วานนี้ (15 ก.ค.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังได้เดินทางไปประชุมหัวหน้าสำนักส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ที่กรมส่งเสริมการส่งออก ถ.รัชดาภิเษก โดยก่อนการประชุมนายทนง พิทยะ รมว.พาณิชย์ และนางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก พร้อมด้วยข้าราชการได้เซอร์ไพรส์ด้วยการจัดงานวันเกินให้กับนายสมคิด โดยมอบกระเช้าดอกไม้ ผลไม้ คือ ลำไย และเค้กรูปลำไย
จากนั้นเป็นการสรุปแนวโน้มการส่งออก-นำเข้า โดยนางจันทราระบุว่า ได้ตั้งสมมติฐานไว้ 2 ข้อ คือ กรณีแรกส่งออกโต 20% มูลค่า 117,196 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าเพิ่ม 24.9% มูลค่า 118,607 ล้านเหรียญสหรัฐ ดุลการค้าขาดดุล 1,411 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนกรณีที่สองส่งออกโต 20% เช่นเดียวกัน แต่นำเข้าโตเพิ่มขึ้นเป็น 27.6% มูลค่า 121,196 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ขาดดุลการค้า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นกรณีที่คุมการนำเข้าน้ำมันและสินค้าไม่จำเป็นไม่ได้
"จากการประเมินในเบื้องต้น เป้าส่งออก 20% ทำได้แน่ เพราะเท่าที่ได้เชิญผู้ส่งออกรายใหญ่ 7 กลุ่มสินค้า ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ อาหาร สิ่งทอ วัสดุก่อสร้าง และอัญมณี คิดเป็น 64.1% ของการส่งออกทั้งหมดมาหารือ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น ส่วนสินค้าอื่นๆ อีก 35.9% เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง พลาสติก เครื่องเดินทาง เครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับตกแต่ง ก็บอกว่าจะส่งออกได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน"นางจันทรากล่าว
หลังจากรับฟังข้อมูลต่างๆ แล้ว นายสมคิดกล่าวว่า ขอบคุณที่กรุณาอวยพรวันเกิดให้ จากปกติไม่เคยจัดอยู่แล้ว จนอายุ 52 ขึ้น 53 เพราะไม่ต้องการให้เป็นภาระใคร โดยเมื่อจัดให้ก็อยากจะบอกความลับที่คิดไว้ ก็คือ ได้อธิฐานให้ประเทศไทยมีความสามัคคี ฝ่าฟันอุปสรรคให้จงได้ และมีสิทธิ์ที่จะขอของขวัญจากทูตพาณิชย์ โดยขอให้ครึ่งปีหลังทำงานให้เต็มที่ เพราะสิ่งเหล่านี้ท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำให้ประเทศ
"เรื่องส่งออก ครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 13.6% ครึ่งปีหลังมีโอกาสทำได้ 20% ตามที่ตั้งไว้ และอย่าไปสนพวกมือไม่พาย แล้วค่อนขอด ต้องตัดหางปล่อยวัดไปซ่ะ เพราะหากเราล๊อคพลังงานได้ ขันน๊อตนำเข้าได้ ที่เหลือให้มีรายได้เข้ามาจากการส่งออก และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่ม เราจะขาดดุลการค้าลดลง และดุลบัญชีเดินสะพัดจะดีขึ้น ทำให้ความมั่นใจจะกลับคืน และไม่ตื่นตระหนก"นายสมคิดกล่าว
นายสมคิดกล่าวว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปจัดงานไทยแลนด์ โพกัส สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ ประมาณเดือนก.ย.2548 โดยให้เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้าจากทั่วโลกเข้ามาร่วมงาน และภายในงานจะจัดหมวดหมู่ของสินค้าไว้อย่างชัดเจน แต่ต้องมีทุกกลุ่มสินค้าสำคัญๆ ของประเทศ เพื่อให้ผู้ซื้อ ผู้นำเข้าได้เข้ามาเลือกซื้อ เพราะถ้ามัวแต่ปล่อยไปตามธรรมชาติ จะต้องมาลุ้นยอดการส่งออกในแต่ละเดือนว่าจะทำได้หรือไม่ มันจะไม่ทันการณ์
"เราจัดงานอย่างนี้ดีกับประเทศเราด้วย เพราะเป็นการสร้างความเชื่อมั่น เหมือนกับที่เครือสหพัฒน์เข้าจัดงาน เขาก็เชิญผู้ซื้อ เชิญลูกค้าของเขาเข้ามา ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เราก็ควรจะทำเหมือนกับที่ได้ทำแล้วในส่วนของตลาดหุ้น"นายสมคิดกล่าว
นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ไปดำเนินการเสาะหาข้อมูลการตลาดให้กับสินค้าไทย การเปิดตลาดใหม่ๆ การหาลูกค้าใหม่ และให้ไปศึกษาลู่ทางการเข้าสู่ตลาดในแต่ละประเทศด้วยว่าจะเข้าไปยังไง วิธีการไหน และมีปัญหาอุปสรรคอะไรที่จะต้องแก้ไข และต้องแก้ไขระดับไหน เช่น จีน การดูต้องดูเป็นรายมณฑลว่าไทยจะมียุทธศาสตร์ในการเจาะตลาดยังไง หรือถ้ามีปัญหามันติดอยู่ตรงไหน ติดอยู่ที่ใคร ให้บอกมา แล้วจะไปเจรจากับระดับสูงของจีนให้
อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้ จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดการกับการนำเข้าสินค้า เพื่อดูแลไม่ให้ไทยขาดดุลการค้าเพิ่มมากขึ้น
จากนั้นเป็นการสรุปแนวโน้มการส่งออก-นำเข้า โดยนางจันทราระบุว่า ได้ตั้งสมมติฐานไว้ 2 ข้อ คือ กรณีแรกส่งออกโต 20% มูลค่า 117,196 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าเพิ่ม 24.9% มูลค่า 118,607 ล้านเหรียญสหรัฐ ดุลการค้าขาดดุล 1,411 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนกรณีที่สองส่งออกโต 20% เช่นเดียวกัน แต่นำเข้าโตเพิ่มขึ้นเป็น 27.6% มูลค่า 121,196 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ขาดดุลการค้า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นกรณีที่คุมการนำเข้าน้ำมันและสินค้าไม่จำเป็นไม่ได้
"จากการประเมินในเบื้องต้น เป้าส่งออก 20% ทำได้แน่ เพราะเท่าที่ได้เชิญผู้ส่งออกรายใหญ่ 7 กลุ่มสินค้า ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ อาหาร สิ่งทอ วัสดุก่อสร้าง และอัญมณี คิดเป็น 64.1% ของการส่งออกทั้งหมดมาหารือ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น ส่วนสินค้าอื่นๆ อีก 35.9% เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง พลาสติก เครื่องเดินทาง เครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับตกแต่ง ก็บอกว่าจะส่งออกได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน"นางจันทรากล่าว
หลังจากรับฟังข้อมูลต่างๆ แล้ว นายสมคิดกล่าวว่า ขอบคุณที่กรุณาอวยพรวันเกิดให้ จากปกติไม่เคยจัดอยู่แล้ว จนอายุ 52 ขึ้น 53 เพราะไม่ต้องการให้เป็นภาระใคร โดยเมื่อจัดให้ก็อยากจะบอกความลับที่คิดไว้ ก็คือ ได้อธิฐานให้ประเทศไทยมีความสามัคคี ฝ่าฟันอุปสรรคให้จงได้ และมีสิทธิ์ที่จะขอของขวัญจากทูตพาณิชย์ โดยขอให้ครึ่งปีหลังทำงานให้เต็มที่ เพราะสิ่งเหล่านี้ท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำให้ประเทศ
"เรื่องส่งออก ครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 13.6% ครึ่งปีหลังมีโอกาสทำได้ 20% ตามที่ตั้งไว้ และอย่าไปสนพวกมือไม่พาย แล้วค่อนขอด ต้องตัดหางปล่อยวัดไปซ่ะ เพราะหากเราล๊อคพลังงานได้ ขันน๊อตนำเข้าได้ ที่เหลือให้มีรายได้เข้ามาจากการส่งออก และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่ม เราจะขาดดุลการค้าลดลง และดุลบัญชีเดินสะพัดจะดีขึ้น ทำให้ความมั่นใจจะกลับคืน และไม่ตื่นตระหนก"นายสมคิดกล่าว
นายสมคิดกล่าวว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปจัดงานไทยแลนด์ โพกัส สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ ประมาณเดือนก.ย.2548 โดยให้เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้าจากทั่วโลกเข้ามาร่วมงาน และภายในงานจะจัดหมวดหมู่ของสินค้าไว้อย่างชัดเจน แต่ต้องมีทุกกลุ่มสินค้าสำคัญๆ ของประเทศ เพื่อให้ผู้ซื้อ ผู้นำเข้าได้เข้ามาเลือกซื้อ เพราะถ้ามัวแต่ปล่อยไปตามธรรมชาติ จะต้องมาลุ้นยอดการส่งออกในแต่ละเดือนว่าจะทำได้หรือไม่ มันจะไม่ทันการณ์
"เราจัดงานอย่างนี้ดีกับประเทศเราด้วย เพราะเป็นการสร้างความเชื่อมั่น เหมือนกับที่เครือสหพัฒน์เข้าจัดงาน เขาก็เชิญผู้ซื้อ เชิญลูกค้าของเขาเข้ามา ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เราก็ควรจะทำเหมือนกับที่ได้ทำแล้วในส่วนของตลาดหุ้น"นายสมคิดกล่าว
นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ไปดำเนินการเสาะหาข้อมูลการตลาดให้กับสินค้าไทย การเปิดตลาดใหม่ๆ การหาลูกค้าใหม่ และให้ไปศึกษาลู่ทางการเข้าสู่ตลาดในแต่ละประเทศด้วยว่าจะเข้าไปยังไง วิธีการไหน และมีปัญหาอุปสรรคอะไรที่จะต้องแก้ไข และต้องแก้ไขระดับไหน เช่น จีน การดูต้องดูเป็นรายมณฑลว่าไทยจะมียุทธศาสตร์ในการเจาะตลาดยังไง หรือถ้ามีปัญหามันติดอยู่ตรงไหน ติดอยู่ที่ใคร ให้บอกมา แล้วจะไปเจรจากับระดับสูงของจีนให้
อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้ จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดการกับการนำเข้าสินค้า เพื่อดูแลไม่ให้ไทยขาดดุลการค้าเพิ่มมากขึ้น