บ้านเมืองกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มช่วงนี้ ทั้งประเด็นของการแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นไปตามคาดไม่น่ามีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น และประเด็นที่ยังค้างเติ่งกันอยู่กับตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง. ท้ายสุดคือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งขอฟันธงไว้ได้เลยว่า คงเป็นเพียงการ “ดิสเครดิต” และ “สีสันทางการเมือง” เท่านั้น ส่วนจะฝากแผลอะไรไว้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ “ความรู้สึก” ของประชาชนแต่ที่ “แน่แท้-แน่นอน!” คือ “ไอ้โม่ง!” ที่อยู่เบื้องหลังการกล่าวหาทุจริตเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด CTX 9000 พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความสามารถที่จะ “กระชากหน้ากาก!” ได้
สัปดาห์นี้ขอควันหลงกรณี อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ “แบงก์ชาติ” คุณเริงชัย มะระกานนท์ ที่เพิ่งถูกศาลอ่านคำพิพากษาเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วให้ชดใช้เงิน 186,000 ล้านบาท (อ่านว่า หนึ่งแสนแปดหมื่นหกพันล้านบาท) บวกด้วยดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รวมเบ็ดเสร็จเป็นเงินเกือบ 190,000 ล้านบาท
คุณเริงชัย มะระกานนท์ เป็นจำเลยในความผิดฐานละเมิดเกี่ยวกับการปกป้องค่าเงินบาท โดยใช้เงินกองทุนสำรองปกป้องค่าเงินบาทหรือที่มักเรียกเป็นภาษาอังกฤษติดปากว่า “สวอป (Swop)” อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ส่งผลให้ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 1.8 แสนล้านบาท
จากกรณีคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าว ด้วยความเคารพต่อกระบวนการพิจารณาคดี และการตัดสินของศาลแพ่ง “แสงแดด” และหลายฝ่ายมิได้ทักท้วงคำพิพากษาแต่ประการใด
เพียงแต่ทุกฝ่ายและทุกส่วนในสังคมมีเครื่องหมาย “คำถาม” โตๆ พร้อมสารพัด “ข้อกังขา” อยู่ในใจว่า “ทำไม คุณเริงชัย ถึงต้องรับกรรมคนเดียว?” และคำถามสำคัญตามมาว่า “คุณเริงชัย เป็นแพะรึปล่าว?”
การตัดสินใจในการปกป้องค่าเงินบาทหรือสวอปเงินจำนวนมากมายเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คุณเริงชัย จะ “คิดคนเดียว-ตัดสินใจคนเดียว!” เนื่องด้วยจะมีผลกระทบกับสภาพเศรษฐกิจระดับมหภาคของประเทศ และแน่นอนถึงระดับจุลภาคในที่สุด ดังที่เกิดขึ้นตั้งแต่กลางปี 2540 เรื่อยมาจนถึง 2543-2545 เพราะฉะนั้น เราพนันสูงถึงห้าร้อยล้านเปอร์เซ็นต์เลยว่า คุณเริงชัย “ไม่ควรเป็นแพะ!”
ประชาชนโดยทั่วไปไม่เชื่อว่าคุณเริงชัย อดีตผู้ว่าฯ ธนาคารชาติจะมีอำนาจเต็มที่ในการตัดสินใจและสั่งการในเรื่องสำคัญระดับชาติเช่นนี้ โดยที่ผู้บังคับบัญชาระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือคนอย่างระดับนายกรัฐมนตรีไม่มีส่วนรับรู้ในการตัดสินใจในครั้งนั้น
คุณเริงชัย ตกเป็น “แพะ” และ “จำเลยสังคม” ที่นำพาประเทศชาติเข้าไป “ติดกับดัก” วิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่ช่วงต้นของกระบวนการสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดในการทำสงครามปกป้องค่าเงินบาทนั้น คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่กระทรวงการคลังตั้งขึ้นมาได้มีการเสนอรายงานให้นายกรัฐมนตรี ระบุว่าการดำเนินการของ ดร.อำนวย วีรวรรณ (รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลัง) ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ (อดีตรองผู้ว่าฯ และผู้ว่าแบงก์ชาติ) พร้อมทั้งคุณเริงชัย จัดอยู่ในฐานะประมาทเลินเล่อไม่ร้ายแรง ไม่ต้องดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน แต่ตอนหลังคณะกรรมการชุดเดียวกันกลับคำว่า คุณเริงชัย เป็นผู้เดียวที่กระทำความผิด
คุณเริงชัย จึงฟ้องธนาคารชาติกลับและฟ้อง “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าฯ ธนาคารชาติในปัจจุบัน กรณีการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงและหาตัวผู้กระทำในการปกป้องค่าเงินบาท พร้อมกับเรียกค่าเสียหาย ค่าขาดประโยชน์ในการทำมาหากิน และอื่นๆ รวม 198.4 ล้านบาท กับดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี
ในที่สุดคดีนี้ก็ถูกศาลยกฟ้อง คุณเริงชัย จึงถูกโดดเดี่ยวตกเป็นจำเลยสังคมเรื่อยมาจนถูกศาลแพ่งตัดสินให้คุณเริงชัย อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยดังที่ทราบๆ กันอยู่ล่าสุด
ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “แสงแดด” ก็ดี ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไปก็ดี ย่อมไม่มีใคร “ปักใจเชื่อ” ว่า คุณเริงชัย เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการ “รับรู้-ตัดสินใจ” แต่เพียงผู้เดียวและไม่สำคัญเท่ากับว่าต้องตกเป็น “แพะ-จำเลย” แต่เพียงผู้เดียว
เพราะว่าเป็นแล้ว ถ้าเราจะย้อนคดีไปว่ามีใครบ้างที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับปัญหา วิกฤตเศรษฐกิจก่อนปี 2540 จนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 นั้น มีบุคคลเกี่ยวข้องหลายคนมาก และที่สำคัญคือหลายรัฐบาล เริ่มตั้งแต่สมัยรัฐบาลชวน 1 ตามด้วยรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา และวิกฤตเศรษฐกิจมาหนักสุดสมัยรัฐบาล “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จนถูกขับไล่ในที่สุด
“ปัญหาการปกป้องค่าเงินบาท” ตลอดจน “การลอยตัวค่าเงินบาท” นั้น มี “ตัวละคร” หลายคนที่เป็นทั้งรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง เจ้าหน้าที่รัฐและหลายรัฐบาลที่ควรถูก “โยง” เข้ามามีส่วนรับรู้และก่อปัญหานี้ด้วย เพราะเป็น “กลุ่มบุคคล” ที่มีส่วนในการ “รับรู้และตัดสินใจ” กับความเสียหายที่เกิดขึ้นเศรษฐกิจชาติบ้านเมือง
ทั้งนี้ กรณีปกป้องค่าเงินบาทนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจต้องเป็นคุณเริงชัย อดีตผู้ว่าฯ ธนาคารชาติและต้องมีอดีตรองผู้ว่าฯ หลายคน ในขณะนั้นที่ร่วมรับรู้ โดยที่ต้องมีอดีตรัฐมนตรีคลังและนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นรับรู้แน่นอน ส่วนกรณีลอยตัวค่าเงินบาทก็เช่นกันต้องมีผู้รับรู้และ “ได้ประโยชน์!” ไปเช่นเดียวกัน
“แสงแดด” เห็นรูปภาพและรูปการ์ตูนในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันของหมู่เฮานี่แหละเมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ ที่แล้ว โดยเป็น “ภาพล้อ” กลุ่มบุคคลทั้งในอดีตและปัจจุบันผู้ยิ่งใหญ่ที่มีส่วน “รับรู้-ตัดสินใจ” จนเลยเถิด “ผู้รับประโยชน์” จากกรณีปัญหาทั้งสอง
เห็นแล้วอดนึกขำพรรคพวกไม่ได้ที่ว่า “ข้อมูลลึกดี!” แถม “รู้จริง” อีกต่างหากว่า ช่วงเหตุการณ์นั้นมีใครบ้างที่ "ควร-น่าจะ" เกี่ยวข้อง
คุณคามินแอนด์เดอะแก๊งใน “ตูน' ณาการ CEO” กับภาพการ์ตูนที่เขียนออกมามีคุณเริงชัย ถูกตรึงลิ้นห้อย ขอบตาเขียวช้ำ ตรึงอยู่บนไม้กางเขนนุ่งผ้าเตี่ยว โดยในภาพดูคล้ายจะมีคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ดร.อำนวย วีรวรรณ ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ และดร.ทนง พิทยะ
ส่วนภาพที่สองเป็นภาพถ่ายตกแต่งในหน้า “ผู้จัดกวน” ปกหลังสุดของ ผู้จัดการปริทรรศน์ มีข้อความจั่วหัวว่า “จิ๋ว, ทนง, อำนวย และธารินทร์ พร้อมใจลงขันช่วยเริงชัย รับมีส่วนผิดด้วย”
จากภาพทั้งสอง แสดงให้เห็นชัดเจนว่ากลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง “รับรู้-รับผิดชอบ-รับประโยชน์” จากวิกฤตเศรษฐกิจจากกรณี “ปกป้องค่าเงินบาท-ลอยตัวค่าเงิน” นั้น มิใช่มีแต่คุณเริงชัย แต่เพียงผู้เดียว
เป็นกรณีที่น่าแปลกที่คุณเริงชัย “ไม่แอะ!” แม้แต่คำเดียวหลังศาลแพ่งพิพากษาชดใช้ค่าเสียหาย
เมืองไทยก็ “หยั่งเงี้ย!” “ผู้ร้ายตัวจริงไม่เคยโดน แต่ผู้ไม่ร้ายจริง รอดทุกที!” แถม “หน้าบานหน้าใส! เชิดหน้าชูคอสลอนอยู่ในสังคม” ส่วน “แพะ” ได้แต่ร้อง แบะ! แบะ! ทุกครั้งไป
สัปดาห์นี้ขอควันหลงกรณี อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ “แบงก์ชาติ” คุณเริงชัย มะระกานนท์ ที่เพิ่งถูกศาลอ่านคำพิพากษาเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วให้ชดใช้เงิน 186,000 ล้านบาท (อ่านว่า หนึ่งแสนแปดหมื่นหกพันล้านบาท) บวกด้วยดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รวมเบ็ดเสร็จเป็นเงินเกือบ 190,000 ล้านบาท
คุณเริงชัย มะระกานนท์ เป็นจำเลยในความผิดฐานละเมิดเกี่ยวกับการปกป้องค่าเงินบาท โดยใช้เงินกองทุนสำรองปกป้องค่าเงินบาทหรือที่มักเรียกเป็นภาษาอังกฤษติดปากว่า “สวอป (Swop)” อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ส่งผลให้ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 1.8 แสนล้านบาท
จากกรณีคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าว ด้วยความเคารพต่อกระบวนการพิจารณาคดี และการตัดสินของศาลแพ่ง “แสงแดด” และหลายฝ่ายมิได้ทักท้วงคำพิพากษาแต่ประการใด
เพียงแต่ทุกฝ่ายและทุกส่วนในสังคมมีเครื่องหมาย “คำถาม” โตๆ พร้อมสารพัด “ข้อกังขา” อยู่ในใจว่า “ทำไม คุณเริงชัย ถึงต้องรับกรรมคนเดียว?” และคำถามสำคัญตามมาว่า “คุณเริงชัย เป็นแพะรึปล่าว?”
การตัดสินใจในการปกป้องค่าเงินบาทหรือสวอปเงินจำนวนมากมายเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คุณเริงชัย จะ “คิดคนเดียว-ตัดสินใจคนเดียว!” เนื่องด้วยจะมีผลกระทบกับสภาพเศรษฐกิจระดับมหภาคของประเทศ และแน่นอนถึงระดับจุลภาคในที่สุด ดังที่เกิดขึ้นตั้งแต่กลางปี 2540 เรื่อยมาจนถึง 2543-2545 เพราะฉะนั้น เราพนันสูงถึงห้าร้อยล้านเปอร์เซ็นต์เลยว่า คุณเริงชัย “ไม่ควรเป็นแพะ!”
ประชาชนโดยทั่วไปไม่เชื่อว่าคุณเริงชัย อดีตผู้ว่าฯ ธนาคารชาติจะมีอำนาจเต็มที่ในการตัดสินใจและสั่งการในเรื่องสำคัญระดับชาติเช่นนี้ โดยที่ผู้บังคับบัญชาระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือคนอย่างระดับนายกรัฐมนตรีไม่มีส่วนรับรู้ในการตัดสินใจในครั้งนั้น
คุณเริงชัย ตกเป็น “แพะ” และ “จำเลยสังคม” ที่นำพาประเทศชาติเข้าไป “ติดกับดัก” วิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่ช่วงต้นของกระบวนการสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดในการทำสงครามปกป้องค่าเงินบาทนั้น คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่กระทรวงการคลังตั้งขึ้นมาได้มีการเสนอรายงานให้นายกรัฐมนตรี ระบุว่าการดำเนินการของ ดร.อำนวย วีรวรรณ (รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลัง) ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ (อดีตรองผู้ว่าฯ และผู้ว่าแบงก์ชาติ) พร้อมทั้งคุณเริงชัย จัดอยู่ในฐานะประมาทเลินเล่อไม่ร้ายแรง ไม่ต้องดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน แต่ตอนหลังคณะกรรมการชุดเดียวกันกลับคำว่า คุณเริงชัย เป็นผู้เดียวที่กระทำความผิด
คุณเริงชัย จึงฟ้องธนาคารชาติกลับและฟ้อง “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าฯ ธนาคารชาติในปัจจุบัน กรณีการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงและหาตัวผู้กระทำในการปกป้องค่าเงินบาท พร้อมกับเรียกค่าเสียหาย ค่าขาดประโยชน์ในการทำมาหากิน และอื่นๆ รวม 198.4 ล้านบาท กับดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี
ในที่สุดคดีนี้ก็ถูกศาลยกฟ้อง คุณเริงชัย จึงถูกโดดเดี่ยวตกเป็นจำเลยสังคมเรื่อยมาจนถูกศาลแพ่งตัดสินให้คุณเริงชัย อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยดังที่ทราบๆ กันอยู่ล่าสุด
ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “แสงแดด” ก็ดี ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไปก็ดี ย่อมไม่มีใคร “ปักใจเชื่อ” ว่า คุณเริงชัย เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการ “รับรู้-ตัดสินใจ” แต่เพียงผู้เดียวและไม่สำคัญเท่ากับว่าต้องตกเป็น “แพะ-จำเลย” แต่เพียงผู้เดียว
เพราะว่าเป็นแล้ว ถ้าเราจะย้อนคดีไปว่ามีใครบ้างที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับปัญหา วิกฤตเศรษฐกิจก่อนปี 2540 จนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 นั้น มีบุคคลเกี่ยวข้องหลายคนมาก และที่สำคัญคือหลายรัฐบาล เริ่มตั้งแต่สมัยรัฐบาลชวน 1 ตามด้วยรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา และวิกฤตเศรษฐกิจมาหนักสุดสมัยรัฐบาล “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จนถูกขับไล่ในที่สุด
“ปัญหาการปกป้องค่าเงินบาท” ตลอดจน “การลอยตัวค่าเงินบาท” นั้น มี “ตัวละคร” หลายคนที่เป็นทั้งรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง เจ้าหน้าที่รัฐและหลายรัฐบาลที่ควรถูก “โยง” เข้ามามีส่วนรับรู้และก่อปัญหานี้ด้วย เพราะเป็น “กลุ่มบุคคล” ที่มีส่วนในการ “รับรู้และตัดสินใจ” กับความเสียหายที่เกิดขึ้นเศรษฐกิจชาติบ้านเมือง
ทั้งนี้ กรณีปกป้องค่าเงินบาทนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจต้องเป็นคุณเริงชัย อดีตผู้ว่าฯ ธนาคารชาติและต้องมีอดีตรองผู้ว่าฯ หลายคน ในขณะนั้นที่ร่วมรับรู้ โดยที่ต้องมีอดีตรัฐมนตรีคลังและนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นรับรู้แน่นอน ส่วนกรณีลอยตัวค่าเงินบาทก็เช่นกันต้องมีผู้รับรู้และ “ได้ประโยชน์!” ไปเช่นเดียวกัน
“แสงแดด” เห็นรูปภาพและรูปการ์ตูนในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันของหมู่เฮานี่แหละเมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ ที่แล้ว โดยเป็น “ภาพล้อ” กลุ่มบุคคลทั้งในอดีตและปัจจุบันผู้ยิ่งใหญ่ที่มีส่วน “รับรู้-ตัดสินใจ” จนเลยเถิด “ผู้รับประโยชน์” จากกรณีปัญหาทั้งสอง
เห็นแล้วอดนึกขำพรรคพวกไม่ได้ที่ว่า “ข้อมูลลึกดี!” แถม “รู้จริง” อีกต่างหากว่า ช่วงเหตุการณ์นั้นมีใครบ้างที่ "ควร-น่าจะ" เกี่ยวข้อง
คุณคามินแอนด์เดอะแก๊งใน “ตูน' ณาการ CEO” กับภาพการ์ตูนที่เขียนออกมามีคุณเริงชัย ถูกตรึงลิ้นห้อย ขอบตาเขียวช้ำ ตรึงอยู่บนไม้กางเขนนุ่งผ้าเตี่ยว โดยในภาพดูคล้ายจะมีคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ดร.อำนวย วีรวรรณ ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ และดร.ทนง พิทยะ
ส่วนภาพที่สองเป็นภาพถ่ายตกแต่งในหน้า “ผู้จัดกวน” ปกหลังสุดของ ผู้จัดการปริทรรศน์ มีข้อความจั่วหัวว่า “จิ๋ว, ทนง, อำนวย และธารินทร์ พร้อมใจลงขันช่วยเริงชัย รับมีส่วนผิดด้วย”
จากภาพทั้งสอง แสดงให้เห็นชัดเจนว่ากลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง “รับรู้-รับผิดชอบ-รับประโยชน์” จากวิกฤตเศรษฐกิจจากกรณี “ปกป้องค่าเงินบาท-ลอยตัวค่าเงิน” นั้น มิใช่มีแต่คุณเริงชัย แต่เพียงผู้เดียว
เป็นกรณีที่น่าแปลกที่คุณเริงชัย “ไม่แอะ!” แม้แต่คำเดียวหลังศาลแพ่งพิพากษาชดใช้ค่าเสียหาย
เมืองไทยก็ “หยั่งเงี้ย!” “ผู้ร้ายตัวจริงไม่เคยโดน แต่ผู้ไม่ร้ายจริง รอดทุกที!” แถม “หน้าบานหน้าใส! เชิดหน้าชูคอสลอนอยู่ในสังคม” ส่วน “แพะ” ได้แต่ร้อง แบะ! แบะ! ทุกครั้งไป