ความที่มีกระบวนทัศน์ในการคิด การกระทำ และการพูดแบบ “แยกเขาแยกเรา” อย่างไม่ลดราวาศอกจนกระทั่งมี “ปรปักษ์ในจินตนาการ” (ผู้จัดการรายวัน วันที่ ๒๔ มิถุนายนพ.ศ. ๒๕๔๘) อย่างมากมาย ฉะนั้น ในระยะสี่ห้าปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจึงได้ตั้งฉายาในทำนองกระทบกระเทียบให้ใครต่อใครที่ท่านไม่ชอบอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน
วลีที่คุ้นเคยกันดีๆ ก็คือ “ขาประจำ” “โจรกระจอก” “pseudo intellectual” “พวกฝนตกขี้มหมูไหล” และอื่นๆ จนกระทั่งเราสมารถสรุปได้อย่างไม่คลาดเคลื่อนเป็นอันขาดว่า นี่คือนายกรัฐมนตรีของเมืองไทยคนแรกที่ด่าทอประชาชนในที่สาธารณะด้วยความเมามันที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
พฤติกรรมอย่างนี้คงถือว่าหาได้ยากอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์โลก หากจะมีใครถือเป็นธุระไล่เก็บข้อมูลในเชิงเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ ก็คงจะไม่มีใครแปลกใจอะไรนักว่า คุณทักษิณน่าจะติดอันดับสูงในรายการ “ผู้ปกครองปากร้าย” อย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะบทที่นึกไม่พอใจอะไรใครขึ้นมาก็พานด่าในที่สาธารณะราวกับเป็นเรื่องเล่นๆ ง่ายๆ
จริงๆ แล้ว ไม่ว่าในระบอบการปกครองชนิดใดก็ตาม หน้าที่สำคัญที่สุดของผู้นำคือการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน ซึ่งจะกระทำได้ตรงความต้องการก็ต่อเมื่อมีการระบบการรับฟังเสียงของประชาชนทุกหมู่ทุกเหล่าอย่างสม่ำเสมอ ดังเป็นที่ทราบกันทั่วไปดีว่า แม้กระทั่งพระมหากษัตริย์เองก็ต้องทรงเปิดโอกาสให้ประชาชนมาสั่นกระดิ่งหน้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อบอกเล่าความทุกข์อันแสนสาหัสของตนได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตย การรับฟังเสียงจากประชาชนนั้นถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้นำทีเดียว ทั้งนี้ ก็เพราะมีความเชื่อกันว่าผู้นำที่ได้รับการคัดเลือกโดยผ่านกลไกต่างๆ ของระบอบนี้คือบุคคลที่ “อาสาสมัคร” มารับตอบสนองความต้องการของประชาชนโดยตรง อนึ่ง การตอบสนองความต้องการของประชาชนนั้นแตกต่างจากการยัดเยียดความต้องการของตนเองให้แก่คนอื่นๆ
การคิด การกระทำ และคำพูดใดๆ ที่ฝ่าฝืนความรู้สึกของประชาชนอย่างร้ายแรงนั้นถือได้ว่าเป็นของต้องห้ามโดยแท้ และไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม หากผู้นำมีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องดำเนินการบางประการที่สวนความรู้สึกของประชาชนไม่มากก็น้อย ก็ต้องมีคำอธิบายอย่างมีเหตุมีผลในที่สาธารณะอย่างเพียงพอ
ฉะนั้น ในสังคมที่ปกครองด้วยระบอบนี้ สิทธิและเสรีภาพในการพูดจึงได้รับการประกันโดยกฎหมายสูงสุดเสมอ ยิ่งไปกว่านี้ สิทธิและเสรีภาพในการพูด ทั้งของปัจเจกชนและสื่อมวลชน มีความสำคัญถึงขนาดที่เป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยเลยทีเดียว
ว่ากันว่าวัฒนธรรมประชาธิปไคยสามารถพัฒนาขึ้นได้เรื่อยๆ ก็เพราะมี “ระบบการสนทนาทางสังคม” ที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง สิทธิและเสรีภาพในการพูดจึงเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการสนับสนุนโดยผู้นำที่มีอำนาจที่เหนือกว่าด้วยการให้ความสะดวกต่างๆ ไม่ใช่การขัดขวาง หรือแม้กระทั่งถึงขั้นที่ออกมาประณามประชาชนที่มีความเดือดร้อนจนถึงขนาดที่ต้องหาทางออกมาพูดในที่สาธารณะ
มาบัดนี้ เมืองไทยในยุคคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีชักจะไปกันใหญ่มากขึ้นทุกทีแล้ว เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง คุณทักษิณก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการนำสัตว์อย่าง “ลิง” เข้ามาบรรจุเอาไว้ในวาทกรรมที่มีนัยต่อสิทธิและเสรีภาพในการพูดของของปัจเจกชนและสื่อมวลชนเป็นอย่างสูง
“มีหนังสือพิมพ์บางฉบับลงข่าวเป็นพรืดติดลบทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ลบหมด เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะมันเป็นจุดอ่อนของสื่อมวลชนที่วันอาทิตย์ไม่มีข่าว ลิงพูดยังเป็นข่าวเลย ถ้าลิงด่ารัฐบาล มันเป็นอย่างนี้ อันนี้ถือเป็นจุดอ่อน วันอาทิตย์ไม่มีข่าว ใครออกมา อยากด่ารัฐบาลในวันอาทิตย์ รับรองได้ลงแน่นอน...รัฐบาลพยายามชี้แจงตลอดเวลา แต่ในฐานะคนทำงาน วันอาทิตย์ขอพักผ่อนหน่อย บางทีวันอาทิตย์มันหมดแรง ขอพักบ้าง”
คำว่า “ลิง” ในที่นี้คงจะเป็นคำอุปมาอุปมัยถึง “ใครก็ได้” ที่ไหนสักคนก็ได้ในลักษณะที่มีความประสงค์ในทางที่จะเสียดสีว่าเป็น “บุคคลที่ไม่สำคัญ” (Very Unimportant Person หรือ VUP) ไม่ใช่ “บุคคลที่สำคัญ” (Very Important Person หรือ VIP) ถึงแม้คุณทักษิณจะไม่ได้ให้นิยาม VUP และ VIP เอาไว้อย่างชัดเจนในโอกาสนี้ ทว่าการวิเคราะห์ตรรกะที่แฝงอยู่ในข้อความข้างต้นนั้นก็พอจะอนุมานได้ว่า VIP นั้นคงจะหมายถึงตัวท่านเอง ส่วน VUP นั้นคงหมายถึงคนอื่นๆ ทั้งหมด
นัยในที่นี้ก็คือ VUP ไม่ควรจะเป็นบุคคลที่เป็นที่มาของ “ข่าว” ทว่าแหล่งข่าวที่แท้จริงก็คือ VIP เท่านั้น ข้อสรุปนี้คงไม่คลาดเคลื่อนจากความจริงเท่าไรนักเพราะมาบัดนี้ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัยก็ออกมาตั้งข้อสังเกตแล้วว่าคุณทักษิณ “เก่งแต่พูดลับหลัง” ทว่าไม่กล้าพูดในการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรเพราะกลัวถูกสวน (ผู้จัดการรายวัน วันที่ ๖ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๔๘)
พิจารณาข้อสังเกตของคุณชวนแล้วใครๆ ก็คงจะเห็นพ้องด้วยได้เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าคุณทักษิณมีความถนัดในการ “เดี่ยวไมโครโฟน” ด้วยการพูดทางวิทยุเดี่ยวๆ และการให้สัมภาษณ์เดี่ยวๆ ท่านกลางวงล้อมของนักข่าวมากกว่า เพราะท่านนึกจะพูดอะไรก็พูดได้สุดแต่ความสะดวก ไม่มีการทักท้วง เพราะส่วนมากแล้ว นักข่าวมักจะต้องเป็นกังวลกับการบันทึกข้อความด้วยเครื่องบันทึกเสียงหรือจดชวเลขกันเสียมากกว่า อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปเหมือนกันว่า หากนักข่าวตั้งคำถามที่ไม่ถูกใจขึ้นมาเมื่อใด ท่านก็จะตอบโต้ด้วยอย่างฉับพลันทันทีเหมือน ในบางครั้งเข้าข่ายแบบจะเอาเรื่องเอาราวกับนักข่าวเลยทีเดียว
ที่เป็นอย่างนี้ก็คงจะเป็นเพราะคุณทักษิณให้ความสำคัญกับการทำตัวเป็นแหล่งข่าวอย่างสูง เช่น ในคราวหนึ่งท่านเคยออกมาประกาศชื่นชมผู้เขียนบทความเรื่องหนึ่งใน “มติชนรายวัน” ว่าเป็น “นักคิด” เป็น “นักปรัชญา” บทความดังกล่าวเอ่ยถึงการเมืองว่าเป็นเกมแห่งการแย่ง “พื้นที่” ความเชื่อถือของประชาชน ซึ่งหากจะพูดให้ตรงๆ กว่านั้นก็คือ การเมืองเป็นเกมแห่งการแย่งพื้นที่ข่าวนั่นเอง
นัยในที่นี้ก็คือ ใครสามารถทำตัวให้เป็นข่าวได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น และยิ่งเป็นข่าวในทางบวก ก็ยิ่งจะดีไปใหญ่ ทว่านักวิเคราะห์บางท่านที่มีระบบการคิดอันพิลึกกึกกือถึงขั้นพิสดาร ก็ยินดีที่จะไปไกลยิ่งกว่านั้น ถึงขนาดที่อ้างว่าแม้กระทั่งการเป็นข่าวในทางลบก็มีประโยชน์เหมือนกัน ในทำนองยิ่งเป็นข่าวมากก็ยิ่งดี!
ในขณะที่เรายังต้องพิสูจน์กันต่อไปว่า “ลิง” ของคุณทักษิณคือใครกันแน่ ทว่าคงจะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าในทัศนะของคุณทักษิณ สื่อมวลชนควรจะให้ความสำคัญแก่การถ่ายทอดข้อมูล ความรู้สึก และความคิดของท่านมากที่สุด จนแม้กระทั่งบุคคลในคณะรัฐมนตรีหรือพรรคไทยรักไทยจำนวนมากขึ้นทุกทีดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยกล้าออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกันแล้วด้วยความหวั่นเกรงว่าจะขัดหู และบ่อยๆ เมื่อบุคคลเหล่านี้ให้สัมภาษณ์ ก็จะมีคำสร้อยตามมาติดๆ ในทำนองว่าเป็นคำบัญชาของท่านนายกฯ เป็นแนวความคิดของท่านายกฯ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เมื่อฟังๆ ดูแล้วก็ดูจะเป็นการยืนยันการดำรงอยู่ของภาวะที่ “เซี่ยงเส้าหลง” แห่ง “ผู้จัดการรายวัน” ขนานนามว่า “ขันที ซินโดรม” จริงๆ นั่นหมายความว่าเมืองไทยคงจะกำลังอยู่ในระบอบการปกครองตำรับเดี่ยวไมโครโฟนเสียแล้ว
ด้วยประการฉะนี้ สื่อมวลชนจึงมีหน้าที่เผยแพร่ความคิด การกระทำ และคำพูดของ VUP เป็นสำคัญอีกทั้งควรจะตรวจสอบให้แน่ใจเสียด้วยว่าลิงๆ ทั้งหลายจะไม่มีโอกาสทำตัวเป็นแหล่งข่าวจนก่อให้เกิดความรำคาญใจ รวมทั้งในวันอาทิตย์ที่คุณทักษิณต้องการเว้นวรรคสำหรับการพักผ่อนด้วย นี่ยังดีที่ท่านไม่สั่งให้ระงับการออกหนังสือพิมพ์ในวันที่ท่านไม่ว่างหรือไม่อยู่ไปด้วย
ถึงจะฟังดูตลกสักหน่อย แต่ก็อย่าได้ไว้วางใจเชื่อจนสนิทใจว่า นโยบายอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นเป็นอันขาด ยิ่งตอนนี้นโยบายการประหยัดพลังงานกำลังฮิตๆ กันอยู่ด้วย
ความที่แม้กระทั่ง “ลิง” ก็ยังถูกดึงเข้ามาอยู่ในการทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองประจำวันแล้ว จึงคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักที่สิงสาราสัตว์ชนิดอื่นๆ จะถูกนำเข้ามาพิจารณาในการเมืองไทยวันนี้ด้วย
ไม่กี่วันก่อน หลังจากได้วินิจฉัยว่าคุณเสนาะ เทียนทองและคนอื่นๆ อีกมากมายในเมืองไทยกำลังเป็น “โรคขาดศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรง” จนกระทั่งคุณเสนาะและคนอื่นๆ พยักหน้าคล้อยตามว่าเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้องมาแล้ว
ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีก็นำความรู้ทางการแพทย์ของท่านมาตรวจสอบความเป็นไปในการเมืองวันนี้ต่อไป อันมีสาระสำคัญส่วนหนึ่งว่าสมองของมนุษย์นั้นมี ๓ ชั้นคือ ชั้นในสุดเปรียบเสมือนสมองของสัตว์เลื้อยคลาน ชั้นที่สองเป็นสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข และแมว และสมองส่วนนอกที่มีขนาดใหญ่มากเป็นสมองของมนุษย์ที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีศีลธรรม รู้ว่าอะไรมีคุณค่าทำให้มีจิตใจสูง มีหิริโอตตัปปะ สามารถรู้ได้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
ดังนั้น ท่านจึงแนะนำว่าอย่าใช้สมองส่วนที่เป็นของสัตว์มาใช้กับคน มิฉะนั้น ความชั่วต่างๆ อย่างเช่นการคอร์รัปชั่น การปั่นหุ้น การเล่นการพนัน ก็จะผุดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง
เหนือจากรายละเอียดอันน่าสนใจอีกมากมายแล้ว ท่านอาจารย์หมอประเวศก็วินิจฉัยแบบฟังธงในทำนองว่าคุณทักษิณนั่นแหละเป็นตัวการเพาะความชั่วร้ายให้เกิดขึ้นในเมืองไทย ปลูกฝังให้คนคิดแต่เรื่องความร่ำรวย ส่งผลให้คนไทยไม่ละอายชั่วกลัวบาป แรทุจริตคอร์รัปชันผุดเต็มบ้านเต็มเมือง
ว่าแล้ว ท่านก็ยืนยันการดำรงอยู่ของโรค “ขันทีซินโดรม” ตามข้อสังเกตของ “เซี่ยงเส้าหลง” ซึ่งท่านอธิบายว่าหมายถึงภาวะที่คนชั่วล้อมรอบ คนดีตีจาก เพราะไม่ยอมรับความจริง ฟังแต่เรื่องที่อยากฟัง จะพาประเทศล่มจม (ผู้จัดการรายวัน วันที่ ๖ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๔๘)
ถึงแม้ว่าคำวินิจฉัยของท่านอาจารย์หมอประเวศจะโดนใจคนจำนวนมาก ทว่าแนวโน้มก็คือโรคร้ายที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงต่างๆ นั้นดูเหมือนจะเดินหน้าคุกคามเมืองไทยต่อไป เพราะในระยะเวลาไล่ๆ กันกับคำประกาศโรคร้ายนานาชนิดนั้นเอง ก็มีคำประกาศจากพรรคไทยรักไทยสวนทางออกมาว่าคุณทักษิณมีดำริว่าพรรคไทยรักไทยกำลังจะนำการรณรงค์ด้านการตลาดมาให้แก่การทำยอดสมาชิกของพรรค ในส่วนหนึ่งก็เพื่อฟื้น “วิกฤติศรัทธา” ที่พรรคไทยรักไทยกำลังเผชิญอยู่
ผู้แทนของพรรคไทยรักไทยอธิบายว่า “ต่อไปนี้ถ้าใครถือบัตรสมาชิกพรรคไทยรักไทยจะเป็นเหมือนบัตรไฮเทคที่ครอบคลุมทั้งในเรื่องการเมืองและการใช้ชีวิตประจำวัน กล่าวคือ นำไปเป็นส่วนลดร้านค้าหรือบริษัทที่ร่วมรายการกับพรรค ซึ่งมีแจ้งมาบ้างแล้วบางบริษัท แต่พรรคก็กำลังดูอยู่ ซึ่งตรงนี้สมาชิกพรรคก็จะได้รับส่วนลดทันที นอกจากนี้ เรายังมีคอลล์เซ็นเตอร์ สายด่วนคอบให้บริการและดูแลสมาชิกพรรคอย่างใกล้ชิดอีกด้วย” อนึ่ง บริการส่วนลดดังกล่าวนี้จะครอบคลุมไปถึงสินค้าและบริการสารพัดชนิด นับตั้งแต่ค่าโดยสารโรงแรม สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าโอท๊อป (กรุงเทพธุรกิจ วันที่ ๖ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๔๘)
พูดง่ายๆ พรรคการเมืองดังกล่าวกำลังขยายงานของตัวเองในลักษณะของการใช้สิทธิในการลดแลกแจกแถมเป็นเครื่องมือในการขยายฐานการเมืองของตนเอง ซึ่งหากทำกันจริงๆ โดยไม่มีใครขัดขวางสำเร็จ นี่ก็คงจะมีค่าเท่ากับการใช้ผลประโยชน์ทางการเงินเป็นเครื่องล่อให้คนสมัครเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่เพียงการลดแลกแจกแถมเท่านั้น ทว่าสามารถขยายผลไปสู่การแจกจ่ายผลประโยชน์อย่างอื่นๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย นอกจากนี้ นี่ยังเป็นการใช้อิทธิพลของพรรคสร้างสายสัมพันธ์ทางธุรกิจการเมืองให้กว้างขึ้นและลึกขึ้น ลงท้ายแล้ว นี่คงมีความหมายไปถึงขนาดที่บริษัททางธุรกิจต่างๆ จะอยู่ในเครือข่ายสมาชิกของพรรคไปด้วย ทั้งนี้ โดยอาศัยความเห็นแก่ตัวร่วมกันของทุกฝ่ายเป็นกระสายอีกด้วย
แนวทางแบบนี้จะเป็นผลจากการใช้สมองชั้นไหน และสอดคล้องกับวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือไม่ คงยังเป็นโจทย์ที่ต้องติดตามวิเคราะห์กันต่อไปอย่างวิจิตรพิสดาร
ไม่ว่าจะลงเอยอย่างไร คงจะถึงเวลาที่จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบสมองและพฤติกรรมทางสังคมจะต้องออกมาช่วยเสริมท่านอาจารย์ประเวศ โดยนำเสนอบทวินิจฉัยของตนบ้างแล้ว เรื่องแบบนี้น่าจะสนุกกว่าการไปเล่นเรื่องพฤติกรรมทางกามารมณ์ของเด็กวัยรุ่นด้วยซ้ำ เพราะจุดได้จุดเสียไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องใต้สะดือส่วนตัวๆ เท่านั้น.
วลีที่คุ้นเคยกันดีๆ ก็คือ “ขาประจำ” “โจรกระจอก” “pseudo intellectual” “พวกฝนตกขี้มหมูไหล” และอื่นๆ จนกระทั่งเราสมารถสรุปได้อย่างไม่คลาดเคลื่อนเป็นอันขาดว่า นี่คือนายกรัฐมนตรีของเมืองไทยคนแรกที่ด่าทอประชาชนในที่สาธารณะด้วยความเมามันที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
พฤติกรรมอย่างนี้คงถือว่าหาได้ยากอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์โลก หากจะมีใครถือเป็นธุระไล่เก็บข้อมูลในเชิงเปรียบเทียบอย่างเป็นระบบ ก็คงจะไม่มีใครแปลกใจอะไรนักว่า คุณทักษิณน่าจะติดอันดับสูงในรายการ “ผู้ปกครองปากร้าย” อย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะบทที่นึกไม่พอใจอะไรใครขึ้นมาก็พานด่าในที่สาธารณะราวกับเป็นเรื่องเล่นๆ ง่ายๆ
จริงๆ แล้ว ไม่ว่าในระบอบการปกครองชนิดใดก็ตาม หน้าที่สำคัญที่สุดของผู้นำคือการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน ซึ่งจะกระทำได้ตรงความต้องการก็ต่อเมื่อมีการระบบการรับฟังเสียงของประชาชนทุกหมู่ทุกเหล่าอย่างสม่ำเสมอ ดังเป็นที่ทราบกันทั่วไปดีว่า แม้กระทั่งพระมหากษัตริย์เองก็ต้องทรงเปิดโอกาสให้ประชาชนมาสั่นกระดิ่งหน้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อบอกเล่าความทุกข์อันแสนสาหัสของตนได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตย การรับฟังเสียงจากประชาชนนั้นถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้นำทีเดียว ทั้งนี้ ก็เพราะมีความเชื่อกันว่าผู้นำที่ได้รับการคัดเลือกโดยผ่านกลไกต่างๆ ของระบอบนี้คือบุคคลที่ “อาสาสมัคร” มารับตอบสนองความต้องการของประชาชนโดยตรง อนึ่ง การตอบสนองความต้องการของประชาชนนั้นแตกต่างจากการยัดเยียดความต้องการของตนเองให้แก่คนอื่นๆ
การคิด การกระทำ และคำพูดใดๆ ที่ฝ่าฝืนความรู้สึกของประชาชนอย่างร้ายแรงนั้นถือได้ว่าเป็นของต้องห้ามโดยแท้ และไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม หากผู้นำมีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องดำเนินการบางประการที่สวนความรู้สึกของประชาชนไม่มากก็น้อย ก็ต้องมีคำอธิบายอย่างมีเหตุมีผลในที่สาธารณะอย่างเพียงพอ
ฉะนั้น ในสังคมที่ปกครองด้วยระบอบนี้ สิทธิและเสรีภาพในการพูดจึงได้รับการประกันโดยกฎหมายสูงสุดเสมอ ยิ่งไปกว่านี้ สิทธิและเสรีภาพในการพูด ทั้งของปัจเจกชนและสื่อมวลชน มีความสำคัญถึงขนาดที่เป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยเลยทีเดียว
ว่ากันว่าวัฒนธรรมประชาธิปไคยสามารถพัฒนาขึ้นได้เรื่อยๆ ก็เพราะมี “ระบบการสนทนาทางสังคม” ที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง สิทธิและเสรีภาพในการพูดจึงเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการสนับสนุนโดยผู้นำที่มีอำนาจที่เหนือกว่าด้วยการให้ความสะดวกต่างๆ ไม่ใช่การขัดขวาง หรือแม้กระทั่งถึงขั้นที่ออกมาประณามประชาชนที่มีความเดือดร้อนจนถึงขนาดที่ต้องหาทางออกมาพูดในที่สาธารณะ
มาบัดนี้ เมืองไทยในยุคคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีชักจะไปกันใหญ่มากขึ้นทุกทีแล้ว เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง คุณทักษิณก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการนำสัตว์อย่าง “ลิง” เข้ามาบรรจุเอาไว้ในวาทกรรมที่มีนัยต่อสิทธิและเสรีภาพในการพูดของของปัจเจกชนและสื่อมวลชนเป็นอย่างสูง
“มีหนังสือพิมพ์บางฉบับลงข่าวเป็นพรืดติดลบทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ลบหมด เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะมันเป็นจุดอ่อนของสื่อมวลชนที่วันอาทิตย์ไม่มีข่าว ลิงพูดยังเป็นข่าวเลย ถ้าลิงด่ารัฐบาล มันเป็นอย่างนี้ อันนี้ถือเป็นจุดอ่อน วันอาทิตย์ไม่มีข่าว ใครออกมา อยากด่ารัฐบาลในวันอาทิตย์ รับรองได้ลงแน่นอน...รัฐบาลพยายามชี้แจงตลอดเวลา แต่ในฐานะคนทำงาน วันอาทิตย์ขอพักผ่อนหน่อย บางทีวันอาทิตย์มันหมดแรง ขอพักบ้าง”
คำว่า “ลิง” ในที่นี้คงจะเป็นคำอุปมาอุปมัยถึง “ใครก็ได้” ที่ไหนสักคนก็ได้ในลักษณะที่มีความประสงค์ในทางที่จะเสียดสีว่าเป็น “บุคคลที่ไม่สำคัญ” (Very Unimportant Person หรือ VUP) ไม่ใช่ “บุคคลที่สำคัญ” (Very Important Person หรือ VIP) ถึงแม้คุณทักษิณจะไม่ได้ให้นิยาม VUP และ VIP เอาไว้อย่างชัดเจนในโอกาสนี้ ทว่าการวิเคราะห์ตรรกะที่แฝงอยู่ในข้อความข้างต้นนั้นก็พอจะอนุมานได้ว่า VIP นั้นคงจะหมายถึงตัวท่านเอง ส่วน VUP นั้นคงหมายถึงคนอื่นๆ ทั้งหมด
นัยในที่นี้ก็คือ VUP ไม่ควรจะเป็นบุคคลที่เป็นที่มาของ “ข่าว” ทว่าแหล่งข่าวที่แท้จริงก็คือ VIP เท่านั้น ข้อสรุปนี้คงไม่คลาดเคลื่อนจากความจริงเท่าไรนักเพราะมาบัดนี้ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัยก็ออกมาตั้งข้อสังเกตแล้วว่าคุณทักษิณ “เก่งแต่พูดลับหลัง” ทว่าไม่กล้าพูดในการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรเพราะกลัวถูกสวน (ผู้จัดการรายวัน วันที่ ๖ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๔๘)
พิจารณาข้อสังเกตของคุณชวนแล้วใครๆ ก็คงจะเห็นพ้องด้วยได้เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าคุณทักษิณมีความถนัดในการ “เดี่ยวไมโครโฟน” ด้วยการพูดทางวิทยุเดี่ยวๆ และการให้สัมภาษณ์เดี่ยวๆ ท่านกลางวงล้อมของนักข่าวมากกว่า เพราะท่านนึกจะพูดอะไรก็พูดได้สุดแต่ความสะดวก ไม่มีการทักท้วง เพราะส่วนมากแล้ว นักข่าวมักจะต้องเป็นกังวลกับการบันทึกข้อความด้วยเครื่องบันทึกเสียงหรือจดชวเลขกันเสียมากกว่า อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปเหมือนกันว่า หากนักข่าวตั้งคำถามที่ไม่ถูกใจขึ้นมาเมื่อใด ท่านก็จะตอบโต้ด้วยอย่างฉับพลันทันทีเหมือน ในบางครั้งเข้าข่ายแบบจะเอาเรื่องเอาราวกับนักข่าวเลยทีเดียว
ที่เป็นอย่างนี้ก็คงจะเป็นเพราะคุณทักษิณให้ความสำคัญกับการทำตัวเป็นแหล่งข่าวอย่างสูง เช่น ในคราวหนึ่งท่านเคยออกมาประกาศชื่นชมผู้เขียนบทความเรื่องหนึ่งใน “มติชนรายวัน” ว่าเป็น “นักคิด” เป็น “นักปรัชญา” บทความดังกล่าวเอ่ยถึงการเมืองว่าเป็นเกมแห่งการแย่ง “พื้นที่” ความเชื่อถือของประชาชน ซึ่งหากจะพูดให้ตรงๆ กว่านั้นก็คือ การเมืองเป็นเกมแห่งการแย่งพื้นที่ข่าวนั่นเอง
นัยในที่นี้ก็คือ ใครสามารถทำตัวให้เป็นข่าวได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น และยิ่งเป็นข่าวในทางบวก ก็ยิ่งจะดีไปใหญ่ ทว่านักวิเคราะห์บางท่านที่มีระบบการคิดอันพิลึกกึกกือถึงขั้นพิสดาร ก็ยินดีที่จะไปไกลยิ่งกว่านั้น ถึงขนาดที่อ้างว่าแม้กระทั่งการเป็นข่าวในทางลบก็มีประโยชน์เหมือนกัน ในทำนองยิ่งเป็นข่าวมากก็ยิ่งดี!
ในขณะที่เรายังต้องพิสูจน์กันต่อไปว่า “ลิง” ของคุณทักษิณคือใครกันแน่ ทว่าคงจะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าในทัศนะของคุณทักษิณ สื่อมวลชนควรจะให้ความสำคัญแก่การถ่ายทอดข้อมูล ความรู้สึก และความคิดของท่านมากที่สุด จนแม้กระทั่งบุคคลในคณะรัฐมนตรีหรือพรรคไทยรักไทยจำนวนมากขึ้นทุกทีดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยกล้าออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกันแล้วด้วยความหวั่นเกรงว่าจะขัดหู และบ่อยๆ เมื่อบุคคลเหล่านี้ให้สัมภาษณ์ ก็จะมีคำสร้อยตามมาติดๆ ในทำนองว่าเป็นคำบัญชาของท่านนายกฯ เป็นแนวความคิดของท่านายกฯ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เมื่อฟังๆ ดูแล้วก็ดูจะเป็นการยืนยันการดำรงอยู่ของภาวะที่ “เซี่ยงเส้าหลง” แห่ง “ผู้จัดการรายวัน” ขนานนามว่า “ขันที ซินโดรม” จริงๆ นั่นหมายความว่าเมืองไทยคงจะกำลังอยู่ในระบอบการปกครองตำรับเดี่ยวไมโครโฟนเสียแล้ว
ด้วยประการฉะนี้ สื่อมวลชนจึงมีหน้าที่เผยแพร่ความคิด การกระทำ และคำพูดของ VUP เป็นสำคัญอีกทั้งควรจะตรวจสอบให้แน่ใจเสียด้วยว่าลิงๆ ทั้งหลายจะไม่มีโอกาสทำตัวเป็นแหล่งข่าวจนก่อให้เกิดความรำคาญใจ รวมทั้งในวันอาทิตย์ที่คุณทักษิณต้องการเว้นวรรคสำหรับการพักผ่อนด้วย นี่ยังดีที่ท่านไม่สั่งให้ระงับการออกหนังสือพิมพ์ในวันที่ท่านไม่ว่างหรือไม่อยู่ไปด้วย
ถึงจะฟังดูตลกสักหน่อย แต่ก็อย่าได้ไว้วางใจเชื่อจนสนิทใจว่า นโยบายอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นเป็นอันขาด ยิ่งตอนนี้นโยบายการประหยัดพลังงานกำลังฮิตๆ กันอยู่ด้วย
ความที่แม้กระทั่ง “ลิง” ก็ยังถูกดึงเข้ามาอยู่ในการทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองประจำวันแล้ว จึงคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักที่สิงสาราสัตว์ชนิดอื่นๆ จะถูกนำเข้ามาพิจารณาในการเมืองไทยวันนี้ด้วย
ไม่กี่วันก่อน หลังจากได้วินิจฉัยว่าคุณเสนาะ เทียนทองและคนอื่นๆ อีกมากมายในเมืองไทยกำลังเป็น “โรคขาดศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรง” จนกระทั่งคุณเสนาะและคนอื่นๆ พยักหน้าคล้อยตามว่าเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้องมาแล้ว
ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีก็นำความรู้ทางการแพทย์ของท่านมาตรวจสอบความเป็นไปในการเมืองวันนี้ต่อไป อันมีสาระสำคัญส่วนหนึ่งว่าสมองของมนุษย์นั้นมี ๓ ชั้นคือ ชั้นในสุดเปรียบเสมือนสมองของสัตว์เลื้อยคลาน ชั้นที่สองเป็นสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข และแมว และสมองส่วนนอกที่มีขนาดใหญ่มากเป็นสมองของมนุษย์ที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีศีลธรรม รู้ว่าอะไรมีคุณค่าทำให้มีจิตใจสูง มีหิริโอตตัปปะ สามารถรู้ได้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
ดังนั้น ท่านจึงแนะนำว่าอย่าใช้สมองส่วนที่เป็นของสัตว์มาใช้กับคน มิฉะนั้น ความชั่วต่างๆ อย่างเช่นการคอร์รัปชั่น การปั่นหุ้น การเล่นการพนัน ก็จะผุดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง
เหนือจากรายละเอียดอันน่าสนใจอีกมากมายแล้ว ท่านอาจารย์หมอประเวศก็วินิจฉัยแบบฟังธงในทำนองว่าคุณทักษิณนั่นแหละเป็นตัวการเพาะความชั่วร้ายให้เกิดขึ้นในเมืองไทย ปลูกฝังให้คนคิดแต่เรื่องความร่ำรวย ส่งผลให้คนไทยไม่ละอายชั่วกลัวบาป แรทุจริตคอร์รัปชันผุดเต็มบ้านเต็มเมือง
ว่าแล้ว ท่านก็ยืนยันการดำรงอยู่ของโรค “ขันทีซินโดรม” ตามข้อสังเกตของ “เซี่ยงเส้าหลง” ซึ่งท่านอธิบายว่าหมายถึงภาวะที่คนชั่วล้อมรอบ คนดีตีจาก เพราะไม่ยอมรับความจริง ฟังแต่เรื่องที่อยากฟัง จะพาประเทศล่มจม (ผู้จัดการรายวัน วันที่ ๖ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๔๘)
ถึงแม้ว่าคำวินิจฉัยของท่านอาจารย์หมอประเวศจะโดนใจคนจำนวนมาก ทว่าแนวโน้มก็คือโรคร้ายที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงต่างๆ นั้นดูเหมือนจะเดินหน้าคุกคามเมืองไทยต่อไป เพราะในระยะเวลาไล่ๆ กันกับคำประกาศโรคร้ายนานาชนิดนั้นเอง ก็มีคำประกาศจากพรรคไทยรักไทยสวนทางออกมาว่าคุณทักษิณมีดำริว่าพรรคไทยรักไทยกำลังจะนำการรณรงค์ด้านการตลาดมาให้แก่การทำยอดสมาชิกของพรรค ในส่วนหนึ่งก็เพื่อฟื้น “วิกฤติศรัทธา” ที่พรรคไทยรักไทยกำลังเผชิญอยู่
ผู้แทนของพรรคไทยรักไทยอธิบายว่า “ต่อไปนี้ถ้าใครถือบัตรสมาชิกพรรคไทยรักไทยจะเป็นเหมือนบัตรไฮเทคที่ครอบคลุมทั้งในเรื่องการเมืองและการใช้ชีวิตประจำวัน กล่าวคือ นำไปเป็นส่วนลดร้านค้าหรือบริษัทที่ร่วมรายการกับพรรค ซึ่งมีแจ้งมาบ้างแล้วบางบริษัท แต่พรรคก็กำลังดูอยู่ ซึ่งตรงนี้สมาชิกพรรคก็จะได้รับส่วนลดทันที นอกจากนี้ เรายังมีคอลล์เซ็นเตอร์ สายด่วนคอบให้บริการและดูแลสมาชิกพรรคอย่างใกล้ชิดอีกด้วย” อนึ่ง บริการส่วนลดดังกล่าวนี้จะครอบคลุมไปถึงสินค้าและบริการสารพัดชนิด นับตั้งแต่ค่าโดยสารโรงแรม สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าโอท๊อป (กรุงเทพธุรกิจ วันที่ ๖ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๔๘)
พูดง่ายๆ พรรคการเมืองดังกล่าวกำลังขยายงานของตัวเองในลักษณะของการใช้สิทธิในการลดแลกแจกแถมเป็นเครื่องมือในการขยายฐานการเมืองของตนเอง ซึ่งหากทำกันจริงๆ โดยไม่มีใครขัดขวางสำเร็จ นี่ก็คงจะมีค่าเท่ากับการใช้ผลประโยชน์ทางการเงินเป็นเครื่องล่อให้คนสมัครเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่เพียงการลดแลกแจกแถมเท่านั้น ทว่าสามารถขยายผลไปสู่การแจกจ่ายผลประโยชน์อย่างอื่นๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย นอกจากนี้ นี่ยังเป็นการใช้อิทธิพลของพรรคสร้างสายสัมพันธ์ทางธุรกิจการเมืองให้กว้างขึ้นและลึกขึ้น ลงท้ายแล้ว นี่คงมีความหมายไปถึงขนาดที่บริษัททางธุรกิจต่างๆ จะอยู่ในเครือข่ายสมาชิกของพรรคไปด้วย ทั้งนี้ โดยอาศัยความเห็นแก่ตัวร่วมกันของทุกฝ่ายเป็นกระสายอีกด้วย
แนวทางแบบนี้จะเป็นผลจากการใช้สมองชั้นไหน และสอดคล้องกับวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือไม่ คงยังเป็นโจทย์ที่ต้องติดตามวิเคราะห์กันต่อไปอย่างวิจิตรพิสดาร
ไม่ว่าจะลงเอยอย่างไร คงจะถึงเวลาที่จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบสมองและพฤติกรรมทางสังคมจะต้องออกมาช่วยเสริมท่านอาจารย์ประเวศ โดยนำเสนอบทวินิจฉัยของตนบ้างแล้ว เรื่องแบบนี้น่าจะสนุกกว่าการไปเล่นเรื่องพฤติกรรมทางกามารมณ์ของเด็กวัยรุ่นด้วยซ้ำ เพราะจุดได้จุดเสียไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องใต้สะดือส่วนตัวๆ เท่านั้น.