xs
xsm
sm
md
lg

สิ้นมนต์ขลัง

เผยแพร่:   โดย: เกษม ศิริสัมพันธ์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้พบนักธุรกิจคนหนึ่ง เป็นผู้อยู่ในวงการธุรกิจมานาน จัดว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่คนหนึ่ง ถึงแม้ชื่อเสียงจะไม่โด่งดังเท่าใดนัก ก็ตาม

นักธุรกิจผู้นั้นได้กล่าวขึ้นมาว่า "ผมเสียดายโอกาสของคุณทักษิณ ทีแรกผมก็คิดว่าคุณทักษิณ จะเป็นอย่างลีกวนยู หรือมหาเธร์ ซึ่งผมก็ไม่เห็นเสียหายอะไร! ดีเสียอีก! เมืองไทยถ้าได้มีผู้นำรัฐบาลที่อยู่ติดต่อกันนานถึงยี่สิบกว่าปีก็ยิ่งจะดี จะได้เป็นโอกาสที่จะสร้างบ้านสร้างเมืองกันได้สักที นายกรัฐมนตรีจะได้ไม่ต้องเล่นการเมืองอย่างที่แล้วๆ มา!"

"แต่ตอนนี้ คุณทักษิณเสียท่าเสียแล้ว!" เขากล่าวต่อไป "ถ้าจะอยู่ยืดยาวอย่างลีกวนยูหรือมหาเธร์นั้น คุณทักษิณต้องไม่พลาดอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ อย่างเรื่องปักษ์ใต้ ก็เห็นได้ชัดว่า คุณทักษิณเองก็ไม่รู้ทางออก! เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เรื่อย! เรื่องน้ำมันเชื้อเพลิง คุณทักษิณ ก็ตัดสินใจผิด! คิดว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะสูงขึ้นชั่วคราว! แต่เอาจริงเข้าราคามันก็ขึ้นไม่ยอมหยุด! เรื่องชดเชยราคาน้ำมันของคุณทักษิณจึงต้องเป็นเรือเกยตื้นอยู่อย่างนี้"

เขาชี้ให้เห็นด้วยว่า คุณทักษิณไม่ได้ใช้ประโยชน์จากชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ซึ่งพรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างท่วมท้น ตรงกันข้ามคุณทักษิณกลับมีท่าทีว่าจะลืมตัวด้วยซ้ำไป!

นักธุรกิจผู้นั้นสาธยายต่อไปว่า "พอผมเห็นรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดนี้ ผมก็ร้องยี้ มาแต่ต้น! ทำไมต้องเอานักปั่นหุ้นมาเป็นรัฐมนตรีด้วย? จะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้! คนทั้งเมืองเขารู้กันหมด! คุณสมบัติอย่างอื่นก็ไม่มี! มีเหตุผลอยู่ข้อเดียว! เขาคงให้เงินช่วยเลือกตั้งเป็นก้อนใหญ่ เลยต้องตอบแทนให้เป็นรัฐมนตรี! ก็เท่านั้นเอง!"

เขาสรุปว่า "ลีกวนยูหรือมหาเธร์เขาไม่ทำผิดพลาดอย่างนี้หรอก! อำนาจวาสนาของคุณทักษิณคงไม่ยั่งยืนเสียแล้ว!"

พิจารณาจากเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เห็นได้ว่าเป็นการประเมินค่าความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี ได้ถูกต้องทีเดียว!

นักธุรกิจผู้นี้ไม่ใช่เป็นพวก "ขาประจำ" หรือ "ขาจร" ตรงกันข้ามเขาเป็นคนที่เคยสนับสนุนคุณทักษิณด้วยซ้ำไป! เขาเคยคิดให้คุณทักษิณ สามารถก้าวขึ้นมายืนกระทบไหล่กับผู้นำประเทศระดับอย่างลีกวนยูและมหาเธร์ด้วยซ้ำไป!

แต่มาถึงขณะนี้ เขาได้ประเมินบทบาทและผลงานของคุณทักษิณด้วยใจเป็นกลางแล้ว จึงสรุปว่าความหวังเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว!

ในระยะหลังๆ บริวารที่ห้อมล้อมคุณทักษิณ ทั้งในคณะรัฐมนตรีและทั้งภายในพรรคไทยรักไทย ได้ยกยอปอปั้นคุณทักษิณจน "ตัวลอย" และ "ตีนลอย" จนเท้าไม่ถึงดินเสียแล้ว!

ทำให้ภาพลักษณ์ที่ออกมาของคุณทักษิณก็ดี! ของรัฐบาลก็ดี! หรือของพรรคไทยรักไทยก็ดี! มีแต่เสื่อมโทรมลงไปทุกที!

กรณีเครื่องตรวจระเบิดที่สนามบินสุวรรณภูมิ คุณทักษิณก็ไม่ทำอย่างตรงไปตรงมา! มัวแต่ไปอ้อมค้อม ซึ่งยิ่งทำให้กรณีนี้มีความขมุกขมัวมากยิ่งขึ้น!

อย่างเช่นทำไมไม่ให้สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง เป็นฝ่ายทำหนังสือไปสอบถามกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ถึงเรื่องทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดครั้งนี้

ตรงกันข้ามคุณทักษิณกลับให้กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงต่างประเทศ เป็นฝ่ายทำหนังสือสอบถามไปที่กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ

ในที่สุดคุณทักษิณและรัฐบาลก็เป็นฝ่าย "หน้าแตก" เมื่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กลับส่งหนังสือตอบมาให้สำนักงานอัยการสูงสุด!

มีประเด็นที่หลายฝ่ายข้องใจเรื่องจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดก็คือ ทำไมต้องชำระเงินให้ผู้ขาย ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการส่งมอบสินค้าที่ซื้อขายกันเลย?

ก็ได้เพียงคำตอบ อธิบายว่าต้องทำเช่นนั้น เพื่อไม่ให้ผิดสัญญา!

สัญญาที่มีการชำระเงินมัดจำเป็นงวดๆ ได้ชำระไปแล้วตั้งพันกว่าล้านบาทแล้ว ก็ยังหยุดชำระเงินมัดจำไม่ได้!

สัญญาซื้อขายอย่างนี้ก็มีด้วย!

ข้อพิรุธเช่นนี้ทำให้เกิดความสงสัยกันโดยทั่วไปว่า รัฐบาลพยายามปกป้องใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใช่ไหม?

บางกรณีคุณทักษิณก็พูดจาออกมาเป็นการ "เปลืองตัว" เองโดยใช่เหตุ!

อย่างกรณีเรื่องกล้ายาง ทำไมคุณทักษิณต้องพูดด้วยว่า ซีพีซึ่งเป็นคู่สัญญากับกระทรวงเกษตรฯ เรื่องส่งมอบกล้ายางนั้น มีความบริสุทธิ์ขาวสะอาด ซีพีไม่ได้คิดโกงราชการอะไรเลย!

ทำไมคุณทักษิณต้อง "แอ่นอก" ออกปกป้องซีพีถึงขนาดนั้นด้วย? หรือว่าซีพีเป็นทุนใหญ่ที่เคยเอื้อเฟื้ออุดหนุนพรรคไทยรักไทยด้วยใช่ไหม?

นอกจากนั้นคุณทักษิณยังสำคัญผิดคิดว่า ตนเองมีความศักดิ์สิทธิ์ ออกปากรับประกันอะไรแล้ว คนต้องเชื่อฟัง! ถ้าคิดอย่างนั้น คุณทักษิณก็คิดผิดไปเสียแล้ว!

แต่คุณทักษิณควรจะตระหนักได้แล้วว่า ในสายตาของชาวบ้านทุกวันนี้ คุณทักษิณไม่มีเครดิตสูงถึงขนาดนั้นหรอก!

มีเสียงอธิบายว่า ถึงแม้พรรคไทยรักไทยมี "เจ้ามือ" ใหญ่เป็นมหาเศรษฐี มีเงินเป็นหมื่นๆ ล้านบาท แต่จริงๆ แล้ว "เจ้ามือ" ผู้นั้นเป็นมหาเศรษฐีที่มีความมัธยัสถ์ ไม่ยอมใช้เงินตัวเองลงทุนทางการเมืองเท่าใดนักหรอก!

เมื่อ "เจ้ามือ" ไม่ยอมควักกระเป๋าตัวเองลงทุนการเมือง เฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแล้ว แต่กลับหันมาใช้วิธีเรียกหา "ทุน" อื่นให้เข้ามาสนับสนุน

ฉะนั้นบรรดา "ทุนใหญ่" จึงหันมาให้ความสนับสนุนกันทั้งนั้น เพราะมั่นใจได้ว่า อุดหนุนไปแล้ว ก็มั่นใจได้เลย ว่าจะได้เป็นรัฐบาลอีกอย่างแน่นอน!

นอกจากนั้นมีหัวหน้ากลุ่มต่างๆ ยังต้องไปหา "ปัจจัย" อันจำเป็นมาให้พรรคอีกด้วย

เมื่อ "ออกทุน" ให้ไปแล้ว ก็ย่อมต้องมีการ "ถอนทุน" กันบ้างเป็นธรรมดา!

นอกจากนั้นจึงเกิดระบบที่ว่า "บุญคุณต้องทดแทน" โดยมีการสมนาคุณตอบแทนกันบ้าง!

ฉะนั้น ราชรถจึงต้องมาเกยนักปั่นหุ้นรายใหญ่ ให้ได้มานั่งร่วมรัฐบาลได้อย่างสมกับเกียรติยศทีเดียว!

ด้วยเหตุนี้นี่เอง ทั้งๆ ที่ประสบชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถสร้างคณะรัฐมนตรีที่มีหน้ามีตางดงามไปได้ทั้งหมด!

คุณทักษิณอย่าได้ประมาทว่า ชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปล้วนโง่กว่าคุณทักษิณทั้งนั้น! แท้ที่จริงผู้คนเริ่ม "รู้ทัน" คุณทักษิณเพิ่มมากขึ้นทุกที!

อันที่จริงในระยะสองสามปีแรก ชาวบ้านก็ติดเสน่ห์คุณทักษิณเหมือนกัน!

สมัยนั้นคุณทักษิณศักดิ์สิทธิ์ขนาดชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้เหมือนกัน!

แต่มาระยะสองปีหลัง ชะตาทางการเมืองของคุณทักษิณในแง่ความมั่นใจของประชาชนในความเป็นผู้นำของคุณทักษิณ ได้เสื่อมถอยลงเป็นอันมาก

มีนักเลงเล่นหุ้นคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าจะวัดความมั่นใจของประชาชนต่อรัฐบาลทักษิณ ให้ดูที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ก็จะเห็นได้ชัดเจนทีเดียว!

เมื่อปี พ.ศ. 2546 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

แต่พอถึง พ.ศ. 2547 คือเมื่อปีที่แล้ว Set Index ตกฮวบลงมาทีเดียว

มาถึงปีนี้ ดัชนีได้ขยับตัวสูงขึ้น แต่ไม่สามารถทะลุถึง 700 จุดได้เลย คงขึ้นๆ ลงๆ อยู่ที่วงแคบๆ ประมาณ 600 กว่าจุดเท่านั้นเอง

ทั้งหมดนี้นักเลงหุ้นผู้นั้นได้สรุปก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้พุ่งแรงอย่างปี 2546 อีกแล้ว ปี 2546 เป็นปีที่วาสนาบารมีทางการเมืองของคุณทักษิณขึ้นสูงสุดขีด!

เขาบอกว่า เมื่อมาถึงปัจจุบัน บรรดานักลงทุนเองต่างก็ไม่มั่นใจว่า รัฐบาลทักษิณจะสามารถนำประเทศชาติให้รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ ที่รุมล้อมอยู่รอบด้านในขณะนี้ได้หรือไม่!

อีกประการหนึ่ง อย่าได้มั่นใจว่า การปรับรัฐมนตรี คือการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีสลับเก้าอี้กันไปๆ มาๆ นั่นจะสามารถเรียกความมั่นใจของประชาชนให้กลับคืนมาได้

ยิ่งปรับคณะรัฐมนตรีบ่อยหรือมากขึ้นเท่าใด ยิ่งแสดงว่าคุณทักษิณไม่สามารถมองทะลุถึงทางออกของปัญหาต่างๆ ของประเทศชาติได้เลย เพียงแต่วนไปวนมาเหมือนพายเรืออยู่ในอ่างเท่านั้นเอง!

มีข่าวว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีกันอีกในเดือนกรกฎาคมนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะปรับอะไรและใครจะถูกเปลี่ยนตัวบ้าง!

แต่ที่แน่ๆ คงต้องมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพราะคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ก็คงต้องไปจากกระทรวงคมนาคม เพราะถูกฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนน่วมไปทั้งตัวแล้ว!

อีกคนที่ค่อนข้างแน่นอนว่าคงจะต้องออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี จะด้วยการลาออกเองหรือจะถูกปลดออกก็ตามที รัฐมนตรีผู้นี้ ก็คือคุณสุริยา ลาภวิสุทธิสิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

รายนี้คงต้องพิจารณาตนเอง เพราะเครือญาติมีเรื่องอื้อฉาวว่าตกแต่งบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทนี้เคยมีความใกล้ชิดกับตัวรัฐมนตรีผู้นี้อยู่แล้ว!

ส่วนจะมีคนหน้าใหม่ที่ยอมเสี่ยงตัวเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในยามนี้ ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลยว่า มีแต่ทางเสมอตัวหรือขาดทุนเท่านั้น ทางที่ชื่อเสียงจะงอกเงยรุ่งเรืองขึ้นได้นั้นแทบจะไม่มีทางเอาเลยทีเดียว!

คำอภิปรายในสภาของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งตบท้ายด้วยถ้อยคำที่กระทบถึง "นายใหญ่ นายหญิง และเจ๊" นั้นได้สื่อความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งนัก!

นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการอีกท่านหนึ่งแนะว่า ท่านนายกรัฐมนตรีควรบูชา พระ "ปางห้ามญาติ" ในยามนี้ได้แล้ว

บูชาพระ "ปางห้ามญาติ" ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก!

เพราะทั้ง "นายใหญ่ นายหญิง และเจ๊" ต่างก็ยังหลงอยู่ในวังวนของอกุศลมูลทั้งสามประการ! ที่สำคัญที่สุดก็คืออกุศลมูลประการแรก คือความโลภ ซึ่งไม่มีทางหยุดยั้งกันได้ เพียงเพราะบูชาพระ "ปางห้ามญาติ" เท่านั้นหรอก!
กำลังโหลดความคิดเห็น