ถ้าท่านผู้อ่านมีโอกาสติดตามข่าวการเมือง ก็คงจะเห็นลีลาแห่งการปฏิเสธการตอบคำถามเรื่องการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยการอ้างดาวพุธเสีย และคงจะเกิดข้อกังขาขึ้นมาเหมือนกับเกือบทุกท่านว่า การไม่พูดไปเกี่ยวกับดาวพุธได้อย่างไร ทั้งจะตามมาด้วยประเด็นแห่งความสงสัยต่อเนื่องว่า การหยุดพูดเป็นการแก้ดาวพุธเสียได้จริงหรือ
ด้วยประเด็นแห่งข้อกังขา 2 ประการดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนในฐานะโหรสมัครเล่นที่พอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง จึงใคร่ขอนำเรื่องนี้มาอธิบายเล่าสู่กันฟัง
เริ่มด้วยประเด็นที่เกี่ยวกับเนื้อหาแห่งโหราศาสตร์ ในส่วนที่ว่าด้วยดาวพุธ และดาวอื่นที่มีส่วนสัมพันธ์กับดาวพุธ ทั้งที่มีผลในทางบวกหรือที่เรียกว่าให้คุณ และมีผลในทางลบหรือที่เรียกว่า ให้โทษ
ดาวพุธจะให้คุณก็ต่อเมื่อโคจรอยู่ในตำแหน่งที่ดี เรือนที่ดี และมีมุมสัมพันธ์กับดาวที่ช่วยให้ดาวพุธให้คุณแก่เจ้าชะตา
ตำแหน่งที่ดีได้แก่ ตำแหน่งเกษตรและมหาอุจ เป็นต้น เรือนที่ดีได้แก่ เรือนกระฎุมภะและลาภะ เป็นต้น
มุมสัมพันธ์กับดาวอาทิตย์อันถือเป็นคู่ทางวิชาการ เป็นต้น
ส่วนประเด็นดาวพุธเสียก็คือ มีนัยตรงกันข้ามกับดาวพุธดี คืออยู่ในตำแหน่งเสีย เรือนเสีย และมุมสัมพันธ์กับดาวที่ให้โทษ เช่น ดาวพุธอยู่ในตำแหน่งประหรือนิจเรียกว่า เสียโดยตำแหน่งอยู่ในเรือน อริ มรณะ หรือวินาศเรียกว่าเสียโดยเรือน และมีมุมสัมพันธ์กับดาวราหูเรียกว่า เสียโดยมีดาวอื่นเบียนหรือโดยทางมุมสัมพันธ์
โดยสรุปเพื่อเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ดาวพุธเสียโดยตำแหน่งเรือน และมุมสัมพันธ์
อีกประการหนึ่ง เมื่อพูดถึงดาวดวงใดดวงหนึ่งเสีย ขอให้ท่านผู้เข้าใจว่าหมายถึง ดาวจรเข้ามาสู่สุดที่ก่อให้เกิดโทษจะด้วยตำแหน่งเรือน หรือมุมสัมพันธ์ก็ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างพร้อมกัน เป็นต้นว่า ดาวพุธโคจรเข้าสู่เรือนอริ และทำมุมกับดาวราหูในดวงเดิม เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าท่านผู้อ่านจะดูว่าดาวพุธให้โทษแก่ดวงชะตาหมายถึงว่า ท่านจะต้องมีดวงชะตาของบุคคลคนนั้นอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว จึงจะบอกได้ว่าดาวพุธเสียหรือไม่ และถ้าเสีย เสียอย่างไร? โดยตำแหน่ง โดยเรือน หรือโดยมุมสัมพันธ์กับดาวอื่น
ในทำนองเดียวกัน ถ้าบอกว่าดวงท่านนายกฯ ในขณะนี้ ดาวพุธเสียนั่นก็หมายความว่า จะมีดวงชะตาท่านนายกฯ อยู่ในมือ และในกรณีนี้ผู้เขียนไม่มีดวงนายกฯ ทักษิณอยู่ในมือ จึงยากที่จะบอกได้อย่างชัดเจนว่า ดาวพุธเสียหรือไม่อย่างไร
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อสัปดาห์ก่อนบังเอิญได้อ่านข้อเขียนของเปลว สีเงิน ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ทำให้ทราบว่า ดวงท่านนายกฯ ทักษิณมีลัคนาอยู่ราศีกันย์จากวลีที่ว่า เป็นดวงแตก เนื่องจากดาวราหูเล็งลัคนา และถ้าดวงนี้ถูกต้องก็จะนำไปสู่การบอกเรือน และบอกมุมสัมพันธ์ของดาวพุธได้เป็นอย่างดีว่าเสียอย่างไรดังนี้
จากข้อมูลที่ปรากฏ และมีการเผยแพร่ ท่านนายกฯ ทักษิณ เกิดวันที่ 26 ก.ค. 2492 และถ้ามีลัคนาเกิดอยู่ที่ราศีกันย์จริงก็จะปรากฏว่า ดาวพุธกุมดาวอาทิตย์ และดาวจันทร์อันเป็นกาลกิณี (เนื่องจากเกิดวันอังคาร) อยู่ราศีกรกฎ โดยมีดาวราหูอยู่ราศีมีน
ถ้ามองในแง่เนื้อหาแห่งโหราศาสตร์ที่เกี่ยวกับดาวพุธก็ถือว่า พุธให้คุณในฐานะที่กุมอาทิตย์เป็นคู่วิชาการ ทำให้ดวงนี้โดดเด่นในด้านความรู้และเป็นดวงมีความสามารถโดยการแสดงออกด้านวิชาการสูง
แต่ดาวพุธนี้ทำมุมตรีโกณกับดาวราหูในดวงเดิม และดาวราหูเล็งลัคนาอันถือว่าเป็นดวงแตกด้วย และเรียกได้ว่าพุธให้โทษในส่วนที่เกี่ยวกับการพูด เอกสารสัญญา และดวงลักษณะนี้เท่าที่เคยพบมาเสี่ยงต่อการตกเป็นจำเลยในคดีแพ่งได้ง่าย
ประกอบกับในดวงเดิมมีพฤหัสฯ เป็นนิจ ในราศีมังกรทำมุมตรีโกณลัคนาซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่ให้โทษเกี่ยวกับการพูดจา แล้วก่อให้เกิดโทษแก่ตนเองได้ง่าย หรือที่ตำราเรียกว่า โอษฐภัยคือ ภัยอันเกิดจากการพูดนั่นเอง ทั้งหมดนี้คือพื้นดวงเดิมที่เกี่ยวกับการพูดแล้วก่อให้เกิดโทษ
แต่ในแง่ของดวงจรก็จะต้องนำมาดูด้วยว่า ทำไมจึงเกิดโทษในขณะนี้ และการแก้ปัญหาด้วยการไม่พูดแก้ปัญหาได้หรือไม่?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านผู้อ่านที่พอรู้เรื่องโหรอยู่บ้าง ขอให้เปิดปฏิทินโหราศาสตร์ขึ้นมาดูก็จะพบว่า ดาวราหูยกเข้าสู่ราศีมีนกับราหูเดิม และทำมุมเทียบพุธเดิมตั้งแต่ 13 มี.ค. 2548 ที่ผ่านมา ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ดาวพุธจรเข้าทำมุมราหูเดิมก็จะให้โทษทันที เช่น ในช่วง 23 มิ.ย.-27 ส.ค. ดาวพุธโคจรเข้าทับพุธเดิม และทำมุมกับราหูเดิม การพูดจาในช่วงนี้ถ้าไม่ระวังให้ดีจะก่อให้เกิดศัตรูทางคำพูดได้ง่าย ถึงแม้ว่าจะมีเจตนาดีก็ตาม จึงไม่ต้องพูดถึงการพูดที่มีเจตนาแอบแฝงว่ามีโทษหรือไม่
เมื่อดูดวงผู้นำแล้ว ก็จะต้องดูดวงเมืองประกอบเพื่อให้เห็นว่า เมื่อดวงผู้นำไม่ค่อยดีแล้ว ดวงเมืองเป็นอย่างไร ในเรื่องเดียวกันคือเกี่ยวกับการพูด การสื่อสาร และการตกลงเจรจาต่างๆ อันเป็นเรื่องที่บอกได้ด้วยการดูดาวพุธทั้งสิ้น รวมไปถึงกระแสข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจด้วย
ดวงเมืองกรุงเทพฯ มีลัคนาอยู่ที่ราศีเมษ และมีดาวพุธกับราหูอยู่ราศีมีนอันเป็นดวงเดิม
ดังนั้น เมื่อดาวราหูยกเข้าสู่ราศีมีนก็เท่ากับราหูทับพุธ และราหูเดิม จึงส่งผลให้การเจรจารวมไปถึงการทำสัญญาทุกประการจะต้องมีความรอบคอบ เพราะมีโอกาสเสียเปรียบคู่สัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ของผลประโยชน์ในการแลกเปลี่ยน
ยิ่งกว่านี้เท่าที่เคยสังเกตว่า เมื่อใดก็ตามที่ดาวราหูเข้าทำมุมกับดาวพุธ ในที่นั่นจะมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องค่าเงินจะอ่อนตัว และมีผลกระทบถึงราคาสินค้านำเข้า ซึ่งเป็นต้นตอโดยตรงต่อการขาดดุลการค้า และดุลการชำระเงินติดต่อกันนานๆ เป็นปี
ดังนั้น ในปี 2548 จะเห็นได้ว่าตั้งแต่เดือนมี.ค. เป็นต้นมา ประเทศไทยเริ่มขาดดุลการค้าเรื่อยมา และคงจะเป็นไปในทำนองนี้อย่างน้อยเป็นปี
แต่ในการดูดวงเรื่องเศรษฐกิจ ดาวพฤหัสฯ ก็เป็นตัวแปรที่จะต้องนำมาดูประกอบ ถ้าปรากฏว่าดาวดวงนี้อยู่ในตำแหน่งดีก็จะบรรเทาปัญหานี้ได้บ้าง
อย่างเช่นในปี 2548 นี้ ดาวพฤหัสฯ จะให้โทษหรือไม่อยู่ในฐานะถ่วงดุลราหูได้จากมี.ค.-ก.ย. 2548 เนื่องจากเป็นประ
แต่เมื่อเลย 23 ก.ย.ไปแล้ว จะเข้าเล็งลัคนา การขาดดุลก็จะลดลง ส่วนว่าช่วงที่ลดลงนั้นจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับดวงผู้นำด้วย เพราะดวงคนกับดวงเมืองจะต้องดูควบคู่กันเสมอ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าดูกันแล้วปรากฏว่าดวงผู้นำประเทศไทยยังคงต้องหนักไปอย่างน้อย 1 ปี ในเรื่องเศรษฐกิจคือ จะดีขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อราหูจากไป
แต่ในด้านการเมืองคงจะไม่ดีขึ้น เมื่อดาวเสาร์มาทับจันทร์ และอาทิตย์เพราะบ่งชัดเจนถึงความแตกแยกของคนในพรรค และในครอบครัว ซึ่งในแง่ของประเทศน่าจะหมายถึงการต่อต้านของประชาชนต่อรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อผู้นำจะยังคงมีต่อไปอย่างน้อย 2 ปีครึ่ง นับจาก 29 มิ.ย. 2548 เป็นต้นไป
จากนัยแห่งการเมืองดังกล่าวแล้ว พออนุมานได้ว่า ท่านผู้นำรัฐบาลในขณะนี้คงจะต้องพบกับปัญหาเศรษฐกิจ และการเมืองรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นับจากนี้ไป
ส่วนว่าพบกับปัญหาแล้วจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ต้องดูจากพื้นดวงเดิมว่ามีความแข็งแกร่งแค่ไหน เพียงไรหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้จะดูได้โดยพิจารณาจากองค์ประกอบของดวงเดิม 2 ประการคือ
1. ดาวพฤหัสฯ ในดวงเดิมว่าสามารถให้คุณให้โทษหรือที่ภาษาโหรเรียกว่า คุ้มครองได้หรือไม่
2. ดาวร้ายๆ ที่มาเบียนเช่น เสาร์ และราหูที่กำลังเข้มแข็งแค่ไหน เมื่อเทียบกับดาวพฤหัสฯ
จากปัจจัย 2 ประการดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่าโดยพื้นดวงแล้วพฤหัสฯ ที่เป็นนิจมีกำลังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับดาวราหูที่ทับราหู และทำมุมเล็งลัคนาที่ทำให้เกิดโทษถึงดวงแตกได้
คำว่าดวงแตกหรือภินทุบาทว์หมายถึงว่า เป็นทุกขลาภคือทำท่าว่าจะได้ดีแล้วไม่ได้ เพราะมีปัจจัยทำให้ต้องผิดหวัง และอีกประการหนึ่งก็คือ ได้ดีแล้วรักษาความดีไว้ไม่ได้ มีอันต้องสูญเสียความดีที่ว่านี้ไป เพราะมีปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งมาเบียน
ส่วนว่าของท่านนายกฯ จะเข้าข่ายประเด็นไหนใน 2 ประเด็นนี้ ผู้เขียนคิดว่าท่านผู้อ่านคงคาดเดาได้เอง โดยไม่ต้องชี้นำให้เป็นการซ้ำเติมให้ปัญหาที่มีอยู่แล้วยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น
ส่วนประเด็นว่า เมื่อดาวพุธเสียจะแก้ด้วยการไม่พูดได้หรือไม่นั้น ตอบได้ไม่ยากเพียงแต่ไปดูดวงเดิม และดวงจรเท่านั้นก็จะบอกได้ว่า ถ้าพุธเสียในดวงจรเพียงแต่หยุดพูด และหยุดทำในส่วนที่เกี่ยวกับข้อตกลงก็พอจะแก้ได้
แต่ถ้าพุธเสียในดวงเดิมถึงจะหยุดอย่างไรก็แก้ได้ยาก เพราะนั่นเป็นเรื่องของอุปนิสัยในการพูดไปแล้ว จะแก้หนักให้เป็นเบาได้บ้างก็ด้วยฝึกให้มีสติทุกครั้งที่พูดเท่านั้น แต่เผลอเมื่อไรพุธเดิมก็แผลงฤทธิ์เหมือนเดิมคือ พูดแล้วก่อภัยให้แก่ตนเองไม่เปลี่ยนแปลง
ด้วยประเด็นแห่งข้อกังขา 2 ประการดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนในฐานะโหรสมัครเล่นที่พอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง จึงใคร่ขอนำเรื่องนี้มาอธิบายเล่าสู่กันฟัง
เริ่มด้วยประเด็นที่เกี่ยวกับเนื้อหาแห่งโหราศาสตร์ ในส่วนที่ว่าด้วยดาวพุธ และดาวอื่นที่มีส่วนสัมพันธ์กับดาวพุธ ทั้งที่มีผลในทางบวกหรือที่เรียกว่าให้คุณ และมีผลในทางลบหรือที่เรียกว่า ให้โทษ
ดาวพุธจะให้คุณก็ต่อเมื่อโคจรอยู่ในตำแหน่งที่ดี เรือนที่ดี และมีมุมสัมพันธ์กับดาวที่ช่วยให้ดาวพุธให้คุณแก่เจ้าชะตา
ตำแหน่งที่ดีได้แก่ ตำแหน่งเกษตรและมหาอุจ เป็นต้น เรือนที่ดีได้แก่ เรือนกระฎุมภะและลาภะ เป็นต้น
มุมสัมพันธ์กับดาวอาทิตย์อันถือเป็นคู่ทางวิชาการ เป็นต้น
ส่วนประเด็นดาวพุธเสียก็คือ มีนัยตรงกันข้ามกับดาวพุธดี คืออยู่ในตำแหน่งเสีย เรือนเสีย และมุมสัมพันธ์กับดาวที่ให้โทษ เช่น ดาวพุธอยู่ในตำแหน่งประหรือนิจเรียกว่า เสียโดยตำแหน่งอยู่ในเรือน อริ มรณะ หรือวินาศเรียกว่าเสียโดยเรือน และมีมุมสัมพันธ์กับดาวราหูเรียกว่า เสียโดยมีดาวอื่นเบียนหรือโดยทางมุมสัมพันธ์
โดยสรุปเพื่อเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ดาวพุธเสียโดยตำแหน่งเรือน และมุมสัมพันธ์
อีกประการหนึ่ง เมื่อพูดถึงดาวดวงใดดวงหนึ่งเสีย ขอให้ท่านผู้เข้าใจว่าหมายถึง ดาวจรเข้ามาสู่สุดที่ก่อให้เกิดโทษจะด้วยตำแหน่งเรือน หรือมุมสัมพันธ์ก็ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างพร้อมกัน เป็นต้นว่า ดาวพุธโคจรเข้าสู่เรือนอริ และทำมุมกับดาวราหูในดวงเดิม เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าท่านผู้อ่านจะดูว่าดาวพุธให้โทษแก่ดวงชะตาหมายถึงว่า ท่านจะต้องมีดวงชะตาของบุคคลคนนั้นอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว จึงจะบอกได้ว่าดาวพุธเสียหรือไม่ และถ้าเสีย เสียอย่างไร? โดยตำแหน่ง โดยเรือน หรือโดยมุมสัมพันธ์กับดาวอื่น
ในทำนองเดียวกัน ถ้าบอกว่าดวงท่านนายกฯ ในขณะนี้ ดาวพุธเสียนั่นก็หมายความว่า จะมีดวงชะตาท่านนายกฯ อยู่ในมือ และในกรณีนี้ผู้เขียนไม่มีดวงนายกฯ ทักษิณอยู่ในมือ จึงยากที่จะบอกได้อย่างชัดเจนว่า ดาวพุธเสียหรือไม่อย่างไร
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อสัปดาห์ก่อนบังเอิญได้อ่านข้อเขียนของเปลว สีเงิน ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ทำให้ทราบว่า ดวงท่านนายกฯ ทักษิณมีลัคนาอยู่ราศีกันย์จากวลีที่ว่า เป็นดวงแตก เนื่องจากดาวราหูเล็งลัคนา และถ้าดวงนี้ถูกต้องก็จะนำไปสู่การบอกเรือน และบอกมุมสัมพันธ์ของดาวพุธได้เป็นอย่างดีว่าเสียอย่างไรดังนี้
จากข้อมูลที่ปรากฏ และมีการเผยแพร่ ท่านนายกฯ ทักษิณ เกิดวันที่ 26 ก.ค. 2492 และถ้ามีลัคนาเกิดอยู่ที่ราศีกันย์จริงก็จะปรากฏว่า ดาวพุธกุมดาวอาทิตย์ และดาวจันทร์อันเป็นกาลกิณี (เนื่องจากเกิดวันอังคาร) อยู่ราศีกรกฎ โดยมีดาวราหูอยู่ราศีมีน
ถ้ามองในแง่เนื้อหาแห่งโหราศาสตร์ที่เกี่ยวกับดาวพุธก็ถือว่า พุธให้คุณในฐานะที่กุมอาทิตย์เป็นคู่วิชาการ ทำให้ดวงนี้โดดเด่นในด้านความรู้และเป็นดวงมีความสามารถโดยการแสดงออกด้านวิชาการสูง
แต่ดาวพุธนี้ทำมุมตรีโกณกับดาวราหูในดวงเดิม และดาวราหูเล็งลัคนาอันถือว่าเป็นดวงแตกด้วย และเรียกได้ว่าพุธให้โทษในส่วนที่เกี่ยวกับการพูด เอกสารสัญญา และดวงลักษณะนี้เท่าที่เคยพบมาเสี่ยงต่อการตกเป็นจำเลยในคดีแพ่งได้ง่าย
ประกอบกับในดวงเดิมมีพฤหัสฯ เป็นนิจ ในราศีมังกรทำมุมตรีโกณลัคนาซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่ให้โทษเกี่ยวกับการพูดจา แล้วก่อให้เกิดโทษแก่ตนเองได้ง่าย หรือที่ตำราเรียกว่า โอษฐภัยคือ ภัยอันเกิดจากการพูดนั่นเอง ทั้งหมดนี้คือพื้นดวงเดิมที่เกี่ยวกับการพูดแล้วก่อให้เกิดโทษ
แต่ในแง่ของดวงจรก็จะต้องนำมาดูด้วยว่า ทำไมจึงเกิดโทษในขณะนี้ และการแก้ปัญหาด้วยการไม่พูดแก้ปัญหาได้หรือไม่?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านผู้อ่านที่พอรู้เรื่องโหรอยู่บ้าง ขอให้เปิดปฏิทินโหราศาสตร์ขึ้นมาดูก็จะพบว่า ดาวราหูยกเข้าสู่ราศีมีนกับราหูเดิม และทำมุมเทียบพุธเดิมตั้งแต่ 13 มี.ค. 2548 ที่ผ่านมา ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ดาวพุธจรเข้าทำมุมราหูเดิมก็จะให้โทษทันที เช่น ในช่วง 23 มิ.ย.-27 ส.ค. ดาวพุธโคจรเข้าทับพุธเดิม และทำมุมกับราหูเดิม การพูดจาในช่วงนี้ถ้าไม่ระวังให้ดีจะก่อให้เกิดศัตรูทางคำพูดได้ง่าย ถึงแม้ว่าจะมีเจตนาดีก็ตาม จึงไม่ต้องพูดถึงการพูดที่มีเจตนาแอบแฝงว่ามีโทษหรือไม่
เมื่อดูดวงผู้นำแล้ว ก็จะต้องดูดวงเมืองประกอบเพื่อให้เห็นว่า เมื่อดวงผู้นำไม่ค่อยดีแล้ว ดวงเมืองเป็นอย่างไร ในเรื่องเดียวกันคือเกี่ยวกับการพูด การสื่อสาร และการตกลงเจรจาต่างๆ อันเป็นเรื่องที่บอกได้ด้วยการดูดาวพุธทั้งสิ้น รวมไปถึงกระแสข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจด้วย
ดวงเมืองกรุงเทพฯ มีลัคนาอยู่ที่ราศีเมษ และมีดาวพุธกับราหูอยู่ราศีมีนอันเป็นดวงเดิม
ดังนั้น เมื่อดาวราหูยกเข้าสู่ราศีมีนก็เท่ากับราหูทับพุธ และราหูเดิม จึงส่งผลให้การเจรจารวมไปถึงการทำสัญญาทุกประการจะต้องมีความรอบคอบ เพราะมีโอกาสเสียเปรียบคู่สัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ของผลประโยชน์ในการแลกเปลี่ยน
ยิ่งกว่านี้เท่าที่เคยสังเกตว่า เมื่อใดก็ตามที่ดาวราหูเข้าทำมุมกับดาวพุธ ในที่นั่นจะมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องค่าเงินจะอ่อนตัว และมีผลกระทบถึงราคาสินค้านำเข้า ซึ่งเป็นต้นตอโดยตรงต่อการขาดดุลการค้า และดุลการชำระเงินติดต่อกันนานๆ เป็นปี
ดังนั้น ในปี 2548 จะเห็นได้ว่าตั้งแต่เดือนมี.ค. เป็นต้นมา ประเทศไทยเริ่มขาดดุลการค้าเรื่อยมา และคงจะเป็นไปในทำนองนี้อย่างน้อยเป็นปี
แต่ในการดูดวงเรื่องเศรษฐกิจ ดาวพฤหัสฯ ก็เป็นตัวแปรที่จะต้องนำมาดูประกอบ ถ้าปรากฏว่าดาวดวงนี้อยู่ในตำแหน่งดีก็จะบรรเทาปัญหานี้ได้บ้าง
อย่างเช่นในปี 2548 นี้ ดาวพฤหัสฯ จะให้โทษหรือไม่อยู่ในฐานะถ่วงดุลราหูได้จากมี.ค.-ก.ย. 2548 เนื่องจากเป็นประ
แต่เมื่อเลย 23 ก.ย.ไปแล้ว จะเข้าเล็งลัคนา การขาดดุลก็จะลดลง ส่วนว่าช่วงที่ลดลงนั้นจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับดวงผู้นำด้วย เพราะดวงคนกับดวงเมืองจะต้องดูควบคู่กันเสมอ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าดูกันแล้วปรากฏว่าดวงผู้นำประเทศไทยยังคงต้องหนักไปอย่างน้อย 1 ปี ในเรื่องเศรษฐกิจคือ จะดีขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อราหูจากไป
แต่ในด้านการเมืองคงจะไม่ดีขึ้น เมื่อดาวเสาร์มาทับจันทร์ และอาทิตย์เพราะบ่งชัดเจนถึงความแตกแยกของคนในพรรค และในครอบครัว ซึ่งในแง่ของประเทศน่าจะหมายถึงการต่อต้านของประชาชนต่อรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อผู้นำจะยังคงมีต่อไปอย่างน้อย 2 ปีครึ่ง นับจาก 29 มิ.ย. 2548 เป็นต้นไป
จากนัยแห่งการเมืองดังกล่าวแล้ว พออนุมานได้ว่า ท่านผู้นำรัฐบาลในขณะนี้คงจะต้องพบกับปัญหาเศรษฐกิจ และการเมืองรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นับจากนี้ไป
ส่วนว่าพบกับปัญหาแล้วจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ต้องดูจากพื้นดวงเดิมว่ามีความแข็งแกร่งแค่ไหน เพียงไรหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้จะดูได้โดยพิจารณาจากองค์ประกอบของดวงเดิม 2 ประการคือ
1. ดาวพฤหัสฯ ในดวงเดิมว่าสามารถให้คุณให้โทษหรือที่ภาษาโหรเรียกว่า คุ้มครองได้หรือไม่
2. ดาวร้ายๆ ที่มาเบียนเช่น เสาร์ และราหูที่กำลังเข้มแข็งแค่ไหน เมื่อเทียบกับดาวพฤหัสฯ
จากปัจจัย 2 ประการดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่าโดยพื้นดวงแล้วพฤหัสฯ ที่เป็นนิจมีกำลังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับดาวราหูที่ทับราหู และทำมุมเล็งลัคนาที่ทำให้เกิดโทษถึงดวงแตกได้
คำว่าดวงแตกหรือภินทุบาทว์หมายถึงว่า เป็นทุกขลาภคือทำท่าว่าจะได้ดีแล้วไม่ได้ เพราะมีปัจจัยทำให้ต้องผิดหวัง และอีกประการหนึ่งก็คือ ได้ดีแล้วรักษาความดีไว้ไม่ได้ มีอันต้องสูญเสียความดีที่ว่านี้ไป เพราะมีปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งมาเบียน
ส่วนว่าของท่านนายกฯ จะเข้าข่ายประเด็นไหนใน 2 ประเด็นนี้ ผู้เขียนคิดว่าท่านผู้อ่านคงคาดเดาได้เอง โดยไม่ต้องชี้นำให้เป็นการซ้ำเติมให้ปัญหาที่มีอยู่แล้วยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น
ส่วนประเด็นว่า เมื่อดาวพุธเสียจะแก้ด้วยการไม่พูดได้หรือไม่นั้น ตอบได้ไม่ยากเพียงแต่ไปดูดวงเดิม และดวงจรเท่านั้นก็จะบอกได้ว่า ถ้าพุธเสียในดวงจรเพียงแต่หยุดพูด และหยุดทำในส่วนที่เกี่ยวกับข้อตกลงก็พอจะแก้ได้
แต่ถ้าพุธเสียในดวงเดิมถึงจะหยุดอย่างไรก็แก้ได้ยาก เพราะนั่นเป็นเรื่องของอุปนิสัยในการพูดไปแล้ว จะแก้หนักให้เป็นเบาได้บ้างก็ด้วยฝึกให้มีสติทุกครั้งที่พูดเท่านั้น แต่เผลอเมื่อไรพุธเดิมก็แผลงฤทธิ์เหมือนเดิมคือ พูดแล้วก่อภัยให้แก่ตนเองไม่เปลี่ยนแปลง