คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงบทความนี้โดยเจ้าของคอลัมน์
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ใน
ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3. จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้
ราษฎรทุก ๆ คนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4
ประการดังกล่าวข้างต้น
6. จะต้องให้การศึกษาเต็มที่แก่ราษฎร
นั่นคือ “หลัก 6 ประการของคณะราษฎร” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ครับ
ผมเห็นวันที่ 24 มิถุนายน 2548 ผ่านไปอย่างเหงา ๆ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว วันนี้จึงขอเขียนบางสิ่งบางประการเพื่อรำลึกถึงย้อนหลังเสียหน่อย
หลังวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของโลกมักจะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนาดใหญ่
ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกพังทลายครั้งสำคัญเมื่อปีคริสตศักราช 1929 – 1930 ตรงกับเมืองไทยช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีพุทธศักราช 2472 - 2473 ก่อนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงสองสามปีเท่านั้น
มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามมามากมายในขอบเขตทั่วโลก
อย่างที่ทราบกันดีว่าในยุโรปก่อให้เกิดอุดมการณ์ชาตินิยมแรงกล้า แปรเป็นลัทธิการเมืองเผด็จการเบ็ดเสร็จที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในชาติ
ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกาประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้ประกาศนโยบายที่เรียกว่า New Deal ขึ้นมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับผลกระทบจากการพังทลายของระบบเศรษฐกิจ
โครงการ New Deal อาจจะถือได้ว่าเป็นการปฏิวัติทางแนวคิดครั้งสำคัญ
และก็เป็นโครงการที่ได้รับการต่อต้านจากผู้มีแนวความคิดอนุรักษ์นิยมอย่างรุนแรง
ศาลในระดับต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา ณ เวลานั้น รวมทั้งศาลสูงสหรัฐอเมริกา ไม่ยอมรับแนวทางใหม่ ๆ ของปรัชญากฎหมายมหาชนยุคใหม่ตามโครงการ New Deal ของประธานาธิบดีรูสเวลท์ โดยได้พิพากษาให้กฎหมายต่าง ๆ ในโครงการ New Deal ไม่มีผลใช้บังคับ อ้างเหตุผลว่าขัดกับรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งประธานาธิบดีรูสเวลท์ต้องกำหนดแผนปฏิรูปศาล และปฏิเสธการมีรัฐบาลในระบบ government by judges ยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการศาลทั่วสหรัฐอเมริกา โดยผู้พิพากษาในทุกระดับศาลต้องเปลี่ยนแนวคำวินิจฉัย
ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นผู้นำที่มีรากฐานมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ประธานาธิบดีรูสเวลท์คงไม่สามารถยืนหยัดในแนวทางตามโครงการ New Deal ไว้ได้
โครงการ New Deal เริ่มต้นจุดแรกตรงกับปีพุทธศักราช 2475 ในเมืองไทย
เมื่อรูสเวลท์ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งแรก เขาได้เริ่มต้นโครงการ New Deal ช่วงแรกระหว่างปีคริสต์ศักราช 1932 - 1935 และเริ่มช่วงที่ 2 ต่อเนื่องเมื่อได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2 ระหว่างปี 1936 - 1939 ทั้งหมดใช้ระยะเวลาประมาณเกือบ 10 ปีเต็มเพื่อปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลต่อแนวทางและวิธีการเขียนกฎหมายของสหรัฐอเมริกามากมายหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านกฎหมายแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่
กฎหมายแรงงานเป็นประเด็นความขัดแย้งใหญ่โตมากในสหรัฐอเมริกาเมื่อกว่า 60 ปีก่อนทั้ง ๆ ที่หากนำมาพูดถึงวันนี้แล้วเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก
แนวคิดใหม่ในประเด็นกฎหมายแรงงานของโครงการ New Deal ก็คือกฎหมายแรงงานธรรมดา ๆ ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ในประเทศต่าง ๆ ที่กำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ และจำกัดเวลาการทำงานต่อวัน หรือหลัก minimum wage & maximum hour provisions นั่นเอง
ในระยะ 4 ปีแรกของโครงการ New Deal ศาลสหรัฐอเมริกาพิพากษาว่าหลักคิดดังกล่าวในกฎหมายแรงงานเป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะขัดต่อเสรีภาพส่วนบุคคลในการทำสัญญา ศาลสหรัฐอเมริกา ณ วันนั้นมีความเห็นว่าสัญญาที่ลูกจ้างผู้บรรลุนิติภาวะแล้วได้ทำความตกลงไว้กับนายจ้างย่อมเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามเจตนาของคู่สัญญาตามหลัก due process clause ของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา
หลังเริ่มโครงการ New Deal แล้วถึง 5 ปีประธานาธิบดีรูสเวลท์จึงดำเนินการปฏิรูปศาล โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาบางมาตรา ผู้พิพากษาในยุคต่อมาจึงเริ่มยอมรับแนวทางใหม่ ๆ ของกฎหมายมหาชนในที่สุด
โดยการพิพากษายอมรับหลักการ minimum wage & maximum hour provisions ในกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ที่ตราขึ้นในยุคนั้น
หากจะกล่าวถึงโครงการ New Deal ในเชิงหลักคิดทางเศรษฐศาสตร์แล้วคงต้องว่ากันยาว
แต่ในเชิงสังคมก็คือการไม่ทอดทิ้งผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาสในสังคม
เป็นจุดเริ่มต้นลักษณะของรัฐทุนนิยมสวัสดิการ
เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้มีชัยชนะเหนือลัทธิสังคมนิยมในยุคสงครามเย็นที่จะตามมาด้วย
แม้ประเทศไทยจะยังไม่ได้มีระบบเศรษฐกิจทุนนิยมในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเมื่อปี 2472 - 2473 แต่จากกิจกรรมค้าขายระหว่างประเทศที่หดตัวลง และความฟุ่มเฟือยภายในประเทศเองในช่วงรัชสมัยก่อนหน้า ทำให้เกิดสภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจตามไปด้วย เงินทองร่อยหรอจากท้องพระคลังแทบว่าจะไม่มีเงินจ่ายข้าราชการประจำ ต้องปลดออกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้รายจ่ายลดลงเสมอกับรายรับ ให้ได้ดุลยภาพกัน
การปลดออกข้าราชประจำในยุคนั้นจึงเรียกเป็นที่เข้าใจกันว่า “ดุล” ข้าราชการคนไหนถูกปลดออกหรือถูกเลิกจ้าง ก็เรียกว่า “ถูกดุล” หรือบ้างก็ใช้คำพ้องเสียงว่า....
“ถูกดุน” !
เศรษฐกิจตกต่ำในประเทศไทยเป็นเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งที่นำมาสู่การปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ของคณะราษฎร
ในการประชุมมากมายหลายครั้งของคณะราษฎรก่อนหน้าตัดสินใจยึดอำนาจนั้น ปัญหาใหญ่ที่ถกเถียงพิจารณากันมากในที่ประชุมไม่ใช่ปัญหาการเมือง
หากแต่เป็นปัญหาเศรษฐกิจ !
อันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดในขณะนั้น !!
วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ตรงกับวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก จุลศักราช 1294 รัตนโกสินทร์ศก 150 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าในเช้ามืดของวันนั้น ทหารบก ทหารเรือ ได้มาประชุมพร้อมกันตามแผนการยึดอำนาจของคณะราษฎร
หากจะพิจารณากันให้ดี ๆ จะพบปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ในหลักการที่คณะราษฎรให้สัญญาไว้กับประชาชนไทยเช้ามืดวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ที่รู้จักกันต่อ ๆ มาในนาม “หลัก 6 ประการของคณะราษฎร” ที่ผมยกมาข้างต้น ได้บรรจุการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไว้ในข้อ 3
พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าอยู่ในลำดับก่อนหน้าความเสมอภาคและเสรีภาพที่ประชาชนจะต้อง
มีเสียอีก
งานจัดทำแผนการเศรษฐกิจแห่งชาติจึงเป็น “งานแรก” ของคณะราษฎร
ประวัติศาสตร์ตอนนี้สอนให้รู้ว่า ปัญหาการเมืองไม่ทำให้รัฐบาลพังหรอก ปัญหาเศรษฐกิจต่างหากที่ทำให้รัฐบาลพังได้ไม่ว่าจะเข้มแข็งขนาดไหนก็ตาม
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ใน
ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3. จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้
ราษฎรทุก ๆ คนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4
ประการดังกล่าวข้างต้น
6. จะต้องให้การศึกษาเต็มที่แก่ราษฎร
นั่นคือ “หลัก 6 ประการของคณะราษฎร” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ครับ
ผมเห็นวันที่ 24 มิถุนายน 2548 ผ่านไปอย่างเหงา ๆ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว วันนี้จึงขอเขียนบางสิ่งบางประการเพื่อรำลึกถึงย้อนหลังเสียหน่อย
หลังวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของโลกมักจะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนาดใหญ่
ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกพังทลายครั้งสำคัญเมื่อปีคริสตศักราช 1929 – 1930 ตรงกับเมืองไทยช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีพุทธศักราช 2472 - 2473 ก่อนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงสองสามปีเท่านั้น
มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามมามากมายในขอบเขตทั่วโลก
อย่างที่ทราบกันดีว่าในยุโรปก่อให้เกิดอุดมการณ์ชาตินิยมแรงกล้า แปรเป็นลัทธิการเมืองเผด็จการเบ็ดเสร็จที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในชาติ
ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกาประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้ประกาศนโยบายที่เรียกว่า New Deal ขึ้นมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับผลกระทบจากการพังทลายของระบบเศรษฐกิจ
โครงการ New Deal อาจจะถือได้ว่าเป็นการปฏิวัติทางแนวคิดครั้งสำคัญ
และก็เป็นโครงการที่ได้รับการต่อต้านจากผู้มีแนวความคิดอนุรักษ์นิยมอย่างรุนแรง
ศาลในระดับต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา ณ เวลานั้น รวมทั้งศาลสูงสหรัฐอเมริกา ไม่ยอมรับแนวทางใหม่ ๆ ของปรัชญากฎหมายมหาชนยุคใหม่ตามโครงการ New Deal ของประธานาธิบดีรูสเวลท์ โดยได้พิพากษาให้กฎหมายต่าง ๆ ในโครงการ New Deal ไม่มีผลใช้บังคับ อ้างเหตุผลว่าขัดกับรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งประธานาธิบดีรูสเวลท์ต้องกำหนดแผนปฏิรูปศาล และปฏิเสธการมีรัฐบาลในระบบ government by judges ยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการศาลทั่วสหรัฐอเมริกา โดยผู้พิพากษาในทุกระดับศาลต้องเปลี่ยนแนวคำวินิจฉัย
ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นผู้นำที่มีรากฐานมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ประธานาธิบดีรูสเวลท์คงไม่สามารถยืนหยัดในแนวทางตามโครงการ New Deal ไว้ได้
โครงการ New Deal เริ่มต้นจุดแรกตรงกับปีพุทธศักราช 2475 ในเมืองไทย
เมื่อรูสเวลท์ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งแรก เขาได้เริ่มต้นโครงการ New Deal ช่วงแรกระหว่างปีคริสต์ศักราช 1932 - 1935 และเริ่มช่วงที่ 2 ต่อเนื่องเมื่อได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2 ระหว่างปี 1936 - 1939 ทั้งหมดใช้ระยะเวลาประมาณเกือบ 10 ปีเต็มเพื่อปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลต่อแนวทางและวิธีการเขียนกฎหมายของสหรัฐอเมริกามากมายหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านกฎหมายแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่
กฎหมายแรงงานเป็นประเด็นความขัดแย้งใหญ่โตมากในสหรัฐอเมริกาเมื่อกว่า 60 ปีก่อนทั้ง ๆ ที่หากนำมาพูดถึงวันนี้แล้วเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก
แนวคิดใหม่ในประเด็นกฎหมายแรงงานของโครงการ New Deal ก็คือกฎหมายแรงงานธรรมดา ๆ ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ในประเทศต่าง ๆ ที่กำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ และจำกัดเวลาการทำงานต่อวัน หรือหลัก minimum wage & maximum hour provisions นั่นเอง
ในระยะ 4 ปีแรกของโครงการ New Deal ศาลสหรัฐอเมริกาพิพากษาว่าหลักคิดดังกล่าวในกฎหมายแรงงานเป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะขัดต่อเสรีภาพส่วนบุคคลในการทำสัญญา ศาลสหรัฐอเมริกา ณ วันนั้นมีความเห็นว่าสัญญาที่ลูกจ้างผู้บรรลุนิติภาวะแล้วได้ทำความตกลงไว้กับนายจ้างย่อมเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามเจตนาของคู่สัญญาตามหลัก due process clause ของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา
หลังเริ่มโครงการ New Deal แล้วถึง 5 ปีประธานาธิบดีรูสเวลท์จึงดำเนินการปฏิรูปศาล โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาบางมาตรา ผู้พิพากษาในยุคต่อมาจึงเริ่มยอมรับแนวทางใหม่ ๆ ของกฎหมายมหาชนในที่สุด
โดยการพิพากษายอมรับหลักการ minimum wage & maximum hour provisions ในกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ที่ตราขึ้นในยุคนั้น
หากจะกล่าวถึงโครงการ New Deal ในเชิงหลักคิดทางเศรษฐศาสตร์แล้วคงต้องว่ากันยาว
แต่ในเชิงสังคมก็คือการไม่ทอดทิ้งผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาสในสังคม
เป็นจุดเริ่มต้นลักษณะของรัฐทุนนิยมสวัสดิการ
เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้มีชัยชนะเหนือลัทธิสังคมนิยมในยุคสงครามเย็นที่จะตามมาด้วย
แม้ประเทศไทยจะยังไม่ได้มีระบบเศรษฐกิจทุนนิยมในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเมื่อปี 2472 - 2473 แต่จากกิจกรรมค้าขายระหว่างประเทศที่หดตัวลง และความฟุ่มเฟือยภายในประเทศเองในช่วงรัชสมัยก่อนหน้า ทำให้เกิดสภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจตามไปด้วย เงินทองร่อยหรอจากท้องพระคลังแทบว่าจะไม่มีเงินจ่ายข้าราชการประจำ ต้องปลดออกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้รายจ่ายลดลงเสมอกับรายรับ ให้ได้ดุลยภาพกัน
การปลดออกข้าราชประจำในยุคนั้นจึงเรียกเป็นที่เข้าใจกันว่า “ดุล” ข้าราชการคนไหนถูกปลดออกหรือถูกเลิกจ้าง ก็เรียกว่า “ถูกดุล” หรือบ้างก็ใช้คำพ้องเสียงว่า....
“ถูกดุน” !
เศรษฐกิจตกต่ำในประเทศไทยเป็นเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งที่นำมาสู่การปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ของคณะราษฎร
ในการประชุมมากมายหลายครั้งของคณะราษฎรก่อนหน้าตัดสินใจยึดอำนาจนั้น ปัญหาใหญ่ที่ถกเถียงพิจารณากันมากในที่ประชุมไม่ใช่ปัญหาการเมือง
หากแต่เป็นปัญหาเศรษฐกิจ !
อันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดในขณะนั้น !!
วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ตรงกับวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก จุลศักราช 1294 รัตนโกสินทร์ศก 150 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าในเช้ามืดของวันนั้น ทหารบก ทหารเรือ ได้มาประชุมพร้อมกันตามแผนการยึดอำนาจของคณะราษฎร
หากจะพิจารณากันให้ดี ๆ จะพบปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ในหลักการที่คณะราษฎรให้สัญญาไว้กับประชาชนไทยเช้ามืดวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ที่รู้จักกันต่อ ๆ มาในนาม “หลัก 6 ประการของคณะราษฎร” ที่ผมยกมาข้างต้น ได้บรรจุการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไว้ในข้อ 3
พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าอยู่ในลำดับก่อนหน้าความเสมอภาคและเสรีภาพที่ประชาชนจะต้อง
มีเสียอีก
งานจัดทำแผนการเศรษฐกิจแห่งชาติจึงเป็น “งานแรก” ของคณะราษฎร
ประวัติศาสตร์ตอนนี้สอนให้รู้ว่า ปัญหาการเมืองไม่ทำให้รัฐบาลพังหรอก ปัญหาเศรษฐกิจต่างหากที่ทำให้รัฐบาลพังได้ไม่ว่าจะเข้มแข็งขนาดไหนก็ตาม