กมธ.ศาสนาสภาผู้แทนฯ ออกประณามผู้มีอิทธิพลฆ่าพระป่า จี้รัฐบาลต้องรีบหาตัวคนผิด โชว์ผลการศึกษาป่ามีพระจะเป็นป่าที่แท้จริง ด้านคณะทำงานปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์เรียกร้องนายกฯให้สั่งการสอบสวนคลี่คลายคดีนี้โดยด่วน
วานนี้(20มิ.ย.)ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาประนาม กรณี ฆาตกรรมพระสุพจน์ สุวจโน(ด้วงประเสริฐ)อายุ 39 ปี พรรษา 13 แห่งสถานปฏิบัติธรรมสวนป่าเมตตาธรรม บ้านห้วยงูใน ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ สมาชิกกลุ่มเสขิยธรรม เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะคดีนี้ผู้กระทำมีจุดมุ่งหมายข่มขู่พระป่าให้ออกจากพื้นที่ ในการปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะได้เข้าไปทำลายป่าได้สะดวก
"รัฐบาลต้องรีบดำเนินการตามที่กลุ่มเสขิยธรรมเรียกร้อง คือต้องการผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยด่วน รวมทั้งควรส่งเสริมให้พระอยู่ในป่า เพราะเป็นทางเดียวที่จะช่วยอนุรักษ์ป่าเอาไว้ได้ และผมเห็นว่าการคุกคามพระป่าในลักษณะเช่นนี้ ไม่ใช่ฝีมือของชาวบ้านแน่นอน แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นการกระทำของผู้มีอิทธิพลที่ต้องการพื้นที่ป่า ซึ่งถ้าการสอบสวนในเรื่องยังไม่ความคืบหน้า จะลงมาเคลื่อนไหวดำเนินการในเรื่องนี้ ตามกรอบอำนาจของคณะกรรมาธิการ"ร.ท.กุเทพ กล่าว
ในปัจจุบันวัดป่าทั่วประเทศสามารถรักษาป่าไว้ได้ เพราะพระและชาวบ้านใช้เป็นพื้นที่ในการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพระพุทธศาสนา ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชาวบ้านจะออกมาทำการอันอุกอาจอย่างนี้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่ต้องคุ้มครองการปฏิบัติธรรมในป่าอย่างจริงจัง โดยทางคณะกรรมาธิการฯ จะทำรายละเอียดเสนอไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะจาการศึกษาว่าป่าใดที่มีพระก็จะเป็นป่าอย่างแท้จริง แต่ถ้าไม่มีพระป่าก็จะถูกรุกรานได้ง่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันเดียวกันนี้ คณะทำงานปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ภายใต้ภาคีความร่วมมือ 8 องค์กรได้ออกแถลงการณ์ กรณีการลอบสังหารพระสุพจน์ สุวโจ พระกลุ่มเสขิยธรรม โดยระบุว่า พระสุพจน์ เป็นพระนักอนุรักษ์ผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เพื่อลุ่มน้ำฝาง และการต่อต้านนายทุนสวนส้มที่ใช้สารเคมีร่วมกับชาวบ้าน ทั้งนี้ ยังมีข้อพิพาทกับนักการเมืองผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เรื่องที่ดิน ที่นายทุนหวังฮุบที่สร้างสวนยางพาราตามโครงการที่รัฐบาลกำลังสนับสนุน คณะทำงานปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ต้องเร่งให้มีการสอบสวนคลี่คลายเรื่องนี้โดยด่วน เพื่อหาคนผิดมาลงโทษ โดยให้เจ้าหน้าที่สอบสวนจากส่วนกลาง หรือกรองปราบปรามขึ้นไปดำเนินการโดยเร็วที่สุด และให้มีการดูแลคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ประชาชน
วานนี้(20มิ.ย.)ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาประนาม กรณี ฆาตกรรมพระสุพจน์ สุวจโน(ด้วงประเสริฐ)อายุ 39 ปี พรรษา 13 แห่งสถานปฏิบัติธรรมสวนป่าเมตตาธรรม บ้านห้วยงูใน ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ สมาชิกกลุ่มเสขิยธรรม เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะคดีนี้ผู้กระทำมีจุดมุ่งหมายข่มขู่พระป่าให้ออกจากพื้นที่ ในการปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะได้เข้าไปทำลายป่าได้สะดวก
"รัฐบาลต้องรีบดำเนินการตามที่กลุ่มเสขิยธรรมเรียกร้อง คือต้องการผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยด่วน รวมทั้งควรส่งเสริมให้พระอยู่ในป่า เพราะเป็นทางเดียวที่จะช่วยอนุรักษ์ป่าเอาไว้ได้ และผมเห็นว่าการคุกคามพระป่าในลักษณะเช่นนี้ ไม่ใช่ฝีมือของชาวบ้านแน่นอน แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นการกระทำของผู้มีอิทธิพลที่ต้องการพื้นที่ป่า ซึ่งถ้าการสอบสวนในเรื่องยังไม่ความคืบหน้า จะลงมาเคลื่อนไหวดำเนินการในเรื่องนี้ ตามกรอบอำนาจของคณะกรรมาธิการ"ร.ท.กุเทพ กล่าว
ในปัจจุบันวัดป่าทั่วประเทศสามารถรักษาป่าไว้ได้ เพราะพระและชาวบ้านใช้เป็นพื้นที่ในการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพระพุทธศาสนา ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชาวบ้านจะออกมาทำการอันอุกอาจอย่างนี้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่ต้องคุ้มครองการปฏิบัติธรรมในป่าอย่างจริงจัง โดยทางคณะกรรมาธิการฯ จะทำรายละเอียดเสนอไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะจาการศึกษาว่าป่าใดที่มีพระก็จะเป็นป่าอย่างแท้จริง แต่ถ้าไม่มีพระป่าก็จะถูกรุกรานได้ง่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันเดียวกันนี้ คณะทำงานปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ภายใต้ภาคีความร่วมมือ 8 องค์กรได้ออกแถลงการณ์ กรณีการลอบสังหารพระสุพจน์ สุวโจ พระกลุ่มเสขิยธรรม โดยระบุว่า พระสุพจน์ เป็นพระนักอนุรักษ์ผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เพื่อลุ่มน้ำฝาง และการต่อต้านนายทุนสวนส้มที่ใช้สารเคมีร่วมกับชาวบ้าน ทั้งนี้ ยังมีข้อพิพาทกับนักการเมืองผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เรื่องที่ดิน ที่นายทุนหวังฮุบที่สร้างสวนยางพาราตามโครงการที่รัฐบาลกำลังสนับสนุน คณะทำงานปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ต้องเร่งให้มีการสอบสวนคลี่คลายเรื่องนี้โดยด่วน เพื่อหาคนผิดมาลงโทษ โดยให้เจ้าหน้าที่สอบสวนจากส่วนกลาง หรือกรองปราบปรามขึ้นไปดำเนินการโดยเร็วที่สุด และให้มีการดูแลคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ประชาชน


