สถานการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะมีทั้งผู้บาดเจ็บล้มตายที่เป็นทั้งครู เจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ ชาวบ้าน แม้กระทั่งพระสงฆ์องคเจ้าก็ไม่เว้น จนล่วงเวลาผ่านมาแล้วประมาณปีครึ่งเต็มๆ ที่มีทั้ง "ฆ่ารายวัน-ระเบิดรายวัน" จนล่าสุดระเบิดเมืองยะลาทั้งเมือง
ถ้าจะเรียกขานว่า "ไฟใต้" คงจะไม่เหมาะเสียแล้ว น่าจะเรียกว่า "ดินแดนมิคสัญญี" คงจะเหมาะกว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ไม่เคยคลี่คลายลงแม้แต่น้อย ยิ่งมีการปรับทั้ง "ยุทธศาสตร์-กลยุทธ์" พร้อมทั้งเปลี่ยนตัวบุคคลอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายมากยิ่งขึ้น ไม่มีท่าทีลดความรุนแรงแม้แต่น้อย ดีไม่ดีอาจลามมาจนถึงจังหวัดสงขลา
ทั้งนี้การระเบิดที่สนามบินหาดใหญ่ ก็เกิดไปเรียบร้อย เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก เหมือนกับที่จังหวัดยะลาเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน แล้วทำไมจะเกิดระเบิดอีกหลายจุดที่อำเภอหาดใหญ่ ใจกลางย่านศูนย์การค้า และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสงขลาไม่ได้
ถามว่ารัฐบาลเพียรพยายามทุกวิถีทางหรือไม่ที่จะให้สถานการณ์ภาคใต้คลี่คลายไปในทางที่ดีและสงบลงได้ในที่สุด ก็ต้องตอบว่า "ฝันเลยล่ะ!" และถามต่อว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า "ฝันไปเถอะ!" เพราะไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด เอ้า! แล้วถามต่อว่าทำไมมีการเปลี่ยนทั้งยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ ตัวบุคคล จนแล้วจนเล่า แล้วไหงยังไม่ดีขึ้น กลับเลวร้ายรุนแรงอย่างต่อเนื่องทุกวัน
คำตอบในลักษณะ "องค์รวม" ของปัญหาภาคใต้นี้ น่าจะเกิดจากประเด็นสำคัญที่ "รัฐบาลรู้ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้!" กล่าวคือ การฆ่ารายวันและระเบิดรายวันเช่นนี้ต้องมีการวางแผนมาอย่างดี พร้อมอุปกรณ์ครบมือ ในขณะเดียวกันต้องมีประชาชนรู้เห็นทุกครั้ง แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่า "เต็มใจ-สมัครใจ" หรือกล่าวง่ายๆ ก็หมายความว่า การปฏิบัติการทุกวันมีการจัดตั้งอย่างเป็น "ขบวนการ" โดยที่ประชาชน "รู้เห็นเป็นใจ" แถมไม่พอ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลบางส่วน "ยักคิ้วหลิ่วตา" อำนวยความสะดวก และ/หรือ อาจร่วมวางแผนด้วยก็อาจเป็นได้ และท้ายสุด "งบประมาณ" ในการก่อความไม่สงบทุกครั้งต้องมีการจัดสรรอย่างแน่นอน
ว่ากันตามเป็นจริงแล้ว "ข่าวกรอง" ของรัฐบาลไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะไม่ล่วงรู้ แต่อาจเป็นการ "รู้" หลังเหตุการณ์มากกว่าก่อนเหตุการณ์ ซึ่งก็ต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า "การข่าว" ของรัฐบาล "สอบตก" อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่การข่าวจะไม่แพร่งพรายเลยแม้แต่น้อยถึง "แผนงาน" ในการก่อเหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่างเช่นที่สนามบินหาดใหญ่ และล่าสุดที่จังหวัดยะลา แต่คงไม่สำคัญว่าแทบทุกครั้ง "จับมือใครดมไม่ได้!" ซักครั้ง
สถานการณ์ภาคใต้เข้าข่าย "การก่อการร้าย" ทุกขณะ ซึ่งจากเดิมเป็นเพียง "การก่อความไม่สงบ!" จนประชาคมโลกจินตนาการไปเรียบร้อยแล้วว่าประเทศไทยทางภาคใต้เกิด "สงครามแบ่งแยกดินแดน-สงครามกลางเมือง" คล้ายๆ กับตะวันออกกลางแถวๆ อิสราเอล ปาเลสไตน์และ "ฉนวนกาซ่า"
เป็นกรณีที่เราคงไม่น่าแปลกใจที่ประชาคมโลกคิดเช่นนี้ เนื่องด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจถึง "ภูมิศาสตร์" ของชาวต่างชาติที่เมื่อได้ยินได้ฟังข่าวคราวจากสำนักข่าวต่างประเทศก็จะ ทึกทักทันที พร้อมขยายความว่า เหตุการณ์ต้องใหญ่โตมิใช่เกิดขึ้นเพียงจุดเล็กๆ เพียง 2-3 จุดทางภาคใต้ของไทย
ถามว่า เวลาคนไทยดูข่าวการระเบิดแต่ละครั้งทางโทรทัศน์ที่แถบอิสราเอล เราก็ต้องจินตนาการนึกภาพใหญ่โตเช่นเดียวกัน จนคนไทยจำนวนมากและฝรั่งเหมือนกันที่ไม่เข้าใจไม่มีความรู้ลึกซึ้ง อาจนึกเลยเถิดไปว่า "สภาวะสงคราม" เกิดขึ้นกับประเทศนั้นๆ
หรือแม้กระทั่ง 6 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามันหลังประสบภัยคลื่นยักษ์สึนามิ คนไทยด้วยกันเองยังไม่กล้าเดินทางลงไปเที่ยวที่จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญๆ เลย ไม่ว่า ภูเก็ต พังงา กระบี่ ซึ่งทุกวันนี้ยังเงียบเหงาไม่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เหตุผลสำคัญคือ "กลัวผี!" และ "กลัวคลื่นยักษ์" อีก
ส่วนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นแทบไม่ต้องเอ่ยถึงที่คนไทยแทบจะไม่ย่างกรายเข้าไปท่องเที่ยวเลย หรือแม้กระทั่งอำเภอหาดใหญ่ ที่ยังคงเงียบเหงาจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ
เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าจะไปเอาอะไรกับชาวต่างชาติที่ตื่นตระหนกตกใจตามข่าวคราวที่ได้ยินได้ฟังมา เพราะแม้กระทั่งคนไทยเองก็ยังจินตนาการเช่นนั้นเหมือนกัน
"แสงแดด" พินิจพิเคราะห์มาตลอดปีครึ่งว่า สถานการณ์ "ไฟใต้" นั้นจริงๆ แล้วมิได้เกิดจาก "ขบวนการก่อการร้าย" อย่างเด็ดขาด ทั้งจากภายในประเทศและกลุ่มก่อการร้ายนานาชาติ ในช่วงระยะแรกๆ แต่เป็นเพียงกลุ่มบุคคลหลากหลายกลุ่มที่ "สูญเสียผลประโยชน์" มิใช่ "โจรกระจอก" ซึ่งมีทั้ง "สารพัดสี" ทั้งฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปราบปราม ฝ่ายปกครอง รวมทั้งนักการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติ บวกเข้ากับนักธุรกิจท้องถิ่นและระดับชาติที่มี "เครือข่าย" กับนานาสารพัดธุรกิจตั้งแต่ "สีเทา" ยัน "สีดำ"
"ธุรกิจผิดกฎหมาย-ธุรกิจนอกระบบ" เริ่มตั้งแต่ค้าของเถื่อน น้ำมันเถื่อน ยาเสพติด ค้าประเวณี บ่อนการพนัน หวยใต้ดิน ล้วนเป็นธุรกิจที่ดำเนินการอย่างเป็นระบบเป็นเครือข่าย ที่มีมูลค่าการค้าขายปีหนึ่งๆ นับหลายหมื่นล้านบาทหรืออาจจะถึงนับแสนล้านบาท โดยมีกลุ่มบุคคลดังกล่าวข้างต้นโยงใยพัวพันแบ่งปันผลประโยชน์ลงตัว โดยมีการจัดตั้งเหมือน "องค์การ" ที่เรียกภาษาอังกฤษว่า "Syndicated" จนข้าราชการตำรวจ ทหาร พลเรือน บางคนบางกลุ่มมีรายได้มหาศาลจากภาคใต้นี้เดือนละนับหลายล้านบาท ตลอดจนนักการเมือง นักธุรกิจระดับท้องถิ่นและระดับชาติต่างร่ำรวยไปตามๆ กัน
นอกจากนี้ "แสงแดด" ขอวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า กลุ่มก่อความไม่สงบต่างๆ ไม่ว่าขบวนการพูโล เบอร์ซาตู บีอาร์เอ็น และอีกกลุ่มย่อยต่างๆ นั้นล้วนเป็นเครือข่ายของขบวนการที่ฝังตัวอยู่ที่ภาคใต้ และตามแนวตะเข็บพรมแดนไทย-มาเลเซีย หรืออาจจะมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายนานาชาติที่เป็นเพียงการแตะมือเท่านั้น มิใช่ถึงขนาดสนับสนุนเต็มรูปแบบและครบวงจร
กลุ่มต่างๆ ข้างต้นที่อยู่ทางภาคใต้ "แสงแดด" เชื่อว่าไม่แอกทีฟ (Active) ที่มีการซ่องสุมกำลัง อาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงประการใด แต่อาจเป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับ "ธุรกิจนอกระบบ-ผิดกฎหมาย" และร่วมก่อความไม่สงบเพื่อเรียกร้องความสนใจจากรัฐบาลกลางในการทั้งรับเป็น "เหยื่อ" ของการถูกกล่าวร้ายว่าเป็น "ผู้รับผิดชอบ" กับเหตุการณ์ไม่สงบ ตลอดจนการทุ่มเทงบประมาณของรัฐบาลกับการปราบปราม และเพียรพยายามสร้างสันติสุข ทั้งนี้ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมายาวนานแล้ว เพียงแต่ช่วงรัฐบาลนี้ที่ต้องระดมหนักกว่าทุกครั้งในอดีต
นโยบายประกาศ 3 สงครามของรัฐบาลกับยาเสพติด ปราบปรามผู้มีอิทธิพล ทุจริตคอร์รัปชันนั้น ถือว่าเป็น "นโยบายโดนใจ" ประชาชน และที่สำคัญคือ แนวคิดทฤษฎี "อุดมคติดี!" แต่ในทางปฏิบัตินั้น ยากเย็นแสนเข็ญที่จะกระทำได้ เนื่องด้วย "ธุรกิจ-ผลประโยชน์" ทางภาคใต้นั้นล้วนต้อง "ต่อสู้-ต่อต้าน" กับนโยบาย 3 สงครามของรัฐบาลทั้งสิ้น และสำคัญที่สุดคือ ทั้งการปฏิบัติการและผลประกอบการที่ยาวนานและเป็นกอบเป็นกำ!
ถามว่านโยบาย 3 สงครามของรัฐบาลถูกต้องหรือไม่ที่ต้องการ "กวาดล้าง-ทำความสะอาด" ประเทศไทย และนำเอา "ธุรกิจใต้ดิน-ผิดกฎหมาย" ให้ถูกต้องขึ้นมาบนดินให้หมด ก็ต้องตอบว่า "ถูกต้อง!" เพียงแต่ปัญหา 2-3 ประการเท่านั้นที่รัฐบาลอาจกระทำไม่ถูกคือ หนึ่ง ปฏิบัติการแบบรวดเร็ว ไม่ค่อยเป็นค่อยไป โดยน่าจะพิจารณาให้ถ่องแท้ถึงขบวนการ เครือข่ายในเชิงลึก สอง การตอบโต้แบบ "ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน" ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนนั้นเปรียบเสมือน "ประชาชนถูกรังแก!" และ สาม สำคัญที่สุดคือ ความระแวงสงสัยของนโยบายทั้งสามว่ามี "วาระซ่อนเร้น" หรือไม่เนื่องด้วยมีการซุบซิบนินทาว่า กลุ่มแกนนำของรัฐบาล "ไล่ทุบ!" ธุรกิจกลุ่มอื่นๆ จนราบคาบแล้ว "ไล่ต้อน!" นานาสารพัดธุรกิจและผลประโยชน์เข้าเครือข่ายกลุ่มพรรคพวกหมด เข้าทำนอง "ตีเล้าไก่คนอื่นแล้วต้อนเข้าเล้าตนเองหมด!"
การวิเคราะห์ข้างต้นอาจเป็นประเด็นสำคัญที่ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนพร้อมกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ มีความรู้สึกว่า "ถูกทุบหม้อข้าว" จนต้องลุกขึ้นมาเขย่าบัลลังก์รัฐบาลทุกเมื่อเชื่อวันนับปีครึ่งจนประชาคมโลกคิดว่าประเทศไทยเป็นดินแดนมิคสัญญีไปเรียบร้อยแล้ว
จะสงบได้หรือไม่นั้น รัฐบาลโดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ จะพิจารณาอย่างไรเกี่ยวกับรัฐบาลและตนเอง!
ถ้าจะเรียกขานว่า "ไฟใต้" คงจะไม่เหมาะเสียแล้ว น่าจะเรียกว่า "ดินแดนมิคสัญญี" คงจะเหมาะกว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ไม่เคยคลี่คลายลงแม้แต่น้อย ยิ่งมีการปรับทั้ง "ยุทธศาสตร์-กลยุทธ์" พร้อมทั้งเปลี่ยนตัวบุคคลอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายมากยิ่งขึ้น ไม่มีท่าทีลดความรุนแรงแม้แต่น้อย ดีไม่ดีอาจลามมาจนถึงจังหวัดสงขลา
ทั้งนี้การระเบิดที่สนามบินหาดใหญ่ ก็เกิดไปเรียบร้อย เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก เหมือนกับที่จังหวัดยะลาเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน แล้วทำไมจะเกิดระเบิดอีกหลายจุดที่อำเภอหาดใหญ่ ใจกลางย่านศูนย์การค้า และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสงขลาไม่ได้
ถามว่ารัฐบาลเพียรพยายามทุกวิถีทางหรือไม่ที่จะให้สถานการณ์ภาคใต้คลี่คลายไปในทางที่ดีและสงบลงได้ในที่สุด ก็ต้องตอบว่า "ฝันเลยล่ะ!" และถามต่อว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า "ฝันไปเถอะ!" เพราะไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด เอ้า! แล้วถามต่อว่าทำไมมีการเปลี่ยนทั้งยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ ตัวบุคคล จนแล้วจนเล่า แล้วไหงยังไม่ดีขึ้น กลับเลวร้ายรุนแรงอย่างต่อเนื่องทุกวัน
คำตอบในลักษณะ "องค์รวม" ของปัญหาภาคใต้นี้ น่าจะเกิดจากประเด็นสำคัญที่ "รัฐบาลรู้ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้!" กล่าวคือ การฆ่ารายวันและระเบิดรายวันเช่นนี้ต้องมีการวางแผนมาอย่างดี พร้อมอุปกรณ์ครบมือ ในขณะเดียวกันต้องมีประชาชนรู้เห็นทุกครั้ง แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่า "เต็มใจ-สมัครใจ" หรือกล่าวง่ายๆ ก็หมายความว่า การปฏิบัติการทุกวันมีการจัดตั้งอย่างเป็น "ขบวนการ" โดยที่ประชาชน "รู้เห็นเป็นใจ" แถมไม่พอ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลบางส่วน "ยักคิ้วหลิ่วตา" อำนวยความสะดวก และ/หรือ อาจร่วมวางแผนด้วยก็อาจเป็นได้ และท้ายสุด "งบประมาณ" ในการก่อความไม่สงบทุกครั้งต้องมีการจัดสรรอย่างแน่นอน
ว่ากันตามเป็นจริงแล้ว "ข่าวกรอง" ของรัฐบาลไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะไม่ล่วงรู้ แต่อาจเป็นการ "รู้" หลังเหตุการณ์มากกว่าก่อนเหตุการณ์ ซึ่งก็ต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า "การข่าว" ของรัฐบาล "สอบตก" อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่การข่าวจะไม่แพร่งพรายเลยแม้แต่น้อยถึง "แผนงาน" ในการก่อเหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่างเช่นที่สนามบินหาดใหญ่ และล่าสุดที่จังหวัดยะลา แต่คงไม่สำคัญว่าแทบทุกครั้ง "จับมือใครดมไม่ได้!" ซักครั้ง
สถานการณ์ภาคใต้เข้าข่าย "การก่อการร้าย" ทุกขณะ ซึ่งจากเดิมเป็นเพียง "การก่อความไม่สงบ!" จนประชาคมโลกจินตนาการไปเรียบร้อยแล้วว่าประเทศไทยทางภาคใต้เกิด "สงครามแบ่งแยกดินแดน-สงครามกลางเมือง" คล้ายๆ กับตะวันออกกลางแถวๆ อิสราเอล ปาเลสไตน์และ "ฉนวนกาซ่า"
เป็นกรณีที่เราคงไม่น่าแปลกใจที่ประชาคมโลกคิดเช่นนี้ เนื่องด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจถึง "ภูมิศาสตร์" ของชาวต่างชาติที่เมื่อได้ยินได้ฟังข่าวคราวจากสำนักข่าวต่างประเทศก็จะ ทึกทักทันที พร้อมขยายความว่า เหตุการณ์ต้องใหญ่โตมิใช่เกิดขึ้นเพียงจุดเล็กๆ เพียง 2-3 จุดทางภาคใต้ของไทย
ถามว่า เวลาคนไทยดูข่าวการระเบิดแต่ละครั้งทางโทรทัศน์ที่แถบอิสราเอล เราก็ต้องจินตนาการนึกภาพใหญ่โตเช่นเดียวกัน จนคนไทยจำนวนมากและฝรั่งเหมือนกันที่ไม่เข้าใจไม่มีความรู้ลึกซึ้ง อาจนึกเลยเถิดไปว่า "สภาวะสงคราม" เกิดขึ้นกับประเทศนั้นๆ
หรือแม้กระทั่ง 6 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามันหลังประสบภัยคลื่นยักษ์สึนามิ คนไทยด้วยกันเองยังไม่กล้าเดินทางลงไปเที่ยวที่จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญๆ เลย ไม่ว่า ภูเก็ต พังงา กระบี่ ซึ่งทุกวันนี้ยังเงียบเหงาไม่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เหตุผลสำคัญคือ "กลัวผี!" และ "กลัวคลื่นยักษ์" อีก
ส่วนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นแทบไม่ต้องเอ่ยถึงที่คนไทยแทบจะไม่ย่างกรายเข้าไปท่องเที่ยวเลย หรือแม้กระทั่งอำเภอหาดใหญ่ ที่ยังคงเงียบเหงาจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ
เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าจะไปเอาอะไรกับชาวต่างชาติที่ตื่นตระหนกตกใจตามข่าวคราวที่ได้ยินได้ฟังมา เพราะแม้กระทั่งคนไทยเองก็ยังจินตนาการเช่นนั้นเหมือนกัน
"แสงแดด" พินิจพิเคราะห์มาตลอดปีครึ่งว่า สถานการณ์ "ไฟใต้" นั้นจริงๆ แล้วมิได้เกิดจาก "ขบวนการก่อการร้าย" อย่างเด็ดขาด ทั้งจากภายในประเทศและกลุ่มก่อการร้ายนานาชาติ ในช่วงระยะแรกๆ แต่เป็นเพียงกลุ่มบุคคลหลากหลายกลุ่มที่ "สูญเสียผลประโยชน์" มิใช่ "โจรกระจอก" ซึ่งมีทั้ง "สารพัดสี" ทั้งฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปราบปราม ฝ่ายปกครอง รวมทั้งนักการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติ บวกเข้ากับนักธุรกิจท้องถิ่นและระดับชาติที่มี "เครือข่าย" กับนานาสารพัดธุรกิจตั้งแต่ "สีเทา" ยัน "สีดำ"
"ธุรกิจผิดกฎหมาย-ธุรกิจนอกระบบ" เริ่มตั้งแต่ค้าของเถื่อน น้ำมันเถื่อน ยาเสพติด ค้าประเวณี บ่อนการพนัน หวยใต้ดิน ล้วนเป็นธุรกิจที่ดำเนินการอย่างเป็นระบบเป็นเครือข่าย ที่มีมูลค่าการค้าขายปีหนึ่งๆ นับหลายหมื่นล้านบาทหรืออาจจะถึงนับแสนล้านบาท โดยมีกลุ่มบุคคลดังกล่าวข้างต้นโยงใยพัวพันแบ่งปันผลประโยชน์ลงตัว โดยมีการจัดตั้งเหมือน "องค์การ" ที่เรียกภาษาอังกฤษว่า "Syndicated" จนข้าราชการตำรวจ ทหาร พลเรือน บางคนบางกลุ่มมีรายได้มหาศาลจากภาคใต้นี้เดือนละนับหลายล้านบาท ตลอดจนนักการเมือง นักธุรกิจระดับท้องถิ่นและระดับชาติต่างร่ำรวยไปตามๆ กัน
นอกจากนี้ "แสงแดด" ขอวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า กลุ่มก่อความไม่สงบต่างๆ ไม่ว่าขบวนการพูโล เบอร์ซาตู บีอาร์เอ็น และอีกกลุ่มย่อยต่างๆ นั้นล้วนเป็นเครือข่ายของขบวนการที่ฝังตัวอยู่ที่ภาคใต้ และตามแนวตะเข็บพรมแดนไทย-มาเลเซีย หรืออาจจะมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายนานาชาติที่เป็นเพียงการแตะมือเท่านั้น มิใช่ถึงขนาดสนับสนุนเต็มรูปแบบและครบวงจร
กลุ่มต่างๆ ข้างต้นที่อยู่ทางภาคใต้ "แสงแดด" เชื่อว่าไม่แอกทีฟ (Active) ที่มีการซ่องสุมกำลัง อาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงประการใด แต่อาจเป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับ "ธุรกิจนอกระบบ-ผิดกฎหมาย" และร่วมก่อความไม่สงบเพื่อเรียกร้องความสนใจจากรัฐบาลกลางในการทั้งรับเป็น "เหยื่อ" ของการถูกกล่าวร้ายว่าเป็น "ผู้รับผิดชอบ" กับเหตุการณ์ไม่สงบ ตลอดจนการทุ่มเทงบประมาณของรัฐบาลกับการปราบปราม และเพียรพยายามสร้างสันติสุข ทั้งนี้ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมายาวนานแล้ว เพียงแต่ช่วงรัฐบาลนี้ที่ต้องระดมหนักกว่าทุกครั้งในอดีต
นโยบายประกาศ 3 สงครามของรัฐบาลกับยาเสพติด ปราบปรามผู้มีอิทธิพล ทุจริตคอร์รัปชันนั้น ถือว่าเป็น "นโยบายโดนใจ" ประชาชน และที่สำคัญคือ แนวคิดทฤษฎี "อุดมคติดี!" แต่ในทางปฏิบัตินั้น ยากเย็นแสนเข็ญที่จะกระทำได้ เนื่องด้วย "ธุรกิจ-ผลประโยชน์" ทางภาคใต้นั้นล้วนต้อง "ต่อสู้-ต่อต้าน" กับนโยบาย 3 สงครามของรัฐบาลทั้งสิ้น และสำคัญที่สุดคือ ทั้งการปฏิบัติการและผลประกอบการที่ยาวนานและเป็นกอบเป็นกำ!
ถามว่านโยบาย 3 สงครามของรัฐบาลถูกต้องหรือไม่ที่ต้องการ "กวาดล้าง-ทำความสะอาด" ประเทศไทย และนำเอา "ธุรกิจใต้ดิน-ผิดกฎหมาย" ให้ถูกต้องขึ้นมาบนดินให้หมด ก็ต้องตอบว่า "ถูกต้อง!" เพียงแต่ปัญหา 2-3 ประการเท่านั้นที่รัฐบาลอาจกระทำไม่ถูกคือ หนึ่ง ปฏิบัติการแบบรวดเร็ว ไม่ค่อยเป็นค่อยไป โดยน่าจะพิจารณาให้ถ่องแท้ถึงขบวนการ เครือข่ายในเชิงลึก สอง การตอบโต้แบบ "ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน" ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนนั้นเปรียบเสมือน "ประชาชนถูกรังแก!" และ สาม สำคัญที่สุดคือ ความระแวงสงสัยของนโยบายทั้งสามว่ามี "วาระซ่อนเร้น" หรือไม่เนื่องด้วยมีการซุบซิบนินทาว่า กลุ่มแกนนำของรัฐบาล "ไล่ทุบ!" ธุรกิจกลุ่มอื่นๆ จนราบคาบแล้ว "ไล่ต้อน!" นานาสารพัดธุรกิจและผลประโยชน์เข้าเครือข่ายกลุ่มพรรคพวกหมด เข้าทำนอง "ตีเล้าไก่คนอื่นแล้วต้อนเข้าเล้าตนเองหมด!"
การวิเคราะห์ข้างต้นอาจเป็นประเด็นสำคัญที่ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนพร้อมกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ มีความรู้สึกว่า "ถูกทุบหม้อข้าว" จนต้องลุกขึ้นมาเขย่าบัลลังก์รัฐบาลทุกเมื่อเชื่อวันนับปีครึ่งจนประชาคมโลกคิดว่าประเทศไทยเป็นดินแดนมิคสัญญีไปเรียบร้อยแล้ว
จะสงบได้หรือไม่นั้น รัฐบาลโดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ จะพิจารณาอย่างไรเกี่ยวกับรัฐบาลและตนเอง!