เอเอฟพี – ความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ทั้งในปารีส ลอสแองเจลิส หรือ กรุงเทพฯ กำลังกระตุ้นให้ฟองสบู่ของราคาอาจแตกได้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดความโกลาหล และบรรดาเจ้าของบ้านอาจล้มละลายจากภาระหนี้สินก้อนโต
ภาคอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟูขึ้นด้วยกระแสเงินจากการปล่อยกู้ของแบงก์ต่างๆ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ และการหันหนีจากการลงทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ระดับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับที่อยู่อาศัยกลายเป็นลาภลอยอย่างแท้จริงสำหรับผู้ซื้อบ้านรายย่อยและนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ นอกเหนือจากการกู้เงินได้มากขึ้นเพราะดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำแล้ว แบงก์ยังขยายเวลาการจ่ายคืนเงินกู้ออกไปอีกด้วย
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในช่วงขาลงเมื่อ 2-3 ปีก่อนทำให้นักลงทุนเริ่มหันมาสนใจภาคอสังหาริมทรัพย์ จนบางครั้งมีการซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ได้สร้างเป็นทอดๆ ซึ่งผลักดันให้ราคาดีดตัวขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นทำให้บรรดาประเทศที่ผลิตน้ำมันได้เงินก้อนโต และนำไปลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้บางประเทศรู้ดีว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ตัวอย่างเช่น เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงมีร่องรอยจากการล่มสลายของตลาดที่อยู่อาศัยเมื่อต้นทศวรรษ 1990
ขณะที่บางประเทศกำลังระงับความร้อนแรงของการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ อาทิ อังกฤษได้พยายามลดกระแสการซื้อบ้านในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยเล็กน้อย
ผลสำรวจของฮาลิแฟกซ์ กิจการแบงกิ้งในอังกฤษเปิดเผยว่า ราคาที่อยู่อาศัยในอังกฤษเดือนพฤษภาคมทะยานขึ้นเพียง 5.7% จากเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี เมื่อเทียบกับราคาที่ทะยานสูงสุด 22.1% ในเดือนกรกฎาคม 2004 ด้านราคาที่อยู่อาศัยในออสเตรเลียก็ดูเหมือนจะมีเสถียรภาพมากขึ้น
กระนั้นก็ดี ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอื่น อาทิ สหรัฐฯ กลับมีสัญญาณที่น่าวิตก เช่นเดียวกับยุโรปและเอเชีย ซึ่งมีความเสี่ยงว่าฟองสบู่ตลาดที่อยู่อาศัยจะแตก
ทั้งนี้ผลกระทบของการล่มสลายในภาคอสังหาริมทรัพย์ก็จะสั่นครอนเศรษฐกิจโดยรวม และถ้าหากมูลค่าของบ้านและอพาร์ตเมนต์ดิ่งลงในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เจ้าของบ้านก็จะเผชิญปัญหาการจ่ายคืนเงินกู้ด้วย
ภาคอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟูขึ้นด้วยกระแสเงินจากการปล่อยกู้ของแบงก์ต่างๆ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ และการหันหนีจากการลงทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ระดับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับที่อยู่อาศัยกลายเป็นลาภลอยอย่างแท้จริงสำหรับผู้ซื้อบ้านรายย่อยและนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ นอกเหนือจากการกู้เงินได้มากขึ้นเพราะดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำแล้ว แบงก์ยังขยายเวลาการจ่ายคืนเงินกู้ออกไปอีกด้วย
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในช่วงขาลงเมื่อ 2-3 ปีก่อนทำให้นักลงทุนเริ่มหันมาสนใจภาคอสังหาริมทรัพย์ จนบางครั้งมีการซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ได้สร้างเป็นทอดๆ ซึ่งผลักดันให้ราคาดีดตัวขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นทำให้บรรดาประเทศที่ผลิตน้ำมันได้เงินก้อนโต และนำไปลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้บางประเทศรู้ดีว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ตัวอย่างเช่น เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงมีร่องรอยจากการล่มสลายของตลาดที่อยู่อาศัยเมื่อต้นทศวรรษ 1990
ขณะที่บางประเทศกำลังระงับความร้อนแรงของการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ อาทิ อังกฤษได้พยายามลดกระแสการซื้อบ้านในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยเล็กน้อย
ผลสำรวจของฮาลิแฟกซ์ กิจการแบงกิ้งในอังกฤษเปิดเผยว่า ราคาที่อยู่อาศัยในอังกฤษเดือนพฤษภาคมทะยานขึ้นเพียง 5.7% จากเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี เมื่อเทียบกับราคาที่ทะยานสูงสุด 22.1% ในเดือนกรกฎาคม 2004 ด้านราคาที่อยู่อาศัยในออสเตรเลียก็ดูเหมือนจะมีเสถียรภาพมากขึ้น
กระนั้นก็ดี ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอื่น อาทิ สหรัฐฯ กลับมีสัญญาณที่น่าวิตก เช่นเดียวกับยุโรปและเอเชีย ซึ่งมีความเสี่ยงว่าฟองสบู่ตลาดที่อยู่อาศัยจะแตก
ทั้งนี้ผลกระทบของการล่มสลายในภาคอสังหาริมทรัพย์ก็จะสั่นครอนเศรษฐกิจโดยรวม และถ้าหากมูลค่าของบ้านและอพาร์ตเมนต์ดิ่งลงในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เจ้าของบ้านก็จะเผชิญปัญหาการจ่ายคืนเงินกู้ด้วย