เอเอฟพี/รอยเตอร์-รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วเอเชีย กำลังเจอพายุทางการเมืองพัดกระหน่ำใส่ ภายหลังต้องยกเลิกมาตรการอุดหนุน หรือไม่ก็ต้องยอมปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันกันเป็นแถว สืบเนื่องจากราคาทองคำสีดำยังคงพุ่งพรวดทำลายสถิติไม่หยุดหย่อน
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของตลาดไนเม็กซ์ในนิวยอร์ก ซื้อขายกันในระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สิงคโปร์วานนี้(7) ขึ้นไปสูงสุด ณ 61.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 34 เซ็นต์จากราคาปิดในนิวยอร์กวันพุธ(6) โดยในวันพุธนี้เอง ไลต์สวีตครูดไต่ทะลุระดับ 61 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
บรรดารัฐบาลชาติเอเชีย ตั้งแต่ปากีสถานไปจนถึงมาเลเซียและอินโดนีเซีย ต่างกล่าวโทษว่าราคาทองคำสีดำซึ่งทะยานทะลุฟ้าเช่นนี้ กำลังเป็นภาระหนักซึ่งกระทบกระเทือนเศรษฐกิจของประเทศ และฐานะทางการคลังของรัฐบาล
แต่ขณะเดียวกัน มันก็กำลังกลายเป็นบททดสอบหัวจิตหัวใจของรัฐบาลแต่ละประเทศ ว่ากล้าหาญไหมที่จะเดินหน้านโยบายเลิกอุดหนุนราคาน้ำมัน ตลอดจนขึ้นราคาขายปลีก ซึ่งมีหวังต้องเผชิญกับความไม่พอใจของฝ่ายค้านและแรงประท้วงจากประชาชน
รอเบิร์ต บรอดฟูต กรรมการผู้จัดการ โพลิติคัล แอนด์ อีโคโนมิก ริกสก์ คอนซัลแตนซี บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงซึ่งมีสำนักงานอยู่ในฮ่องกง ชี้ว่า การประกาศใช้มาตรการเข้มงวดของรัฐบาล อาจถึงขั้นก่อให้เกิดการจลาจลซึ่งสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมือง ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับอดีตประธานาธิบดีเมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี ในปี 2003 จนทำให้เธอต้องยกเลิกการขึ้นราคาน้ำมันมาแล้ว
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การยืนหยัดของรัฐบาลก็อาจช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นรัฐบาลที่เด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจ ดังในกรณีของซูซิโล บัมบัง ยุโธโยโน ประธานาธิบดีแดนอิเหนาคนปัจจุบัน ซึ่งเมื่อเดือนมีนาคมได้ขยับราคาน้ำมันขายปลีกตามที่เขาได้ให้คำมั่นเอาไว้ก่อนหน้านั้น และบรอดฟูตมองว่า เป็นการส่งสัญญาณอย่างสำคัญที่จะเรียกความมั่นใจจากเหล่าเจ้าหนี้และนักลงทุนต่างชาติของอินโดนีเซีย
หลังรัฐบาลซูซิโลขึ้นราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยในราว 29% กลุ่มต่างๆ ทั้งนักศึกษา คนงาน และผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ ต่างจัดการชุมนุมเดินขบวนทั่วทั้งอินโดนีเซีย แต่รัฐบาลก็ยังยืนหยัด
ถึงแม้เป็นสมาชิกรายหนึ่งของกลุ่มโอเปก แต่ภาคพลังงานของอินโดนีเซียเวลานี้ ผลิตน้ำมันดิบออกมาได้ไม่พอสนองความต้องการภายในประเทศเสียแล้ว
รัฐมนตรีประสานงานฝ่ายเศรษฐกิจ อะบู ริซาล บาครี บอกว่ารัฐบาลซึ่งประสบปัญหาขาดแคลนเงิน จำเป็นต้องเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมัน เพราะได้ใช้จ่ายเรื่องนี้ไปแล้วถึงประมาณ 6,400 ล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน รัฐบาลแดนอิเหนาก็สัญญากับคนยากคนจนว่า จะชดเชยด้วยการให้ความช่วยเหลือที่ถึงตัวคนจนโดยตรงมากขึ้น อาทิ ความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาล ข้าวสาร ความจำเป็นทางสังคม และการศึกษา ซึ่งรวมแล้วเป็นมูลค่า 16.4 ล้านล้านรูเปียห์ (1,770 ล้านดอลลาร์)
ทางด้านปากีสถาน รัฐบาลก็กำลังประสบกับความปั่นป่วนไม่สงบ ภายหลังประกาศในสัปดาห์ที่แล้ว ขึ้นราคาน้ำมันเบนซินไป 5% ทำให้ราคาสูงเป็นเกือบลิตรละ 50 รูปี (85 เซ็นต์อเมริกัน)
ทั้งนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนต่างจัดการชุมนุมเดินขบวนตามเมืองใหญ่ๆ เมื่อวันจันทร์(4)ที่ผ่านมา
ลิอาควอต บาลอค ผู้นำพรรคฝ่ายขวาเคร่งศาสนา จามัตอีอิสลามี คุยว่า พันธมิตร 6 พรรคอิสลามอันทรงอิทธิพลของปากีสถาน ยังกำลังเตรียมจะจัดการเคลื่อนไหวคัดค้านการขึ้นราคาน้ำมันในทั่วประเทศทีเดียว
ส่วนที่เมืองหลวงกาฏมาณฑุ ของเนปาล ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน มีนักศึกษาราว 300 คนจากสโมสรนักศึกษารวม 8 แห่ง ท้าทายคำสั่งห้ามการชุมนุมเดินขบวนของรัฐบาล ด้วยการออกมาประท้วงคัดค้านการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มไป 12.5% ของทางการ โดยช่วยกันเปล่งคำขวัญต่อต้านรัฐบาล อีกทั้งโจมตีการทุจริตคอร์รัปชั่นในรัฐวิสาหกิจ เนปาล ออยล์ คอปอเรชั่น
ที่อินเดีย ซึ่งรัฐบาลกลางมีมติตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน ขึ้นราคาน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล โดยชนิดที่เพิ่มสูงสุดขึ้นไป 7% แต่ยังตรึงราคาน้ำมันก๊าดซึ่งคนยากจนใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงหาอาหาร ก็ทำให้ฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งแม้เป็นพันธมิตรกับพรรคคองเกรส ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลกลางแดนภารตะเวลานี้ จัดการสไตรค์นัดหยุดงานอยู่ 2 วัน
และที่มาเลเซีย รัฐบาลได้ประกาศขึ้นราคาเบนซินและดีเซลไปรวม 3 ครั้งแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน ทว่าราคายังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าพวกชาติเพื่อนบ้าน และยังไม่ค่อยถูกวิพากษ์วิจารณ์อะไรนัก
นอกจากนั้น รัฐบาลยังให้สิทธิพิเศษแก่ภาคการเกษตรในการซื้อน้ำมันด้วยราคาต่ำกว่าราคาขายปลีกตามปั๊มอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาที่ถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีการลักลอบขนน้ำมันออกไปขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย จนมีการจับเรือและรถบรรทุกแอบขนน้ำมันได้บ่อยๆ
ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวลือเรื่อยๆ ว่ารัฐบาลกำลังจะขยับราคาเพิ่มขึ้นอีก จนทำให้ผู้คนแห่ไปเข้าคิวซื้อน้ำมันกันแน่นปั๊ม โดยล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์(1)ที่ผ่านมา
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของตลาดไนเม็กซ์ในนิวยอร์ก ซื้อขายกันในระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สิงคโปร์วานนี้(7) ขึ้นไปสูงสุด ณ 61.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 34 เซ็นต์จากราคาปิดในนิวยอร์กวันพุธ(6) โดยในวันพุธนี้เอง ไลต์สวีตครูดไต่ทะลุระดับ 61 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
บรรดารัฐบาลชาติเอเชีย ตั้งแต่ปากีสถานไปจนถึงมาเลเซียและอินโดนีเซีย ต่างกล่าวโทษว่าราคาทองคำสีดำซึ่งทะยานทะลุฟ้าเช่นนี้ กำลังเป็นภาระหนักซึ่งกระทบกระเทือนเศรษฐกิจของประเทศ และฐานะทางการคลังของรัฐบาล
แต่ขณะเดียวกัน มันก็กำลังกลายเป็นบททดสอบหัวจิตหัวใจของรัฐบาลแต่ละประเทศ ว่ากล้าหาญไหมที่จะเดินหน้านโยบายเลิกอุดหนุนราคาน้ำมัน ตลอดจนขึ้นราคาขายปลีก ซึ่งมีหวังต้องเผชิญกับความไม่พอใจของฝ่ายค้านและแรงประท้วงจากประชาชน
รอเบิร์ต บรอดฟูต กรรมการผู้จัดการ โพลิติคัล แอนด์ อีโคโนมิก ริกสก์ คอนซัลแตนซี บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงซึ่งมีสำนักงานอยู่ในฮ่องกง ชี้ว่า การประกาศใช้มาตรการเข้มงวดของรัฐบาล อาจถึงขั้นก่อให้เกิดการจลาจลซึ่งสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมือง ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับอดีตประธานาธิบดีเมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี ในปี 2003 จนทำให้เธอต้องยกเลิกการขึ้นราคาน้ำมันมาแล้ว
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การยืนหยัดของรัฐบาลก็อาจช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นรัฐบาลที่เด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจ ดังในกรณีของซูซิโล บัมบัง ยุโธโยโน ประธานาธิบดีแดนอิเหนาคนปัจจุบัน ซึ่งเมื่อเดือนมีนาคมได้ขยับราคาน้ำมันขายปลีกตามที่เขาได้ให้คำมั่นเอาไว้ก่อนหน้านั้น และบรอดฟูตมองว่า เป็นการส่งสัญญาณอย่างสำคัญที่จะเรียกความมั่นใจจากเหล่าเจ้าหนี้และนักลงทุนต่างชาติของอินโดนีเซีย
หลังรัฐบาลซูซิโลขึ้นราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยในราว 29% กลุ่มต่างๆ ทั้งนักศึกษา คนงาน และผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ ต่างจัดการชุมนุมเดินขบวนทั่วทั้งอินโดนีเซีย แต่รัฐบาลก็ยังยืนหยัด
ถึงแม้เป็นสมาชิกรายหนึ่งของกลุ่มโอเปก แต่ภาคพลังงานของอินโดนีเซียเวลานี้ ผลิตน้ำมันดิบออกมาได้ไม่พอสนองความต้องการภายในประเทศเสียแล้ว
รัฐมนตรีประสานงานฝ่ายเศรษฐกิจ อะบู ริซาล บาครี บอกว่ารัฐบาลซึ่งประสบปัญหาขาดแคลนเงิน จำเป็นต้องเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมัน เพราะได้ใช้จ่ายเรื่องนี้ไปแล้วถึงประมาณ 6,400 ล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน รัฐบาลแดนอิเหนาก็สัญญากับคนยากคนจนว่า จะชดเชยด้วยการให้ความช่วยเหลือที่ถึงตัวคนจนโดยตรงมากขึ้น อาทิ ความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาล ข้าวสาร ความจำเป็นทางสังคม และการศึกษา ซึ่งรวมแล้วเป็นมูลค่า 16.4 ล้านล้านรูเปียห์ (1,770 ล้านดอลลาร์)
ทางด้านปากีสถาน รัฐบาลก็กำลังประสบกับความปั่นป่วนไม่สงบ ภายหลังประกาศในสัปดาห์ที่แล้ว ขึ้นราคาน้ำมันเบนซินไป 5% ทำให้ราคาสูงเป็นเกือบลิตรละ 50 รูปี (85 เซ็นต์อเมริกัน)
ทั้งนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนต่างจัดการชุมนุมเดินขบวนตามเมืองใหญ่ๆ เมื่อวันจันทร์(4)ที่ผ่านมา
ลิอาควอต บาลอค ผู้นำพรรคฝ่ายขวาเคร่งศาสนา จามัตอีอิสลามี คุยว่า พันธมิตร 6 พรรคอิสลามอันทรงอิทธิพลของปากีสถาน ยังกำลังเตรียมจะจัดการเคลื่อนไหวคัดค้านการขึ้นราคาน้ำมันในทั่วประเทศทีเดียว
ส่วนที่เมืองหลวงกาฏมาณฑุ ของเนปาล ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน มีนักศึกษาราว 300 คนจากสโมสรนักศึกษารวม 8 แห่ง ท้าทายคำสั่งห้ามการชุมนุมเดินขบวนของรัฐบาล ด้วยการออกมาประท้วงคัดค้านการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มไป 12.5% ของทางการ โดยช่วยกันเปล่งคำขวัญต่อต้านรัฐบาล อีกทั้งโจมตีการทุจริตคอร์รัปชั่นในรัฐวิสาหกิจ เนปาล ออยล์ คอปอเรชั่น
ที่อินเดีย ซึ่งรัฐบาลกลางมีมติตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน ขึ้นราคาน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล โดยชนิดที่เพิ่มสูงสุดขึ้นไป 7% แต่ยังตรึงราคาน้ำมันก๊าดซึ่งคนยากจนใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงหาอาหาร ก็ทำให้ฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งแม้เป็นพันธมิตรกับพรรคคองเกรส ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลกลางแดนภารตะเวลานี้ จัดการสไตรค์นัดหยุดงานอยู่ 2 วัน
และที่มาเลเซีย รัฐบาลได้ประกาศขึ้นราคาเบนซินและดีเซลไปรวม 3 ครั้งแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน ทว่าราคายังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าพวกชาติเพื่อนบ้าน และยังไม่ค่อยถูกวิพากษ์วิจารณ์อะไรนัก
นอกจากนั้น รัฐบาลยังให้สิทธิพิเศษแก่ภาคการเกษตรในการซื้อน้ำมันด้วยราคาต่ำกว่าราคาขายปลีกตามปั๊มอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาที่ถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีการลักลอบขนน้ำมันออกไปขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย จนมีการจับเรือและรถบรรทุกแอบขนน้ำมันได้บ่อยๆ
ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวลือเรื่อยๆ ว่ารัฐบาลกำลังจะขยับราคาเพิ่มขึ้นอีก จนทำให้ผู้คนแห่ไปเข้าคิวซื้อน้ำมันกันแน่นปั๊ม โดยล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์(1)ที่ผ่านมา