xs
xsm
sm
md
lg

สึนามิในอดีต และในอนาคต

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน


ทุกครั้งที่มนุษย์โบราณประสบภัยพิบัติธรรมชาติ เขามักปลงและคิดไปว่า เพราะกรรมเก่าหรือมิฉะนั้นตนได้ลบหลู่ดูหมิ่นเทพเจ้า แต่ถ้าเป็นภัยที่มีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมากมาย คนหลายคนก็จะสงสัยถามกลับไปว่า พระผู้เป็นเจ้ามีพระทัยเช่นใด จึงทำให้คนนับหมื่นนับแสนต้องตาย ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นเป็นคนดีที่มีพระองค์ในดวงใจ

ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2298 ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ขณะเวลาเช้า 9.30 น. ได้มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเกิดขึ้นใต้มหาสมุทรแอตแลนติกทางด้านตะวันออก และพลังแผ่นดินที่สั่นไหวนั้นรุนแรงมากจนทำให้เมืองต่างๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณฝั่งของแหลม Iberia โดยเฉพาะกรุง Lisbon ของโปรตุเกสถูกคลื่นสึนามิถล่ม มีผลให้ผู้คน 50,000 คนเสียชีวิต

บรรดาผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้รายงานว่า ขณะคลื่นอยู่ห่างจากฝั่งคลื่นสูงเพียง 6 เมตร แต่เมื่อคลื่นเดินทางถึงแหลม San Vicente ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโปรตุเกส ความสูงของคลื่นได้เพิ่มสูงถึง 15 เมตร และอีกไม่กี่อึดใจต่อมา คลื่นก็เดินทางถึงเมือง Lisbon ซึ่งเป็นเมืองพาณิชย์ และเป็นศูนย์กลางของศาสนาคาทอลิกในสมัยนั้น คลื่นได้เคลืื่อนเข้าถล่มอาคารบ้านเรือนจนพังพินาศ และมีผลให้คนนับหมื่นถูกน้ำท่วมตาย

นักประวัติศาสตร์ของโปรตุเกสยังได้บันทึกเพิ่มเติมว่า เพราะในวันนั้นอากาศในเมืองค่อนข้างอบอ้าว ชาวเมืองที่เป็นพ่อค้ามั่งคั่งจากธุรกิจอัญมณีได้ตื่นเช้าตามปกติ และเมื่อถึงเวลา 9.40 น. ผู้คนในเมืองรู้สึกว่าพื้นดินและบ้านเริ่มสั่นไหว แล้วก็ได้ยินเสียงดังเสมือนมีรถบรรทุกขนาดใหญ่จำนวนร้อยได้แล่นเข้ามาในเมืองพร้อมกัน จากนั้นแผ่นดินก็เริ่มไหวรุนแรงขึ้นๆ ทำให้อาคารบ้านเรือนเริ่มโอนเอนไปมาเหมือนต้นไม้สูงที่ถูกลมพายุพัดกระหน่ำ จนในที่สุดตัวอาคารก็ได้ทรุดถล่มลงทำให้เกิดเมฆฝุ่นลอยคลุมซากปรักหักพังของตึก และท้องฟ้าเหนือกรุง Lisbon ขณะนั้นก็มีฝุ่นปริมาณมากลอยปกคลุมไปทั่ว จนแสงอาทิตย์ในยามเช้าได้สลัวลง และเมื่อฝนจางผู้คนก็ได้เริ่มเดินบ้างคลานบ้างออกจากซากตึกที่ปรักหักพัง เพื่อค้นหาญาติที่ยังรอดชีวิต

เพราะเหตุว่าทุกหนแห่งในเมืองไม่มีสถานที่ใดที่ปลอดภัย และซากศพเกลื่อนกลาด ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงเดินไปชายทะเล เพราะคิดว่านั่นเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย

แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเมื่อถึงเวลา 11 โมงเช้าของวันเดียวกันนั้น คลื่นสึนามิ 3 ลูกที่สูงประมาณ 7 เมตร ได้ทยอยกระแทกฝั่ง และไหลท่วมผู้คนที่หนีภัยแผ่นดินไหว แต่ก็มาเสียชีวิตในที่สุด เพราะภัยคลื่นสึนามิในเวลาไล่เลี่ยกัน

ส่วนคนบางคนที่ยังมีชีวิตเพราะอยู่ห่างจากฝั่งมาก ก็ต้องประสบปัญหาการไร้บ้านอาศัย สืบเนื่องจากการที่บ้านเรือนถูกไฟไหม้ติดต่อกันนาน 6 วัน หรือแม้แต่โบสถ์วิหารซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ก็ไม่อยู่ในสภาพจะให้คนที่ขาดบ้านมาพำนักอยู่ได้ เพราะรูปปั้นที่มีอัญมณีประดับ และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ในโบสถ์ก็ถูกภัยแผ่นดินไหวทำลายไม่เหลือ

ส่วนอังกฤษซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโปรตุเกสนัก ผู้คนรู้สึกว่าทะเลในวันนั้น มีอะไรหลายอย่างที่ผิดปกติ เพราะได้เห็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่ทยอยโถมเข้าฝั่งจนเรือชาวประมงที่จอดเรียงรายเทียบท่าโคลงเคลงอย่างรุนแรง

ข้อสังเกตหนึ่งที่ได้จากเหตุการณ์สึนามิถล่ม Lisbon คือ ถึงแม้คลื่นจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงในการเดินทางจากโปรตุเกสถึงอังกฤษ แต่ข่าวความหายนะของกรุง Lisbon ต้องใช้เวลานานร่วม 2 อาทิตย์ จึงจะเดินทางถึง London ทั้งนี้เพราะหลังจากที่ได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแล้ว เรือพาณิชย์ต่างๆ ของโปรตุเกสได้ถูกคลื่นทำลายหมด จึงไม่มีเรือเดินทางนำข่าวร้ายของกรุง Lisbon ออกสู่โลกภายนอก จนกระทั่งเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุง Madrid ของสเปนรู้ข่าว จึงได้เขียนจดหมายถึงเพื่อนที่อังกฤษ และทันทีที่ชาวอังกฤษได้สดับข่าว ผู้คนทั้งประเทศตกใจ รัฐบาลและชาวอังกฤษจึงได้จัดส่งเงินทอง และสิ่งของต่างๆ ไปช่วย และผู้คนต่างก็ช่วยกันสวดภาวนาให้พระเจ้าทรงยกโทษให้ชาวโปรตุเกสด้วย

แต่เมื่อถึงวันนี้ เราเข้าใจปรากฏการณ์สึนามิดีขึ้นมาก จนแทบไม่มีใครเชื่ออีกต่อไปว่า สึนามิเกิดจากฝีพระหัตถ์ของเทพเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดอีกต่อไป แต่คลื่นพิฆาตชนิดนี้เกิดจากการเคลื่อนตัวยุบตัวหรือชนกันระหว่างเปลือกทวีป หรืออาจจะเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้มหาสมุทรก็ได้ และเราก็รู้แก่ใจว่า ที่ใดมีทะเล ที่นั่นอาจจะเห็นสึนามิ ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ที่ผ่านมานี้ เมื่อคลื่นสึนามิที่มีความเร็ว 270 เมตร/วินาที ได้เคลื่อนออกจากฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตราข้ามมหาสมุทรอินเดียเข้าพุ่งชนฝั่งของประเทศต่างๆ ที่ตั้งอยู่รายรอบมหาสมุทร ในลักษณะของกำแพงน้ำที่สูงเท่าตึก 2 ชั้น มีผลให้ผู้คนร่วม 3 แสนคนต้องสูญเสียชีวิตไป จึงนับเป็นความหายนะที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

การศึกษาประวัติศาสตร์ของภัยสึนามิทำให้เรารู้ว่า ตลอดเวลา 2,000 ปีที่ผ่านมานี้ สึนามิได้ฆ่าคนไปร่วม 700,000 คนแล้ว และภัยส่วนใหญ่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยภัยรุนแรงครั้งสุดท้ายเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2425 เมื่อภูเขาไฟ Krakatoa ระเบิด

นักสมุทรศาสตร์ปัจจุบันรู้ว่า สึนามิเป็นคลื่นที่มีความยาวคลื่นมาก และอาจเกิดได้จากสาเหตุหลายประการ เช่น เวลามีแผ่นดินไหวใต้มหาสมุทร หรือเวลาโลกถูกอุกกาบาตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100 เมตร พุ่งชนด้วยความเร็วตั้งแต่ 20 เมตร/วินาทีขึ้นไป ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นที่สูงกว่า 27 เมตร พุ่งเข้าสู่ฝั่งขณะอยู่ในน้ำลึกคลื่นจะมีความเร็วสูง แต่ใกล้ฝั่งความเร็วของคลื่นจะลดลง ด้วยเหตุนี้เวลาคลื่นอยู่ห่างจากฝั่งมาก ความสูงของคลื่นจะน้อยไม่เกิน 1 เมตร ทำให้ไม่เห็นหากใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียม ส่วนคนที่อยู่ไกลฝั่งก็ไม่รู้ว่า คลื่นสึนามิได้เคลื่อนที่ผ่านไปแล้ว แต่เมื่อคลื่นเดินทางถึงฝั่งซึ่งตื้น คลื่นจะทวีความสูงจนอาจสูงเท่าตึก 10 ชั้นได้ และมีพลังมากจนสามารถทำให้อาคารบ้านเรือนพังพินาศได้ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีคลื่นลูกที่สอง, สาม , สี่เคลื่อนที่ตามกันมา เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรบนฝั่งหลงเหลืออยู่เลย

ในส่วนของการเตือนภัย และป้องกันภัยนั้น หลักการง่ายๆ คือ หากเราเห็นระดับน้ำทะเลลดอย่างผิดสังเกต ก็ให้รีบเดินทางขึ้นที่สูงหรือขึ้นตึกที่มีรากฐานมั่งคง หรือในกรณีที่รู้สึกว่าแผ่นดินใกล้ทะเลกำลังไหวมาก ก็ให้รีบเดินขึ้นที่สูงโดยไม่ต้องคอยสัญญาณเตือนภัย และเพื่อไม่ให้คนหลายคนท้อใจเวลาสัญญาณเตือนภัยส่งสัญญาณผิด ทางการควรมีระบบเตือนภัยที่ไว้ใจได้ เช่น มี tsunameter หรือมาตรสึนามิที่มีประสิทธิภาพ และมีบุคลากรเช่น นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล หน่วยงานบรรเทาภัยสึนามิ หน่วยงานนโยบายหลบหลีกและป้องกันภัยชนิดนี้ซึ่งจะทำหน้าที่เตือนภัย โดยการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับคลื่นทั้งคลื่นแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิทั้งในมหาสมุทรอินเดีย และอ่าวไทย และมีศูนย์คำนวณและพยากรณ์คลื่นที่จะเกิดซึ่งอุปกรณ์ทั้งหลายทั้งปวงนี้ นอกจากต้องการเงินและเวลาในการดำเนินการแล้ว ยังต้องการความรู้และความร่วมมือของคนในสังคมด้วย และถึงแม้เราจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราก็คงเห็นพ้องกับปราชญ์ Voltaire ผู้ที่เคยให้ข้อคิดว่า แม้สิ่งที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ มิได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็ยังดีกว่าที่เราไม่มีอะไรเลย

สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน


กำลังโหลดความคิดเห็น