xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วย : อำนาจอธิปไตยของปวงชน (4)

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

อำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย (บางกลุ่ม) คือเหตุวิกฤตชาติ และแนวทางแก้ไข

ดังได้กล่าวย้ำอยู่เสมอว่า สภาพความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ ประเทศไทยปกครองด้วยรัฐธรรมนูญและมีรูปการปกครองคือ ระบบรัฐสภา (Parliamentary system) ซึ่มผสมด้วยระบบแยกอำนาจของระบบประธานาธิบดี แต่อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย หรือเป็นของคนบางกลุ่ม เมื่ออำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของปวงชน จึงได้เรียกว่า ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา อันเป็นระบอบเผด็จการรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะซ่อนเร้นความเลวร้ายไว้อย่างลึกซึ้งดุจปลวกกินบ้าน กว่าจะรู้ตัวบ้านก็พังไปแล้ว ด้วยระบอบปัจจุบันนี้ ได้นำเอาวิธีการประชาธิปไตยมาเป็นเครื่องบังหน้า เช่น การเลือกตั้ง (แต่ก็ทั้งซื้อ และโกงเอาทั้งนั้น), การมีผู้แทน, รัฐบาลมีวาระ, ฝ่ายข้างมากเป็นรัฐบาล เป็นต้น

ทำไมจึงเสนอความเห็นเช่นนี้ ย้ำแล้วย้ำอีกเพราะระบอบประชาธิปไตยคือ อำนาจอธิปไตยต้องเป็นของปวงชน มีหลักการปกครองอยู่ 5 ประการคือ 1. หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน 2. หลักบุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ทางความคิดและทางการเมือง 3. หลักความเสมอภาคทางโอกาส 4. หลักนิติธรรม 5. รัฐบาลจากการเลือกตั้ง

เมื่อเรานำหลักนี้ไปพิจารณารัฐธรรมนูญ ปรากฏว่า ไม่มีหลักดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าใน มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาลตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 3 บัญญัติว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน แต่ในมาตราที่ 107 ข้อ 3 บัญญัติไว้ห้ามมิให้ผู้ที่ไม่จบปริญญาตรีสมัคร ส.ส.เท่ากับปิดกั้นสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชนค่อนประเทศ ผลักดันประชาชนอันเป็นชาวพุทธออกนอกเขตการเมือง ดุจดังคนต่างด้าว หรือประชาชนชั้นสอง นี่หรือที่เขาโฆษณาชวนเชื่อว่า รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ฯลฯ แต่ประชาชนค่อนประเทศไม่ได้รับสิทธิตามหลักการการปกครองแบบประชาธิปไตยทั้ง 5 ข้อดังที่กล่าวข้างต้น จึงเป็นการเขียนตบตาหลอกประชาชนทั้งแผ่นดิน เป็นการบิดเบือนที่ร้ายกาจที่สุด

เมื่อประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การปกครองที่ไม่มีหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย มายาวนานร่วม 70 กว่าปี ใครมาบริหารประเทศภายใต้ระบอบนี้ ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศชาติได้ ในท้ายที่สุดก็จะต้องพังไปในที่สุด เป็นไปตาม กฎอิทัปปัจจยตา ฝ่ายลบหรือฝ่ายวินาศนาการที่ว่า เมื่อสิ่งนี้เลว (เหตุ คือระบอบฯ เลว) สิ่งนี้จึงเลว (ผลคือ รัฐบาลเลวตามเหตุ รัฐบาลที่ฉลาดก็ต้องยกเลิกระบอบเลว)

และในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าประเทศไทยจะได้สถาปนาหลักการปกครองทั้ง 5 ดังกล่าวในสภาวการณ์ปัจจุบัน หรือเรียกว่าสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตย หรือการปฏิวัติประชาธิปไตยให้เป็นผลสำเร็จ ผู้เขียนมีความเห็นว่าการสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เราไม่อาจจะพัฒนาภาพรวมของประเทศให้ทันกับประเทศที่ผ่านการปฏิวัติประชาธิปไตยไปแล้ว 40-50 ปี ดังเช่นประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกทั้งระบอบประชาธิปไตยที่ครอบงำโลกอยู่ในปัจจุบัน ก็มิอาจที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์ให้โลกดำรงอยู่อย่างสันติภาพได้ และนักปราชญ์ทั่วโลกกำลังแสวงหาหลักการปกครองที่ให้คุณค่า และศักยภาพที่เหนือกว่าในปัจจุบัน เพื่อการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ที่เป็นไปอย่างยุติธรรมมากยิ่งขึ้น สิ่งนั้นก็คือกฎธรรมชาติและการประยุกต์ จึงเสนอหลักการปกครองดังต่อไปนี้เป็นหลักการปกครอง ด้วยการกระทำใดๆ ในทางการเมืองระดับชาติ เป็นสัมพันธภาพระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และประชาชนต่อประชาชนแล้ว ให้คำนึงถึง

1. หลักธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเป็นใหญ่) 2. หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ 3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน 4. หลักบุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ (ทางความคิดและการเมือง ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ) 5. หลักความเสมอภาค (ประชาชนมีความเสมอภาคทางโอกาส ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ) 6. หลักภราดรภาพ (ไม่แบ่งศาสนา, ชนชั้นวรรณะ) 7. หลักดุลยภาพ 8. หลักเอกภาพ 9. หลักนิติธรรม (ตามกฎธรรมชาติ)

หลักทั้ง 9 นี้ เป็นหลักทั่วไปปกคลุมเหตุปัจจัยอื่นทั้งหมด เป็นหลักที่ไม่ตาย มีความถาวร, เป็นอำนาจธรรมที่ใหญ่กว่าอำนาจอื่นทั้งหมด หลักทั้ง 9 มิติจึงเป็นศูนย์กลางของปวงชนทั้งแผ่นดิน ถ้าได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นหลักการปกครอง ก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติได้สำเร็จ และสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาอื่นๆ ให้ลุล่วงไปเป็นลำดับ เช่น

ปัญหาโจรก่อการร้าย 3 จังหวัดภาคใต้ จะแก้ไขให้ตกไปได้ เพราะไม่มีเงื่อนไขให้พวกไม่หวังดีต่อประเทศชาติดำเนินการได้อีกต่อไป การแก้ปัญหาภาคใต้ผู้มีอำนาจต้องใช้ความรู้ความสามารถดำเนินการแก้ปัญหาโจรก่อการร้ายภาคใต้ขึ้นสู่การแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติ และในปัญหาเฉพาะหน้ารัฐบาลจะต้องฉลาดในยุทธศาสตร์และยุทธวิธี เช่น

1. ต้องรู้ว่าปัญหาาภาคใต้เป็นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่ปัญหาอาชญากรรมทั่วไป ต่อปัญหานี้ต้องแก้หลักการปกครองให้ถือธรรมเป็นใหญ่ ให้ความยุติธรรมต่อประชาชนอย่างเสมอหน้ากัน

2. ไม่ปราบ แต่ปราบ คือไม่กระทำการให้ครึกโครม ใช้วิธีสืบหาข่าวเป็นด้านหลัก จนรู้ชัด มีหลักฐานชัดเจน จึงดำเนินการจับกุม ไม่จับแบบเหวี่ยงแห หรือจับแพะมารับบาป

3. ไม่มีทั้งทหารและตำรวจ แต่มีทั้งทหารและตำรวจ คือ ไม่สวมเครื่องแบบ ไม่ให้ประชาชน และผู้สื่อข่าวเห็นอาวุธ การโชว์อาวุธทำให้ประชาชนตกใจ จงอยู่อย่างประชาชน

4. ใช้จิตวิทยามวลชน ทำความเข้าใจประชาชน ปลุกความเป็นชาติไทย การมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน แม้ต่างศาสนาก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ บางประเทศร้อยพ่อ พันเชื้อชาติ หลายศาสนา เขายังอยู่กันอย่างสันติ ด้วยจิตสำนึกต่อประเทศชาติ เพราะเขามีหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนนั่นเอง

5. ชี้แจง เชิญชวนให้เข้ามาร่วมกันแก้ปัญหาอย่างสันติ

6. เปิดโอกาสให้ต่อสู้ทางการเมืองอย่างสันติ

ปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาเรื้อรัง และไม่สามารถแก้ปัญหานี้ให้ตกไปได้ อย่างดีก็เบาบางลง แล้วก็รุนแรงขึ้นมาใหม่เมื่อเห็นว่ารัฐบาลมือใหม่หัดขับ อ่อนแอ และรัฐบาลที่มาจาก การปกครองแบบเผด็จการระบบรัฐสภา โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือบิดเบือนมายาวนานถึง 70 กว่าปี อันนี้เป็นเงื่อนไขหลักและรัฐบาลก็ดี ข้าราชการฝ่ายปกครองก็ดี และโดยเฉพาะตำรวจรู้ไหมว่ากำลังโดดเดี่ยวตนเองอยู่ ลองทำแบบสอบถามดู ประชาชนทั่วประเทศมีทัศนะเป็นลบต่อตำรวจทั้งสิ้น

ปัญหาคอร์รัปชัน หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวง อันนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่อาจจะแก้ไขได้ เป็นผลอันเกิดจากระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา เว้นแต่จะยกเลิกระบอบฯ อันเลวร้ายนี้ลงเสีย

ต่อปัญหาดังกล่าวทั้งปวงในแผ่นดินนี้จะต้องสืบสาวไปหาเหตุ ว่าอะไรคือต้นเหตุที่แท้จริง เหตุที่แท้จริงก็คือประเทศไทยเป็นประเทศด้อยพัฒนาทางการเมือง มีการปกครองแบบเผด็จการโดยใช้รัฐธรรมนูญ และระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือ อาศัยวิธีการประชาธิปไตยและโฆษณาชวนเชื่อว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ระบอบฯ ที่เกิดจากการบิดเบือนและโฆษณานั้น เป็นการทำลายชาติเพราะพวกผู้ปกครองทั้งหลายเห็นผิด คิดผิด ทำผิดอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ และเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ประชาชน ดุจดัง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ทางแก้ไขที่ถูกต้องเป็นธรรมอย่างยิ่งใหญ่ จะเป็นไปได้มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นด้วย องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะทรงดำเนินการสถาปนาหลักการปกครองทั้ง 9 ดังกล่าวขึ้นเป็นหลักการปกครองสูงสุดเป็นเบื้องต้นเสียก่อน หรือเรียกได้ว่า ทรงสถาปนาระบอบการเมืองที่เป็นธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่ หรือธรรมาธิปไตย ทั้งได้ประยุกต์เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทย จากนั้นจึงดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ได้แก่

1. ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ (กฎหมายหลัก) ทุกหมวด ทุกมาตราให้สอดคล้อง หรือขึ้นต่อหลักการปกครองดังกล่าว

2. จากนั้นจึงปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ให้สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ

ทำได้ดังนี้ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศอริยะอย่างแท้จริง และเป็นแบบอย่างที่โดดเด่นของโลกต่อไปเมื่อพระธรรมนำการเมือง เป็นปัจจัยให้การเมืองถูกต้อง การเมืองถูกต้องเป็นปัจจัยให้การปกครองถูกต้อง การปกครองถูกต้องเป็นปัจจัยระบบเศรษฐกิจมั่งคั่ง เศรษฐกิจมั่งคั่งเป็นปัจจัยให้การดำเนินชีวิตของประชาชนเป็นไปในทางกุศล สันติสุข เป็นลำดับไป หรือเป็นไปตาม กฎอิทัปปัจจยตา ฝ่ายบวกที่ว่า เมื่อสิ่งนี้เป็นธรรม (เหตุคือ ระบอบฯ เป็นธรรม) สิ่งนี้จึงเป็นธรรม (ผลคือ รัฐบาลปกครองอย่างเป็นธรรม) ก็จะเป็นปัจจัยให้เศรษฐกิจและสังคมเป็นธรรม เป็นลำดับไป

สำเร็จเป็นไปได้ดังนี้แล้ว ประเทศชาติทั้งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะมีแต่ความมั่นคง รุ่งเรือง ก้าวหน้า อย่างยั่งยืนตามหลักการปกครองธรรมาธิปไตย และประชาชนจะมีแต่ความเจริญทั้งทางจิตใจและทางวัตถุไปพร้อมกันโดยฝ่ายเดียว และประเทศไทยจะเป็นประเทศผู้ก่อ และเป็นผู้นำอารยธรรมใหม่ที่ก้าวหน้าที่สุดของโลกปัจจุบัน

การอธิบายแนวทางการเมืองธรรมาธิปไตยมาเป็นลำดับ เป็นผลให้ขบวนการรัฐธรรมนูญที่ยึดถือรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ และร่างรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นกระบวนการมิจฉาทิฐิที่ทำให้ประเทศชาติล้มเหลวลงในทุกด้านดำรงอยู่อย่างยาวนาน 70 กว่าปี ได้ถอยร่นลงไปทุกทีแล้ว และถูกโดดเดี่ยวจากประชาชนมากขึ้นเป็นลำดับ

จึงเป็นนิมิตหมายอันดีแสดงให้เห็นว่ากระบวนการธรรมาธิปไตยอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กำลังเติบโตขึ้นอย่างกว้างขว้าง สักวันหนึ่ง พระราชปณิธานแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์จะปรากฏเป็นจริงในเร็ววัน
กำลังโหลดความคิดเห็น