xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วย : อำนาจอธิปไตยของปวงชน (3) อำนาจอธิปไตยของปวงชนกับจิตสำนึกของประชาชน

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

สภาวการณ์ของประเทศไทย คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง (ประชาชน) ตั้งอยู่บนพื้นฐานอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยหรือของคนบางกลุ่ม บางประเภท เมื่อความสัมพันธ์ลักษณะดังกล่าวนี้ดำเนินไปอย่างเนิ่นนาน และยังมองไม่เห็นว่าใคร? (ผู้ปกครองท่านใด จะมีความรู้ความเข้าใจ และคิดแก้ไขให้เป็นรูปธรรมที่ถูกต้อง)

ยิ่งนานวัน จิตสำนึกของความเป็นชาติไทย ความรักชาติ ความรักเพื่อนร่วมชาติ ความเห็นอกเห็นใจ ก็จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ เมื่อเป็นดังนี้ ถามว่าใครเสียประโยชน์? ใครได้ประโยชน์? และอะไรเป็นเหตุให้การบริหารชาติบ้านเมืองให้ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ

เรามาพิจารณาดูว่าอำนาจอธิปไตยกับจิตสำนึกของปวงชน ในสภาพการณ์ปัจจุบัน

1. ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้น ประเทศไทยจึงยากที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตยให้สำเร็จอย่างเหมือนประเทศญี่ปุ่น หรือประเทศมาเลเซีย ไม่เหมือนประเทศต่างๆ ที่ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ฝรั่งเศส ผู้นำและประชาชนของประเทศนั้นๆ ได้รวมกันเป็นกระบวนการต่อสู้ในทุกรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจอธิปไตย ด้วยที่ประชาชนมีความสำนึกในความเป็นชาติและสำนึกในเรื่องอำนาจอธิปไตย ประชาชนในประเทศที่ผ่านการปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชาติมาแล้ว จึงมีความหวงแหนในเรื่องอำนาจอธิปไตยของปวงชน เมื่อเขาเรียนก็ดี ทำหน้าที่ก็ดี ก็จะมีความสำนึกว่าทำเพื่อประเทศชาติ ความมุ่งมั่นของบุคคลถือประโยชน์ประเทศชาติเป็นด้านหลัก ประโยชน์ตนเป็นด้านรอง ดูประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม เป็นต้น ประชาชนของเขา จะคิดจะทำอะไรก็ตามเขาจะคิดคำนึงถึงประเทศชาติก่อน คิดถึงผลกระทบต่อเพื่อนร่วมชาติ

2. ประเทศไทยอำนาจอธิปไตยเป็นของคนบางกลุ่ม บวกกับความไม่ใส่ใจของประชาชนภายในชาติที่มีต่อประเทศชาติ ผู้เขียนมีประสบการณ์เคยทดลองทำแบบสอบถามว่า เป็นบุตรที่ดีของพ่อแม่กับเป็นบุตรที่ดีของประเทศชาติ อย่างไหนเหนือกว่ากัน เด็กๆ อายุ 6-8 ขวบตอบว่า เป็นบุตรที่ดีของประเทศชาติเหนือกว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กโตๆ ชั้น ม. 1 ขึ้นไปจนถึงระดับปริญญาโท มักจะตอบว่าเป็นบุตรที่ดีของพ่อแม่

ต่อไปถามว่าเรียนหนังสือทำหน้าที่เพื่อใคร เด็กชั้น ม. 1 ถึงปริญญาโทเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกันตอบว่า เรียนหนังสือและทำหน้าที่เพื่อตนเอง ครอบครัว

มีข้อสังเกตว่าทำไมเด็กอายุ 6-8 ขวบ จึงตอบได้ถูกต้อง ได้ยินแล้วชื่นใจ ยังกะคนมีอุดมการณ์ ก็เพราะว่าเด็กๆ อายุน้อย พวกเขายังไม่ถูกครอบงำจากสังคมน้ำเน่า เขายังมีใจบริสุทธิ์ แต่เมื่อโตขึ้นมา พวกเขาเริ่มมีความคิดที่คล้อยตาม หรือเอาแบบอย่างจากสังคมน้ำเน่า พวกเด็กโตๆ จนถึงปริญญาโท แม้ปริญญาเอกแล้วก็ตาม ส่วนใหญ่จึงคิดแคบๆ และเห็นแก่ตัว

อันนี้ก็คือเป็นผลมาจากอำนาจอธิปไตยมิได้เป็นของปวงชน มีการละเมิดอำนาจอธิปไตยของปวงชน ทั้งทางความคิด (ด้านกุศลธรรม) ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม

3. อำนาจอธิปไตยของปวงชนกับความเป็นเอกภาพของปวงชนทางศาสนา พระรัตนตรัยเป็นด้านเอกภาพ พุทธศาสนิกชนเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย

ความเป็นเอกภาพทางด้านประมุขแห่งชาติ พระเจ้าแผ่นดินเป็นด้านเอกภาพ ส่วนพสกนิกรเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย และในทางการเมืองที่ควรจะเป็นคือ อำนาจอธิปไตยของปวงชนเป็นด้านเอกภาพ ส่วนปวงชนเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย

เมื่อข้อเท็จจริงอำนาจอธิปไตยมิได้เป็นของปวงชน แต่เป็นของชนบางกลุ่ม บางคุณสมบัติ ความเป็นเอกภาพทางด้านการเมืองของประเทศไทย จึงลุ่มๆ ดอนๆ ผู้ปกครองไปทางหนึ่ง ประชาชนมีจุดมุ่งหมายไปกันคนละทิศ คนละทาง หมื่นคน หมื่นจุดมุ่งหมาย ล้านคน ล้านจุดมุ่งหมาย หกสิบล้านคน หกสิบล้านจุดมุ่งหมาย ปรากฏการณ์เป็นดังนี้ รัฐบาลจะบริหารชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าไปได้อย่างไร ก็เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของชนบางกลุ่ม ดำรงอยู่อย่างนี้

ประเทศไทยยังโชคดีที่ยังมีสถาบันพระศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นที่รวมจิตใจให้เป็นเอกภาพทั้งทางธรรมและทางโลก นั่นเอง ถ้าขาดความเป็นเอกภาพทางสถาบันหลักทั้งสองแล้ว ประเทศไทยคงหายนะ ไปไกลกว่านี้มากนัก

4. เรานำความรู้เรื่องอำนาจอธิปไตยของปวงชนไปพิจารณาปัญหาของประเทศชาติ เช่น ปัญหาแบ่งแยกดินแดน 4 จังหวัดภาคใต้ และกลุ่มโจรก่อการร้าย ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ปัญหาดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะประชาชนมีจิตสำนึกในเรื่องอำนาจอธิปไตย มีจิตสำนึกในความเป็นประชาชนชาติเดียวกัน ประชาชนจะเป็นหูเป็นตาให้กับทางบ้านเมือง เมื่อชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือ กลุ่มโจรก่อการร้าย หรือกลุ่มคนที่คิดจะแบ่งแยกดินแดนก็จะดำเนินการไม่ได้ เพราะว่าประชาชนไม่ให้การสนับสนุนในทุกทาง

แต่ด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของคนบางกลุ่ม บางคุณสมบัติ จึงเป็นเงื่อนไขให้พวกคิดแบ่งแยกดินแดน กลุ่มโจรก่อการร้ายนำไปเป็นเงื่อนไข และนี่คือเงื่อนไขสำคัญยิ่งข้อหนึ่งที่ผู้รักชาติบ้านเมืองจะต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และผลักดันทำการเปลี่ยนแปลงอำนาจอธิปไตยของคนบางกลุ่มให้เป็นของปวงชน อย่างถูกต้องตามหลักวิชาทั้งทางหลักการและรูปธรรมในทางปฏิบัติ เพื่อทำลายเงื่อนไขต่างๆ ที่จะเป็นข้ออ้างให้กับพวกไม่หวังดีต่อประเทศไทย

และเพื่อสร้างสรรค์นำไปสู่ความเป็นเอกภาพของปวงชนทางการเมือง และสมดังพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องสามัคคีธรรมนั่นเอง

ผู้รักชาติ ผู้สนใจการเมืองทั้งหลาย ลองพิจารณาเถิดว่า "ทำไมรัฐบาลเสียงข้างมากถึง 377 เสียง แต่ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง" ก็ด้วยระบอบการเมืองปัจจุบันนี้ อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยหรือเป็นของคนบางกลุ่มนั่นเอง

และทำไม นายเสนาะ เทียนทอง ออกมาพูดแล้วกลายเป็นผู้รุกทางการเมือง และโดดเด่นขึ้นมาทันที กลายเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน แม้ว่าการนำเสนอของท่านจะถูกบิดเบือนให้เป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล (คือระหว่างนายเสนาะกับท่านนายกรัฐมนตรีไปก็ตาม) แต่แท้ที่จริงแล้ว นายเสนาะ เทียนทอง ท่านพูดในหลักการ และเป็นการพูด การนำเสนอที่ถูกต้อง ประวัติศาสตร์การเมืองไทยต้องจารึกไว้ เพราะมีนักการเมืองไทยน้อยนัก ในรอบ 70 กว่าปีนับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญหรือระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา ที่จะออกมาพูดในทำนองนี้ได้ (ยกเว้น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ)

นายเสนาะ เทียนทอง เป็นนักการเมืองประเภทตัวเป็นไทย ใจเป็นไทย มั่นคงในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ท่านได้สะท้อนความอึดอัดใจ ในการทำหน้าที่ในระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา โดยชี้ตรงไปยังตัวบุคคล อันเป็นเครื่องมือของระบอบฯ คือนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

นายเสนาะ เทียนทอง กับภารกิจในการรุกทางการเมืองอย่างขนานใหญ่ ท่านได้อภิปรายในรัฐสภา เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2548 ได้กลายเป็นวาทะทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่มีคุณค่าต่อปวงชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง ความย่อตอนหนึ่งว่า ...เรื่องสำคัญที่จะต้องยืนยันความรู้ความเข้าใจร่วมกันว่า ตามเดิมอำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์ และเมื่อมีการเปลี่ยนการปกครอง พระมหากษัตริย์ได้สละพระราชอำนาจให้กับปวงชนชาวไทย เจตนารมณ์ในการพระราชทานอำนาจนั้น พระองค์มุ่งพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ทรงยืนยันแน่วแน่และหนักแน่นว่าไม่ได้สละอำนาจ พระองค์ให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เจตนารมณ์นี้คือหลักสำคัญของปวงชน ที่ประชาชนต้องถนอมหวงแหน พิทักษ์รักษาพระราชอำนาจที่พระองค์ทรงพระราชทานไว้ให้เป็นของประชาชนตลอดไป จะต้องไม่ยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใด หรือคณะหนึ่งคณะใดมาแย่งยึดอำนาจที่พระองค์พระราชทานไว้เป็นของตน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบและวิธีการใด...การใช้อำนาจอธิปไตยที่ทรงพระราชทานไว้นั้น ไม่ว่าจะใช้โดยใครก็ตาม เพื่อจะให้เป็นตามพระราชเจตนารมณ์ และหลักการประชาธิปไตยแล้วต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อการต่อไปนี้

ประการแรก ต้องใช้อำนาจอธิปไตยเพื่อความเป็นเอกราชของชาติ เพื่อความมั่นคงยั่งยืนของสถาบันศาสนา พระมหากษัตริย์ให้สถาพรเป็นนิรันดรไป นี่คือเจตนารมณ์ที่ตรากันไว้

ประการที่สอง ต้องใช้อำนาจอธิปไตยเพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งบูรณภาพเหนือดินแดนทั้งผืนแผ่นดินน่านน้ำ และน่านฟ้า จะไม่ยอมให้อริราชศัตรูใด กระทำย่ำยีเป็นอันขาด...

ประการที่สาม ต้องใช้อำนาจอธิปไตยเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม นั่นคือความร่มเย็นเป็นสุข ความรุ่งเรืองไพบูลย์ และความมั่นคงมั่งคั่งของอาณาจักรประชาราษฎร์ทั้งปวง โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกเพศ เลือกวัย ไม่เลือกศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เราสามารถจะมีความรักสามัคคีอยู่ร่วมกันได้ ถึงแม้ว่าจะต่างศาสนา ต่างประเพณีก็แล้วแต่

ประการที่สี่ ต้องใช้อำนาจอธิปไตยเพื่อธำรงรักษาความเป็นไทยทั้งในด้านวัฒนธรรม ประเพณีให้จีรังยั่งยืน เพราะวัฒนธรรมประเพณีก็คือสัญลักษณ์ ความหมายในความเป็นไทย หากสูญสิ้นเท่ากับสิ้นชาติ ท่านประธานหากการใช้อำนาจอธิปไตยไม่ว่าโดยใครก็ตาม ไม่เป็นไปดังที่กล่าวมาทั้ง 4 ประการนี้ การใช้อำนาจนั้นย่อมได้ชื่อว่า ไม่เป็นธรรม หรือ อธรรม ประชาชนชาวไทยย่อมมีความชอบธรรมที่จะช่วงชิงอำนาจนั้นไม่ว่ากรณีใดๆ...

จากคำอภิปรายดังกล่าว นายเสนาะ เทียนทอง ไม่ได้เป็นกบฏต่อพรรคไทยรักไทย แต่ท่านเป็นผู้นำฝ่ายค้านต่อต้านระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย แต่พลพรรคไทยรักไทยฟังไม่รู้เรื่อง เพราะพวกเขาถูกหล่อหลอมด้วยระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา พวกเขากำลังรุมทำร้าย คนดีของแผ่นดิน ที่ต้องการเห็น ต้องการทำความถูกต้องยุติธรรมให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน

อุปมา องคุลิมาล ได้สำนึกความถูกต้องต่อ องค์พระพุทธเจ้า ครั้น นายเสนาะ เทียนทอง เป็นผู้สว่างแล้ว ที่กลับมาสำนึกในแนวทางการเมืองโดยธรรมของ องค์พระมหากษัตริย์ที่ทรงพระราชทานอำนาจอธิปไตยของพระองค์ให้เป็นของปวงชน ที่ถูกบิดเบือนไป 70 กว่าปี นายเสนาะ เทียนทอง จึงหยุดไม่ได้ที่จะต่อสู้ อุทิศตน เสียสละต่อไป เพื่อให้เกิดความถูกต้องเกิดขึ้นในแผ่นดิน แล้วประชาชนจะยืนอยู่เคียงข้างท่าน
กำลังโหลดความคิดเห็น