xs
xsm
sm
md
lg

ดาว เดือน ดิน ฟ้า ก็อาเพศ!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ท่านนายกทักษิณเป็นคนดัง จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็เป็นเรื่องดังไปทั้งนั้น เมื่อวันก่อนก็ได้พูดถึงเหตุผลในการหยุดให้สัมภาษณ์ว่าเนื่องจากดาวพุธไม่ค่อยดี แต่ในที่สุดก็หยุดไม่ได้ และต้องออกมาให้สัมภาษณ์อีก

จึงทำให้เกิดความสนใจในเรื่องดวงดาวกันมากขึ้น บรรดาโหร หมอดู และนักข่าว นักเขียน ตลอดจนสื่อมวลชนจำนวนมากก็พากันกล่าวถึงเรื่องดาวดี ดาวไม่ดี แม้ขนาดคุณสามารถ มังสังข์ มัคนายกใหญ่ของค่ายผู้จัดการก็ยังต้องเขียนบทความเกี่ยวกับดวงดาวไว้อย่างน่าสนใจในบทความซึ่งได้ลงตีพิมพ์เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2548

ไม่อยากจะวิจารณ์เกี่ยวกับดาวพุธว่ามีผลต่อการพูดจาของท่านนายกทักษิณอย่างไร เพราะไม่ทราบว่าดวงชะตาของท่านเป็นประการใด เมื่อไม่รู้ว่าดวงชะตาเป็นประการใดแล้วก็ไม่อาจพิจารณาถึงตำแหน่งเรือน การให้คุณให้โทษของดวงดาวใด ๆ ได้

แต่ก็พอจะพูดได้ว่าดาวพุธนั้นหมายถึงการสื่อสาร การสื่อความเข้าใจ งานสื่อสารมวลชน งานเจรจา หรือเรื่องเกี่ยวกับสัญญาหรือสนธิสัญญา ดาวพุธไม่มีดีมีร้ายกับใครเป็นการเฉพาะ แต่จะดีร้ายประการใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับเรือนที่ดาวพุธสถิตว่าเป็นเรือนอะไร และตำแหน่งที่สถิตดีร้ายประการใด ทั้งในขณะที่ดาวพุธจรมาตกเรือนและตำแหน่งใด รวมทั้งในห้วงเวลานั้น ๆ ดาวพุธมีคุณสมบัติดีร้ายคือเป็นศรีหรือเป็นกาลกิณีแก่เจ้าชะตาประการใด

หากตำแหน่งเรือนและคุณสมบัติของดาวพุธดี มีคุณแล้ว เรื่องราวที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของดาวพุธก็จะส่งผลไปในทางดี ตรงกันข้ามหากตำแหน่งเรือนและคุณสมบัติของดาวพุธไม่ดี หรือให้โทษแล้ว เรื่องราวที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของดาวพุธก็จะส่งผลไปในทางไม่ดี

ถ้าพิจารณาในแง่ของดวงเมืองก็ต้องถือว่าดาวพุธในปัจจุบันนี้ไม่ได้ให้โทษแต่กลับให้คุณแก่ประเทศชาติและประชาชน เพราะในขณะที่ลัคนาดวงเมืองสถิตอยู่ที่ราศีเมษนั้น ในปัจจุบันนี้ดาวพุธกำลังโคจรอยู่ในราศีกรกฎ ซึ่งเป็นราศีธาตุน้ำ มีพระจันทร์เป็นเจ้าเรือน และพระจันทร์ก็ครองเรือนนี้อยู่ในดวงเมือง

ดังนั้นผลที่มีต่อบ้านเมืองและประชาชนก็คือ ประชาชนจะได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องมากขึ้นโดยลำดับ มีความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้นโดยลำดับ แต่การที่ประชาชนรู้สึกนึกคิดและรับรู้ข้อมูลข่าวสารถูกต้องนั้นจะเป็นผลดีหรือเป็นผลร้ายกับใครก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เพราะบางทีความจริงก็เป็นคุณกับพวกหนึ่ง แต่เป็นโทษกับอีกพวกหนึ่ง หรือบางครั้งความเท็จก็เป็นคุณกับพวกหนึ่ง และเป็นโทษกับอีกพวกหนึ่ง ดังนั้นในยามที่ดาวพุธให้คุณแก่ประเทศและประชาชนที่จะได้มีความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้อง รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องมากขึ้น จึงมีแต่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองเป็นแน่แท้

ดังนั้นอย่าได้ตำหนิด่าว่าดาวพุธเลย! ดาวพุธจะให้คุณให้โทษกับใครก็เป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติและกรรมที่ทำกันไว้ ไม่ใช่เรื่องที่จะโทษดาวเดือน หากจะตำหนิติโทษกันแล้วก็ตำหนิติโทษการกระทำของตนนั่นแหละจึงจะชอบ

ดาวพุธดีไม่ดียังไม่สำคัญเท่ากับดาวอังคาร ซึ่งในทางโหราศาสตร์และคัมภีร์พยากรณ์มีความหมายถึงเรื่องพลังงาน เรื่องทหาร เรื่องนักรบ และเรื่องความมั่นคง และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2548 เป็นต้นไปดาวอังคารจะโคจรวิปริตผิดปกติขนาดหนัก ชนิดที่เกิดขึ้นได้ยากมาก จึงจัดเป็นอาเพศชนิดหนึ่งที่ปรากฏขึ้นบนนภากาศ

นั่นคือตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2548 เวลา 14.17 น. ดาวอังคารจะโคจรย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษทับลัคนาดวงเมือง ซึ่งมีดาวอาทิตย์กุมลัคนาดวงเมืองอยู่ และดาวอังคารนี้จะยังคงโคจรอยู่ในราศีเมษนี้ไปจนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 00.04 น. ซึ่งหมายความว่าดาวอังคารจะโคจรทับลัคนาดวงเมืองอยู่ในราศีเมษเป็นระยะเวลาถึง 6 เดือน 20 วัน

ที่ว่าเป็นเรื่องวิปริตถึงขั้นเป็นอาเพศก็เพราะว่า พระอังคารนั้นมีปกติโคจรอยู่ในแต่ละราศีเพียงเดือนครึ่งเท่านั้น การที่ดาวอังคารกลับมาโคจรอยู่ในราศีเมษในห้วงเวลาดังกล่าวเป็นระยะเวลาถึง 6 เดือน 20 วัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยปรากฏ เหตุนี้ท่านจึงว่าเป็นอาเพศที่ปรากฏขึ้นบนนภากาศ

สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีทรงนิพนธ์คำฉันท์ซึ่งแปลจากคัมภีร์จักรทีปนีเดิมซึ่งพระอุตตมะรามเถรได้รจนาไว้เป็นภาษาบาลีเกี่ยวกับระยะเวลาการโคจรของเดือนดาวไว้อย่างไพเราะและงดงามอย่างยิ่งว่า

“แถลงปางนพเคราะห์     สุรเทพโคจร
ในจักรากร     ทวิทัศราศี
โดยอานุภาพผยอง     จรท่องวิถีลี
พักรเสริดและมนท์มี     วิสมห้าประการกล
ปางนี้แสดงโดย     อัฐเคราะห์เสด็จดล
ห่อนเป็นจราจล     วิปริตสุภาพภัย
ปางองค์อาทิตย์เทพ     สถิตที่สถานใด
ราศีละเดือนไถง     ก็ละล่าราศีจร
ฝ่ายจันทร์ประจำจักร     ทวิวันรวิจร
กับกึ่งทิวากร     บ่มินานก็ล่าลง
อังคารสถิตจักร     จรโดยวะเวียนวง
เดือนกึ่งก็จำนง     สละล่าจักราคลา”

การโคจรของดาวอังคารในระยะเวลา 6 เดือน 20 วันนั้นมีลักษณะที่คดเคี้ยวเป็นบางช่วง เป็นวงโค้งเป็นบางช่วง ดังเช่นในวันที่ 5 กันยายน 2548 จะโคจรคดเคี้ยวในลักษณะวกกลับสั้นๆ ที่องศา 27 องศา 15 ฟิลิปดา มาที่ 27 องศา 12 ฟิลิปดา หรือในวันที่ 17 กันยายน 2548 ก็จะโคจรลักษณะเดียวกันที่องศา 28 องศา 22 ฟิลิปดา มาที่ 28 องศา 18 ฟิลิปดา และมีลักษณะอย่างเดียวกันอีกในวันที่ 27 และ 29 กันยายน 2548, 4 ตุลาคม 2548, 6 ตุลาคม 2548

ครั้นถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2548 วงโค้งของการโคจรก็จะโค้งในลักษณะถอยหลัง ที่ตำแหน่ง 29 องศา 7 ฟิลิปดา และถอยหลังเรื่อยไปจนกระทั่งถึงวันที่ 13 ธันวาคม 2548 ก็จะถอยหลังไปถึงที่สุดที่ตำแหน่ง 15 องศา 38 ฟิลิปดา วันรุ่งขึ้นก็จะเริ่มโคจรวงโค้งไปด้านหน้า ที่ตำแหน่ง 15 องศา 48 ฟิลิปดา และจะโคจรเดินหน้าเป็นลำดับไปจนกระทั่งโคจรย้ายไปราศีพฤษภในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549

ลักษณะการโคจรวิปริตผิดปกติของพระอังคารดังกล่าวนั้นบางครั้งที่โคจรช้ากว่าปกติเรียกว่ามนฑคติ บางครั้งที่โคจรคดเคี้ยวเรียกว่าวังกคติ บางครั้งที่โคจรคดเคี้ยวมากเรียกว่าอติวังกคติ และบางห้วงที่โคจรเป็นวงโค้งดุจวงเดือนจะเรียกว่ากฏิลคติ

อาการผิดปกติเกี่ยวกับวิถีโคจรของดาวเดือนนั้นมีอยู่ห้าประการ คือนอกจากสี่ประการดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีการโคจรที่เร็วกว่าปกติเรียกว่าสิงฆคติ และความผิดปกติของการโคจรของพระอังคารในห้วงเวลาดังกล่าวนั้นต้องด้วยลักษณะผิดปกติถึงสี่ประการในห้าประการ

โบราณว่าหากดาวอังคารโคจรวิปริตผิดปกติครบถ้วนทั้งห้าประการ ให้พยากรณ์ว่าจะเกิดสงครามใหญ่ แต่คราวนี้การโคจรวิปริตผิดปกติแค่สี่ในห้าประการ จึงคงไม่ถึงกับเป็นสงครามใหญ่

ดังนั้นในห้วงเวลา 6 เดือน 20 วัน นับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2548 จึงน่าที่จะมีความไม่ปกติเกิดขึ้น ในเรื่องของพลังงาน ในเรื่องของนักรบ นักการทหาร และความมั่นคง ตลอดจนสถานการณ์ความไม่สงบ จึงเป็นเรื่องที่คนทั้งปวงไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาทเป็นอันขาด

ได้ลองตรวจวิถีโคจรของพระอังคารในอดีตที่ผ่านมาว่ามีลักษณะเดียวกันนี้หรือไม่ ก็พบว่าครั้งล่าสุดพระอังคารโคจรวิปริตผิดปกติถึงขั้นเป็นอาเพศในปี พ.ศ. 2533 ถึง พ.ศ. 2534 นั่นคือพระอังคารโคจรจากราศีเมษเข้าสู่ราศีพฤษภในวันที่ 1 สิงหาคม 2533 และโคจรวิปริตผิดปกติอยู่ในราศีพฤษภนั้นถึงวันที่ 24 มีนาคม 2534 นับระยะเวลา 7 เดือน 23 วัน มากกว่าคราวนี้ 1 เดือน 3 วัน

ในห้วงเวลาดังกล่าวนั้นก็เกิดปัญหาพลังงาน เกิดปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดนและเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายทหาร จนกระทั่งวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 คณะ รสช. ก็ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ มีการยึดทรัพย์นักการเมืองและมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ดังที่รู้ ๆ กันอยู่

นั่นเป็นเรื่องของเหตุการณ์ในอดีต แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดขึ้นซ้ำรอยอย่างเดียวกัน เพราะวิถีโคจรของดวงดาวอื่น ๆ อาจจะไม่ตรงกัน อาจจะสถิตในเรือนไม่เหมือนกัน อาจจะมีตำแหน่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน และอาจจะมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน ทั้งการปะทะทับกันของพระเคราะห์ที่โคจรมากับชะตาเดิมของดวงเมืองและชะตาผู้นำก็อาจไม่เหมือนกัน

การจะเป็นประการใดจึงเป็นเรื่องที่บรรดาท่านผู้รู้จะได้พิจารณาศึกษาและน่าที่ท่านยอดธง ทับทิวไม้ คุณสามารถ มังสัง หรือ พล.ต.ต. สุชาติ เผือกสกนธ์ ซึ่งล้วนเป็นมหาคุรุทางโหราศาสตร์ จะได้ตรวจสอบและบอกเล่าผลพยากรณ์ให้ได้ทราบทั่วกัน

แต่อย่าได้ถือเป็นเรื่องจริงเรื่องจังอะไรเลย เพราะไหนเลยดวงดาวจะส่งผลอิทธิพลต่อผู้คนได้ เนื่องจากสัตว์ทั้งหลายย่อมต้องเป็นไปตามกรรม ทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น แม้กระนั้นหากจะไม่ใส่ใจเหลียวดูกันไว้บ้างก็เท่ากับทอดทิ้งโอกาสที่อาจเตือนสติตนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็มีปรากฏอยู่ว่าเรื่องแบบนี้บางทีก็เผอิญเป็น ดังเช่นเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองที่ถูกระบุว่าเพราะผู้ปกครองไม่ตั้งอยู่ในสัตย์ในธรรม จึงบังเกิดอาเพศเป็นเหตุสิบหกประการคือ

“…เดือนดาวดินฟ้าจะอาเพศ     อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ     เกิดนิมิตพิสดารทุกบ้านเรือน
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก     อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง     ผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไกล
พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี     พระกาฬกลีจะเข้ามาเป็นไส้
พระธรณีจะตีอกให้     อกพระกาฬจะไหม้อยู่เกรียมกรม
ในลักษณะทำนายไว้บ่ห่อนผิด     เมื่อวินิจพิศดูก็เห็นสม
มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม     มิใช่เทศกาลลมลมก็พัด
มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น     มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ
ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัด     เกิดวิบัตินานาทั่วสากล”

ขอผองเราจงอย่าได้ตั้งอยู่ในความประมาท จงแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้พ้นจากเวร ปราศจากทุกข์ ถึงซึ่งความสุขสันติ เร่งความเพียรในการละบาป บำเพ็ญบุญ และชำระอบรมจิตตนให้บริสุทธิ์ถ้วนทั่วกันเทอญ
กำลังโหลดความคิดเห็น