ทะเลสาบ Dead Sea ตั้งอยู่บริเวณพรมแดนระหว่างอิสราเอล จอร์แดน และปาเลสไตน์ โดยมีฝั่งตะวันออกของทะเลสาบจดเทือกเขา Mohab และฝั่งตะวันตกจดทะเลทราย Judea ทะเลสาบนี้นอกจากจะได้ชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่ต่ำที่สุดของโลก เพราะอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 400 เมตรแล้ว ยังเป็นที่รู้จักว่าน้ำเค็มและโคลนของทะเลมีแร่นานาชนิดที่สามารถบำรุงดูแล และรักษาผิวพรรณได้ด้วย
นักประวัติศาสตร์ชื่อ Josephus Flavius ได้บันทึกว่า กษัตริย์ Herod ของอิสราเอลได้เคยเสด็จมาสรงน้ำที่ทะเลนี้เพื่อรักษาโรคเรื้อนกวาง และเคล็ดลับหนึ่งของความงามของพระนาง Cleopatra ก็ได้มาจากการพอกโคลนของทะเลสาบ Dead Sea นี่เอง ความมีชื่อเสียงของทะเลในการบำบัดโรคได้ทำให้ผู้คนหลั่งไหลมาเยือน และรักษาตัวที่นี่มานานกว่าสองพันปีแล้ว
นอกเหนือจากสิ่งที่น่าสนใจเชิงภูมิศาสตร์และแพทยศาสตร์แล้ว Dead Sea ยังเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และศาสนาด้วย โดยเฉพาะถ้ำ Qumran (คุมราน) บนภูเขาใกล้ทะเลสาบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ Muhammad adh-Dhib เด็กหนุ่มวัย 15 ปี ชาวเบดูอินเผ่า Ta, amireh ได้พบจารึกโบราณซึ่งเรียกว่า จารึกจากทะเลสาบ Dead Sea หรือ Dead Sea Scrolls ในปี พ.ศ. 2490 ขณะที่กำลังค้นหาแพะที่หายไป เขาได้เงยหน้าเห็นอุโมงค์เล็กๆ ที่หน้าผา จึงขว้างก้อนหินขึ้นไป และได้ยินเสียงคล้ายไหแตกทำให้คิดไปว่าภายในอุโมงค์มีไหมหาสมบัติอยู่ ดังนั้น เขาจึงนำเพื่อนชื่อ Ahmed Muhammad ขึ้นไปดู เมื่อเด็กทั้งสองเดินลัดเลาะเข้าไปในอุโมงค์ก็ได้เห็นเครื่องปั้นดินเผาที่แตกแล้วมากมาย และได้เห็นไหที่ทำด้วยดินเหนียวขนาดสูง 50 เซนติเมตรหลายใบ จึงเปิดฝาดู แต่แทนที่จะเห็นอัญมณีมีค่าอยู่ภายใน กลับเห็นหนังแกะหลายม้วนซึ่งมีความยาวตั้งแต่ 1 เมตร-8 เมตร โดยด้านหนึ่งของหนังแกะมีภาษาฮิบรูปรากฏอยู่ เด็กทั้งสองจึงนำจารึกไปขายให้แก่พ่อค้าในกรุง Jurusalem และได้เงินมา 3 ปอนด์ ในเวลาต่อมา พ่อค้าคนนั้นได้นำจารึกไปขายต่อให้แก่ Eliazer Suckernik แห่งมหาวิทยาลัย Hebrew ณ วันนี้ จารึกแห่งทะเล Dead Sea ได้ประดิษฐานอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อิสราเอล ในอาคารสีขาวเด่นชื่อ The Shrine of the Book ภายใต้การดูแลอย่างดี เพราะถึงจารึกบางส่วนจะได้เปื่อยขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่อากาศแห้งก็อนุรักษ์จารึกให้อยู่ในสภาพดีอย่างน่าอัศจรรย์ และเมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรโบราณศึกษาอักขระที่ปรากฏอยู่บนจารึก เขาก็พบว่า จารึกนี้ถูกสร้างขึ้นก่อนคริสต์ศักราชถึง 167 ปี และภาษาที่ใช้เป็นภาษา Hebrew และ Aramaic ซึ่งนักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าเป็นภาษาที่พระเยซูใช้ ส่วนเนื้อหาของคัมภีร์ก็เป็นการบรรยายชีวิตในสังคมยุคนั้น บางส่วนของจารึกกล่าวถึงสงครามระหว่างความมืดกับความสว่าง และการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว
นี่คือจุดสนใจหนึ่งในหลายๆ จุดของ Dead Sea ที่ทำให้คนสนใจ แต่เมื่อถึงวันนี้ Dead Sea กำลังเป็นที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งคือ ระดับน้ำทะเลใน Dead Sea ได้ลดลงมากประมาณ 1 เมตร/ปี จากเดิมที่เคยอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 392 เมตร เมื่อ 20 ปีก่อน บัดนี้ระดับได้ลดลงถึง 416 เมตร และนั่นก็หมายความว่าในทุกปีน้ำจืดประมาณ 250-300 ล้านลูกบาศก์เมตร ได้สูญเสียไปทุกปี จนมีการประมาณว่า ถ้าในปี 2503 พื้นที่ผิวทะเลสาบมี 3 ส่วน ในปี 2548 นี้ พื้นที่ผิวทะเลได้ลดลงเหลือ 2 ส่วนแล้ว การสูญเสียน้ำถึง 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตร สืบเนื่องจากการที่น้ำได้ระเหยไปเช่นนี้ ทำให้ Dead Sea ต้องการน้ำร่วม 2 พันล้านลูกบาศก์เมตร มาชดเชย
ดังนั้น ในวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ องค์กร World Economic Forum ซึ่งมี Ghassan al-Khatib แห่งปาเลสไตน์ Benjamin Ben-Elieser แห่งอิสราเอล และ Raed Abu Saoud แห่งจอร์แดน จึงได้เสนอโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำน้ำจากทะเลแดง Red Sea ไปถ่ายให้แก่ Dead Sea โดยใช้ท่อที่ยาว 180 กิโลเมตร เชื่อมโยงระหว่างทะเล 2 ทะเล โครงการศึกษาความเป็นไปได้นี้จะใช้งบประมาณ 600 ล้านบาท ในเวลา 2 ปี เพื่อศึกษาผลกระทบทั้งด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม และกะจะใช้วิธีสูบน้ำผ่านท่อหนึ่งท่อ หรือหลายท่อจาก Red Sea สู่ Dead Sea
และถ้าโครงการสมเหตุสมผล การก่อสร้างท่อจะใช้เวลาอีก 5 ปี จึงจะสำเร็จ จากนั้นก็ถึงขั้นสองของโครงการคือ จะสร้างโรงไฟฟ้าและโรงกลั่นน้ำจืดเพื่อกลั่นน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืดสำหรับใช้ต่อไป และใช้ผู้เชี่ยวชาญทั้งจาสหรัฐฯ อาหรับ และยุโรปมาดำเนินการ
อิสราเอลเป็นประเทศหนึ่งที่ขาดแคลนน้ำจืดมาก เพราะมีฝนตกโดยเฉลี่ยประมาณ 50 เซนติเมตร/ปี ทำให้พื้นที่หลายส่วนของประเทศแห้งแล้งมาก เพราะบางครั้งฝนก็ตกผิดสถานที่ และผิดเวลาทำให้พื้นที่ที่เป็นภูเขาสูงมีฝนตกในหน้าหนาว และพื้นที่ตอนใต้แห้งแล้งในหน้าร้อน การมีทะเลสาบ Galilee ซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดเพียงแหล่งเดียวสำหรับการเกษตรกรรม จึงไม่พอเพียงสำหรับความต้องการของเกษตรกร นอกจากเหตุผลนี้แล้วอิสราเอลยังมีจำนวนประชากรเพิ่มทุกปี เพราะชนชาวยิวที่อาศัยอยู่นอกประเทศได้อพยพกลับทำให้ความต้องการใช้น้ำจืดเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์ และนักเทคโนโลยีอิสราเอล จึงต้องคิดหาวิธีทำน้ำจืดจากน้ำทะเลด้วยวิธีที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ
ตามปกติประเทศที่ร่ำรวยด้วยน้ำมันใช้เทคโนโลยีกลั่นน้ำจากน้ำทะเล แต่เทคนิครูปแบบนี้สิ้นเปลืองและแพง เพราะต้นทุนการผลิตสูง ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์ยิวจึงต้องคิดหาวิธีอื่นที่ใช้เงินน้อยแต่ให้ผลมาก และก็ได้ตัดสินใจตั้งโครงการกลั่นน้ำดื่มจากน้ำทะเลขึ้นมา เพื่อหาวิธีผลิตน้ำดื่มให้ประชากรอิสราเอลใช้อย่างเพียงพอ โดยรัฐบาลได้วางมาตรการประหยัดการใช้น้ำอย่างเข้มงวดด้วย อีกทั้งให้นำน้ำเสียที่ใช้แล้วกลับมาปรับปรุงใหม่ให้เป็นประโยชน์ ส่งเสริมการทำฝนเทียม และไม่สนับสนุนการปลูกพืชที่ใช้น้ำมาก เป็นต้น เพราะน้ำที่ได้จากการปรับปรุงไม่ถูกสุขลักษณะ และเหมาะสำหรับการบริโภคจึงเหมาะสำหรับการเกษตรมากกว่า ดังนั้น ในกรณีน้ำที่ใช้ดื่มจึงต้องอาศัยน้ำที่ได้จากการกลั่นน้ำทะเล และต้องมีปริมาณพอเพียงพอที่จะไม่ต้องอาศัยน้ำฝน จึงทำให้มีข้อเสียคือ วิธีการนี้ต้องการต้นทุนสูง
หลักการสำคัญของวิธีการกลั่นคือ เวลาจะทำน้ำทะเลให้เป็นไอน้ำ เราต้องการความร้อนจากนั้นก็นำไอน้ำไปเก็บ และเวลาจะเปลี่ยนไอกลับเป็นน้ำ ความร้อนก็จะถูกคายออกมา ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์อิสราเอลจึงคิดนำความร้อนที่ถูกคายออกมานี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งยังคิดไม่ครอบคลุมว่าจะทำประโยชน์ใดได้บ้าง
อนึ่งในการกลั่นน้ำจืดปริมาณมากเช่นนี้ โรงงานกลั่นจะต้องมีขนาดใหญ่มาก และใช้เทคนิคกลั่นหลายรูปแบบ ทั้งนี้เพราะน้ำเค็มจากทะเล Dead Sea มีระดับความเค็มแตกต่างกัน เช่น บางส่วนมีความเค็มน้อย บางส่วนมีความเค็มมาก ดังนั้น อุณหภูมิของหม้อต้มจึงต้องสูงขึ้นๆ จนเหมาะกับความเค็มของน้ำ ทั้งนี้ก็เพื่อผลิตน้ำจืดให้ได้มากถึง 18,000 ลูกบาศก์เมตร/วันในบางโรงงาน แต่ถ้าคิดต้นทุนให้ละเอียด อิสราเอลก็พบว่า ต้นทุนการผลิตยังสูงอยู่ดี
ดังนั้น เพื่อจะให้คุ้มทุนจึงได้มีการจัดตั้งโรงงานกลั่นน้ำจืดควบคู่ไปกับโรงไฟฟ้าทุกโรงที่ตั้งอยู่ชายทะเล และก็ได้พบว่าในการแบ่งไฟฟ้าจากโรงมากลั่นน้ำทะเลนั้น ได้ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศลดลงถึง 6.4%
จึงเป็นว่า ณ วันนี้ความร่วมมือระหว่างองค์การไฟฟ้ากับองค์การประปาเป็นเรื่องจำเป็น แต่เทคโนโลยีการผลิตน้ำจืดที่สามารถลดต้นทุนได้ ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ครับ
สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน