้แล้ว เพราะมีการอ้างพยานบุคคลถึง 67 ปาก ทั้งที่ขณะถูกจับกุมอ้างว่าขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
ด้านนายสมัคร เชาวภานันท์ โฆษกสภาทนายความเปิดเผยว่า เรื่องการหายตัวของนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม เมื่อวันที่ 14 มี.ค 47 ขณะนี้ สภาทนายความได้ผลักดันจนที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีมติเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมารับคดีการหายตัวไปของนายสมชายเป็นคดีพิเศษของดีเอสไอแล้ว ซึ่งจะมีการสืบพยานโจทก์รวม 18 นัด ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.นี้ และฝ่ายจำเลยขอสืบพยาน17 นัด ตั้งแต่เดือนพ.ย.สำหรับพยานสำคัญฝ่ายโจทย์ในเดือนมี.ค.49 ผู้ต้องหาคดีปล้นปืน 4 คนจะเข้าร่วมเบิกความด้วย