ครั้งแรกที่เกิดเรื่องขึ้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตอนแรกผมก็อยากจะคิดว่ามันเป็นเรื่องกระจอกของ โจรกระจอก พวกใดพวกหนึ่งแถวๆ นั้น ซึ่งจะทำกันอย่างกระจอกๆ อย่างที่ว่ากัน แต่ในการฆ่ารายวันต่อมาหลายครั้งหลายหนจนกระทั่งฆ่าพระบิณฑบาต ทำให้ผมต้องคิดหาเหตุผลใหม่ๆ บังเอิญว่าในสมัยหนึ่งที่ผมได้ติดตามข่าวการก่อการร้ายรัฐบาลตอลิบานในอัฟกานิสถานมาอย่างไม่ลดละ และผมเองนั้นก็เคยเตร็ดเตร่อยู่ระหว่างประเทศไทยกับอัฟกานิสถานสมัยหนึ่ง ซึ่งสมัยนั้นเป็นสมัยที่ นายวิลเลียม เคย์ซี (William Casey) ผู้อำนวยการ องค์การซีไอเอกับรัฐบาลปากีสถาน และ บิน ลาดิน ร่วมกันเรียกร้อง คนหนุ่มชาวมุสลิมทั่วโลกให้ไปช่วยกันฝึกอาวุธทำลายรัฐบาลคอม- มิวนิสต์ ในคาบูล มันทำให้ผมได้ยินอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับการเมืองการทหารของคนเลือดร้อนแถวๆ นั้น หรือในกลุ่มคนมุสลิมที่เรียกตัวเองว่า "มูจาฮีดีน" และขบวนการซีไอเอมุสลิมพวกนั้นคงจะทำอะไรกันสักอย่าง หนึ่งแน่ๆ
ผมก็ติดตามเรื่อยมาเป็นแรมปี ความจริงมันก็ไม่สลักสำคัญอะไร ที่จะต้องไปนั่งคอยเฝ้าคอยตามคนเหล่านั้นว่าเขาทำอะไรกันที่ไหน แต่เพราะอาชีพทำหนังสือพิมพ์มาตลอด ที่มีหน้าที่ต้องเสาะหาเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านหูผ่านตา และผ่านชีวิตไปแต่ละวันจนเกิดความเคยชินว่าต้องรู้ ต้องเข้าใจก็ติดตามมาทุกยุคทุกสมัย และทุกเรื่อง ก็พอจะรู้และหลับตามอง เห็นอะไรบางสิ่งบางอย่างที่มันจะเกิดขึ้นในโลกจากฝีมือของพวกซีไอเอมุสลิมพวกนี้ก็น่าจะเป็นได้
เพราะสังเกตจากการกระทำต่างๆ ทั้งในด้านยุทธศาสตร์ยุทธวิธีหลายๆ อย่างที่นำมาใช้ในอัฟกานิสถานในระยะนั้น ความจริงแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าการกระทำกระจอกๆ หลายอย่างทีเดียว ระยะที่จะต้องทำกันนั้นเป็นเวลายาวนานแรมปี และในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่มีรายการหนังตัวอย่างอันน่าตื่นเต้นกันทุกวันทีเดียว หรือถ้าเว้นพักผ่อนบ้างก็ไม่เกินสองวัน แต่ตามธรรมดาแล้วก็จะทำทุกวัน และไม่เลือกรายใหญ่ที่สำคัญอะไรมากนัก ทำแต่เพียงเป็นการบอกกล่าวให้ทราบกันว่า ตราบใดที่ยังมีคนมุสลิมอยู่ในโลกนี้ การฆ่ากันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรืออีกหลายจังหวัดนั้น ก็คงหยุดไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำเพื่อบอกกล่าวให้รัฐบาลไทยที่มีความเชื่อมั่นในความเก่งกล้าของตัวเองสูง เฉลียวฉลาดและเก่งกว่ามนุษย์ธรรมดาสามัญอื่น ทราบว่าอย่างดีก็มีแต่ขี้กับไส้เท่านั้น
จะพูดอะไรว่าอะไร หรือจะมียุทธวิธีขนาดไหนอย่างไรก็ทำไปเถอะ การฆ่าการฉีกหน้าเยาะเย้ยอย่างหยามหยันนั้นก็จะต้องทำต่อไป
เคยมีคนมาพูดคุยกับผมว่ามันน่าจะเป็นพวกโจรกระจอกจริงๆ ก็ได้ เพราะวิธีการของมันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ที่มันทำกันนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร ทำเพื่อก่อกวนให้แสบๆ เล่นเท่านั้น พวกนี้มันไม่ทำมาหากินกันบ้างหรือไง?
จนป่านนี้ก็ยังมีคนคิดว่าโจรกระจอกเหล่านี้น่าจะหยุดไปทำมาหากินกันบ้าง จะมานั่งทำนอนทำกันอยู่อย่างไม่หยุดไม่เว้นนี้มันจะเอาอะไรกินเข้าไป?
ผมก็บอกว่าพวกที่ทำหน้าที่ก่อกวนนี้ ไม่ใช่คนสองสามคนหรือคนกลุ่มเดียว แต่เป็นคนมุสลิมในตะวันออกกลาง และในเอเชียกลาง ทุกประเทศที่มีขบวนการก่อการร้ายเป็นของตัวเองนี้ ซึ่งตามรายงานที่ผมเคยเขียนมาแล้วนั้นนับว่ามีไม่ใช่น้อย ผู้เชี่ยวชาญที่รู้เรื่องราวของมูจาฮีดีน พวกนี้กล่าวว่า ขบวนการมูจาฮีดีนพวกนี้มีทั้งหมดทั่วโลก 40 ประเทศ เฉพาะตัวแสดงที่จะออกทำลายก่อกวนที่ได้รับการฝึกฝนจากซีไอเอ มาแล้วในสงครามอัฟกานิสถานนั้นว่ามีอยู่ประมาณ 18,000 คน นักรบเหล่านี้พร้อมที่จะตายเพื่อพระผู้เป็นเจ้าทันทีอย่างที่เคยแสดงบทบาท กับทหารไทยที่กรือเซะเมื่อปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นคนพวกนี้นอกจากไม่ต้องห่วงใยว่าจะไม่ทำมาหากินอะไรก็ไม่ต้องเป็นห่วง เขาเกิดมาตายเพื่อพระ ผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น
วีรบุรุษมูจาฮีดีนเหล่านี้ได้ศึกษาเล่าเรียนปลูกฝังให้เกิดความรักความเกลียดคนนอกศาสนากันมาเป็นอย่างดีในโรงเรียนสอนศาสนาของชาวมุสลิมทุกหนทุกแห่งตลอดเวลาหลายปีมาแล้ว ก่อนที่จะลงมือนำมาปฏิบัติการจริงให้เป็นที่รู้กันไปทั้งโลก
เฉพาะอย่างยิ่ง แหล่งที่จะต้องปฏิบัติงานเพื่อการไปตายเพื่อพระ ผู้เป็นเจ้านายนั้น มีประเทศที่มีองค์การก่อการร้ายมูจาฮีดีนตั้งอยู่ทั้งหมด 40 ประเทศด้วยกัน เฉพาะประเทศที่จำเป็นที่สุดก็คือ ประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศสุดท้ายที่ลงมือปฏิบัติก่อกวนเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอก็คือประเทศไทยของเรา
ข้อหาที่ประเทศต่างๆ เหล่านี้จะต้องได้รับการก่อกวนทำลายจากขบวนการนี้เพราะเป็นประเทศที่มีมนุษย์เป็นสมุนบริวารของอเมริกาหรือพวกประเทศที่ทำหน้าที่รับใช้ คนนอกศาสนา (Infide) หรือขบวนการสุนัขรับใช้ของจักรวรรดินิยม (Running Dogs of Imperialist) ตามภาษาของประธานเหมาเจ๋อตง
การก่อการร้ายของพวกมุสลิมซีไอเอกำลังดำเนินการกันอยู่ทั่วโลกทุกวันนี้ ไม่ใช่คนมุสลิมใน 3 จังหวัดในประเทศไทย แต่ขบวนการนี้ได้มีการจัดตั้งและแพร่ขยายกันไปทั้งโลกตั้งแต่ในเชชเนีย อดีตรัฐอิสลามในสหภาพโซเวียตเป็นต้นมา จนกระทั่งมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งอาจจะไม่มีพวกนี้อยู่ในเมืองไทย แต่เป็นพวกที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมีการจัดตั้งโดยซีไอเอในอัฟกานิสถานชุดเดียวกับที่ บิน ลาดิน กับเจ้าชายซาอุดีอาระเบียองค์หนึ่งเข้าไปรับการอบรมจากซีไอเอที่นั่น เมื่อหมดภารกิจในการขับไล่คอมมิวนิสต์ออกจากอัฟกานิสถานไปได้แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านหรือไปประจำทำการในเมืองต่างๆ ทั่วโลก จากการจับกุมคุณฮัมบาลี หัวหน้าขบวนการเจไอ อิสลามิยา ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2546
การจับกุมนั้นไม่ได้ทำโดยตำรวจไทย แต่ทำโดยซีไอเอของอเมริกาหรืออาจจะกล่าวได้ว่าขบวนมุสลิมที่ทำการอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ได้ทำตามคำสั่งและความต้องการของซีไอเอไม่ได้ทำตามลำพัง แต่เจ้าหน้าที่ขององค์การซีไอเอจะประกบอยู่ทุกแห่งหรือเป็นผู้นำมา ตั้งแต่ต้น เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของอเมริกาเอง
เพราะฉะนั้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นงานของซีไอเอ ด้วย การปราบปรามผู้ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จาก : Thailand faces up to southern extremist threat โดย Anthony David ; Jane's intelligence review 22 กันยายน 2546) ประเทศไทยพลาดไปอย่างหนึ่งคือ เราไม่ได้พูดจากับอเมริกาว่าเราเป็นสุนัขรับใช้มากน้อยยาวนานเพียงไร หรือว่าจะเอากันยังไง จะเอากันพอทำให้บ้านเมืองฉิบหายย่อยยับอย่างไร ในฐานะที่ไทยได้รับเกียรติเป็นพันธมิตรนอกนาโต้ของอเมริกา และเรารักอเมริกาอย่างสุดๆ อาจจะมีคนบางคนบอกว่าเมืองไทยไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร แต่มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งที่ตลอดเวลาที่เราติดต่อผูกพันกับอเมริกามาเป็นสิบๆ ปีนั้น เราเป็นสิ่งหนึ่งของอเมริกามาอย่างต่อเนื่อง
นั่นคือ การทำตัวเป็นเพียง Running Dog of Imperialist หรือ สุนัขรับใช้ธรรมดาตัวหนึ่งของจักรวรรดินิยม ตามการเรียกขานของท่านเหมาเจ๋อตง เพราะฉะนั้นถ้าหากไทยจะทำทุกอย่างใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามความต้องการของอเมริกาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร (โปรดอ่าน President Bush Presses Antiterror Agenda in Southeast Asia ; โดย Sheldon W. Simon, Professor of Political Sciencene, Arizona State University)
ความคิดความอ่าน การศึกษาอบรมของคนมุสลิมเหล่านี้ ควรจะได้มีการศึกษาเรื่องราวของพวกเขาอย่างมีสติปัญญาสักนิด เฉพาะอย่างยิ่งชีวิตความเป็นอยู่และความคิดความอ่านของเขาที่น่าศึกษาที่สุดก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องราวเกี่ยวกับ "Holy Warriors Mujahidin and Fighting for Islam" โดย Ralph H. Magnus and Eden Naby จะเข้าใจเรื่องราวของนักรบที่ยอมตายเพื่อพระผู้เป็นเจ้าเหล่านี้ได้ไม่ยากนัก จะมานั่งหลับหูหลับตาคิดเอาแต่ในทำเนียบหรือกระทรวงกลาโหมของเราย่อมไม่มีทางพอที่จะทำอะไรให้เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาได้
ความขัดแย้งและความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างมนุษย์นั้นไม่จำเป็นจะต้องมีสาเหตุอะไรมากนัก บางทีบางเรื่องไม่เคยมีเหตุผล บางครั้งบางเรื่องก็แสดงความมีอำนาจที่ใช้วิธีการเบียดเบียนเป็นทางออก ก็ทำให้การต่อสู้เข่นฆ่ากันระหว่างมนุษย์ดำเนินติดต่อกันมาซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องมีเหตุผลมากมายแต่อย่างใด
เฉพาะอย่างยิ่ง ความขัดแย้งระหว่างคนมุสลิมและคนที่ไม่ใช่มุสลิมหรือคนนอกศาสนา (Infide) เป็นเรื่องเก่าแก่หลายต่อหลายพันปีที่ผ่านมา แพ้แล้วชนะเล่า ฆ่ากันมาเป็นเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์ และในยุคปัจจุบันนี้ หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา เป็นยุคที่มนุษย์มีความรู้ความเจริญมากขึ้น ซึ่งไม่ทำให้มนุษย์เหล่านี้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากความต้องการฆ่า และต้องการเอาชนะกันในระหว่างคนมุสลิมและคนนอกศาสนาเหล่านี้ และความขัดแย้งการมุ่งหน้าทำลายล้างซึ่งกันและกันมีมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเอเชียซึ่งมีประเทศเล็กๆ และประเทศที่มีชาวมุสลิมปะปนกันอยู่นับสิบประเทศ ซึ่งมีบางประเทศที่มีความขัดแย้งกันอย่างยาวนาน อย่างในอาเจะห์ อินโดนีเซีย มีการต่อสู้ระหว่างคนมุสลิมกับชนชั้นปกครองของอินโดนีเซียที่นั่นเป็นเวลา 30 ปี มาแล้วไม่ได้หยุด
เช่นเดียวกับในฟิลิปปินส์ ขบวนการโมโรในฟิลิปปินส์ก็มีองค์การก่อการร้ายของตัวเองที่ต่อสู้กับเจ้าของประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 จนกระทั่งทุกวันนี้ซึ่งชาวมุสลิมในประเทศใกล้เคียงที่รู้สึกว่าพวกตัวเองได้รับการกดขี่ และได้รับความไม่เป็นธรรม ก็ได้อาศัยเลียนแบบและมีความคิด ที่จะต้องจัดตั้งองค์การก่อการร้าย หรือในมาเลเซียซึ่งก็เป็นแผ่นดินของชาวมุสลิมเช่นเดียวกัน แต่เพราะทางรัฐบาลซึ่งเป็นชาวมุสลิมด้วยกันมีความสามารถเพียงพอที่จะปกครองดูแลกันมาอย่างดีโดยไม่ยอมให้เกิดความขัดแย้งกันมากขึ้น และประเทศสุดท้ายที่กำลังมีปัญหาอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้คือประเทศไทย ซึ่งบรรดาขบวนการก่อการร้ายต่างๆ ที่ตัวการจริงๆ นั้นไม่มีคนมุสลิมส่วนใหญ่ที่เกิดในเมืองไทย หรือถือว่า ตัวเองเป็นคนไทยเป็นตัวการ แต่เป็นชาวมุสลิมที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาจากโรงเรียนสอนศาสนาในต่างประเทศ และก็เชื่อโรงเรียนสอนศาสนาหรือปอเนาะในเมืองไทยบางแห่งก็ได้รับการเผยแพร่ และให้การศึกษาเกี่ยวกับคนนอกศาสนาในประเทศไทยหรือเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยด้วย ซึ่งสาเหตุใหญ่ๆ นั้นมาจากความผิด 4 ประการของรัฐบาลไทยหรือคนไทยเราเอง คือ
(1) ความไม่เป็นธรรม และความไม่เท่าเทียมทุกด้านที่รัฐบาลไทยไม่เคยให้ความเป็นธรรมหรือความเท่าเทียมแก่คนมุสลิม (2) การใช้อำนาจกดขี่คนมุสลิมในไทยของข้าราชการที่ทำกันมาเป็นระยะในประวัติศาสตร์ภาคใต้ (3) คนมุสลิมทั้งหมดที่เกิดในประเทศก็เป็นไทยเหมือนคนจีน และคนชาติอื่นๆ แต่เมื่อเกิดมาแล้วภาระที่สำคัญที่สุดของผู้ปกครองบ้านเมืองที่จะละเลยไม่ได้โดยเด็ดขาดก็คือ การให้การศึกษาอย่างเท่าเทียมกันแก่เด็กไทยทุกคน แต่รัฐบาลละเว้นที่จะทำสิ่งนี้ ปล่อยให้การศึกษาการเรียนรู้ในฐานะที่เป็นคนไทยอยู่ในการจัดการของปอเนาะ ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกันที่ทำให้ง่ายต่อการครอบงำ และการชักนำของผู้ที่มีผลประโยชน์แตกต่างกัน
และประการสุดท้ายคือ การแทรกแซงของต่างประเทศ เฉพาะ อเมริกา ที่ต้องการมีอำนาจเด็ดขาดเหนือประเทศเล็กๆ ในเอเชียทั้ง 10 ประเทศดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ซึ่งทำให้นักการเมือง ในประเทศสมุนบริวารเหล่านี้เหิมเกริมต่อการที่จะลืมความเป็นมนุษย์ของประชาชนส่วนน้อยภายในประเทศ และมีวิญญาณเป็นฝรั่งมากเกินไป
การกระทำเหล่านี้มากบ้างน้อยบ้างหรือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่จงใจ และไม่เจตนาของฝ่ายไทยหรือชนชั้นปกครองของไทย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าการกระทำต่างๆ ของชนชั้นปกครองไทยเป็นเรื่องที่จะให้อยู่ร่วมกันไม่ได้ระหว่างคนไทยและคนมุสลิมในภาคใต้ นั่นเป็นสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้ขบวนการก่อการร้ายมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้น และมีอยู่ในฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียที่ทำกันมานาน และถูกนำไปเผยแพร่ในกลุ่มมุสลิมผู้มีการศึกษาจากภายนอกประเทศ ซึ่งมีการจัดตั้งขบวนการต่อสู้ของชาวมุสลิมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่การก่อการร้ายเฮงซวยที่ทำกันเพื่อความสนุกสนานอย่างที่ชนชั้นปกครองของไทยเรา คิดกันอยู่ในขณะนี้
การก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่เรื่องจำอวดยี่เกที่จะเอาความสามารถขนาดจำอวดยี่เกไปแก้นั้น เป็นไปไม่ได้!!
ผมก็ติดตามเรื่อยมาเป็นแรมปี ความจริงมันก็ไม่สลักสำคัญอะไร ที่จะต้องไปนั่งคอยเฝ้าคอยตามคนเหล่านั้นว่าเขาทำอะไรกันที่ไหน แต่เพราะอาชีพทำหนังสือพิมพ์มาตลอด ที่มีหน้าที่ต้องเสาะหาเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านหูผ่านตา และผ่านชีวิตไปแต่ละวันจนเกิดความเคยชินว่าต้องรู้ ต้องเข้าใจก็ติดตามมาทุกยุคทุกสมัย และทุกเรื่อง ก็พอจะรู้และหลับตามอง เห็นอะไรบางสิ่งบางอย่างที่มันจะเกิดขึ้นในโลกจากฝีมือของพวกซีไอเอมุสลิมพวกนี้ก็น่าจะเป็นได้
เพราะสังเกตจากการกระทำต่างๆ ทั้งในด้านยุทธศาสตร์ยุทธวิธีหลายๆ อย่างที่นำมาใช้ในอัฟกานิสถานในระยะนั้น ความจริงแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าการกระทำกระจอกๆ หลายอย่างทีเดียว ระยะที่จะต้องทำกันนั้นเป็นเวลายาวนานแรมปี และในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่มีรายการหนังตัวอย่างอันน่าตื่นเต้นกันทุกวันทีเดียว หรือถ้าเว้นพักผ่อนบ้างก็ไม่เกินสองวัน แต่ตามธรรมดาแล้วก็จะทำทุกวัน และไม่เลือกรายใหญ่ที่สำคัญอะไรมากนัก ทำแต่เพียงเป็นการบอกกล่าวให้ทราบกันว่า ตราบใดที่ยังมีคนมุสลิมอยู่ในโลกนี้ การฆ่ากันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรืออีกหลายจังหวัดนั้น ก็คงหยุดไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำเพื่อบอกกล่าวให้รัฐบาลไทยที่มีความเชื่อมั่นในความเก่งกล้าของตัวเองสูง เฉลียวฉลาดและเก่งกว่ามนุษย์ธรรมดาสามัญอื่น ทราบว่าอย่างดีก็มีแต่ขี้กับไส้เท่านั้น
จะพูดอะไรว่าอะไร หรือจะมียุทธวิธีขนาดไหนอย่างไรก็ทำไปเถอะ การฆ่าการฉีกหน้าเยาะเย้ยอย่างหยามหยันนั้นก็จะต้องทำต่อไป
เคยมีคนมาพูดคุยกับผมว่ามันน่าจะเป็นพวกโจรกระจอกจริงๆ ก็ได้ เพราะวิธีการของมันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ที่มันทำกันนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร ทำเพื่อก่อกวนให้แสบๆ เล่นเท่านั้น พวกนี้มันไม่ทำมาหากินกันบ้างหรือไง?
จนป่านนี้ก็ยังมีคนคิดว่าโจรกระจอกเหล่านี้น่าจะหยุดไปทำมาหากินกันบ้าง จะมานั่งทำนอนทำกันอยู่อย่างไม่หยุดไม่เว้นนี้มันจะเอาอะไรกินเข้าไป?
ผมก็บอกว่าพวกที่ทำหน้าที่ก่อกวนนี้ ไม่ใช่คนสองสามคนหรือคนกลุ่มเดียว แต่เป็นคนมุสลิมในตะวันออกกลาง และในเอเชียกลาง ทุกประเทศที่มีขบวนการก่อการร้ายเป็นของตัวเองนี้ ซึ่งตามรายงานที่ผมเคยเขียนมาแล้วนั้นนับว่ามีไม่ใช่น้อย ผู้เชี่ยวชาญที่รู้เรื่องราวของมูจาฮีดีน พวกนี้กล่าวว่า ขบวนการมูจาฮีดีนพวกนี้มีทั้งหมดทั่วโลก 40 ประเทศ เฉพาะตัวแสดงที่จะออกทำลายก่อกวนที่ได้รับการฝึกฝนจากซีไอเอ มาแล้วในสงครามอัฟกานิสถานนั้นว่ามีอยู่ประมาณ 18,000 คน นักรบเหล่านี้พร้อมที่จะตายเพื่อพระผู้เป็นเจ้าทันทีอย่างที่เคยแสดงบทบาท กับทหารไทยที่กรือเซะเมื่อปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นคนพวกนี้นอกจากไม่ต้องห่วงใยว่าจะไม่ทำมาหากินอะไรก็ไม่ต้องเป็นห่วง เขาเกิดมาตายเพื่อพระ ผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น
วีรบุรุษมูจาฮีดีนเหล่านี้ได้ศึกษาเล่าเรียนปลูกฝังให้เกิดความรักความเกลียดคนนอกศาสนากันมาเป็นอย่างดีในโรงเรียนสอนศาสนาของชาวมุสลิมทุกหนทุกแห่งตลอดเวลาหลายปีมาแล้ว ก่อนที่จะลงมือนำมาปฏิบัติการจริงให้เป็นที่รู้กันไปทั้งโลก
เฉพาะอย่างยิ่ง แหล่งที่จะต้องปฏิบัติงานเพื่อการไปตายเพื่อพระ ผู้เป็นเจ้านายนั้น มีประเทศที่มีองค์การก่อการร้ายมูจาฮีดีนตั้งอยู่ทั้งหมด 40 ประเทศด้วยกัน เฉพาะประเทศที่จำเป็นที่สุดก็คือ ประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศสุดท้ายที่ลงมือปฏิบัติก่อกวนเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอก็คือประเทศไทยของเรา
ข้อหาที่ประเทศต่างๆ เหล่านี้จะต้องได้รับการก่อกวนทำลายจากขบวนการนี้เพราะเป็นประเทศที่มีมนุษย์เป็นสมุนบริวารของอเมริกาหรือพวกประเทศที่ทำหน้าที่รับใช้ คนนอกศาสนา (Infide) หรือขบวนการสุนัขรับใช้ของจักรวรรดินิยม (Running Dogs of Imperialist) ตามภาษาของประธานเหมาเจ๋อตง
การก่อการร้ายของพวกมุสลิมซีไอเอกำลังดำเนินการกันอยู่ทั่วโลกทุกวันนี้ ไม่ใช่คนมุสลิมใน 3 จังหวัดในประเทศไทย แต่ขบวนการนี้ได้มีการจัดตั้งและแพร่ขยายกันไปทั้งโลกตั้งแต่ในเชชเนีย อดีตรัฐอิสลามในสหภาพโซเวียตเป็นต้นมา จนกระทั่งมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งอาจจะไม่มีพวกนี้อยู่ในเมืองไทย แต่เป็นพวกที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมีการจัดตั้งโดยซีไอเอในอัฟกานิสถานชุดเดียวกับที่ บิน ลาดิน กับเจ้าชายซาอุดีอาระเบียองค์หนึ่งเข้าไปรับการอบรมจากซีไอเอที่นั่น เมื่อหมดภารกิจในการขับไล่คอมมิวนิสต์ออกจากอัฟกานิสถานไปได้แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านหรือไปประจำทำการในเมืองต่างๆ ทั่วโลก จากการจับกุมคุณฮัมบาลี หัวหน้าขบวนการเจไอ อิสลามิยา ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2546
การจับกุมนั้นไม่ได้ทำโดยตำรวจไทย แต่ทำโดยซีไอเอของอเมริกาหรืออาจจะกล่าวได้ว่าขบวนมุสลิมที่ทำการอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ได้ทำตามคำสั่งและความต้องการของซีไอเอไม่ได้ทำตามลำพัง แต่เจ้าหน้าที่ขององค์การซีไอเอจะประกบอยู่ทุกแห่งหรือเป็นผู้นำมา ตั้งแต่ต้น เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของอเมริกาเอง
เพราะฉะนั้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นงานของซีไอเอ ด้วย การปราบปรามผู้ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จาก : Thailand faces up to southern extremist threat โดย Anthony David ; Jane's intelligence review 22 กันยายน 2546) ประเทศไทยพลาดไปอย่างหนึ่งคือ เราไม่ได้พูดจากับอเมริกาว่าเราเป็นสุนัขรับใช้มากน้อยยาวนานเพียงไร หรือว่าจะเอากันยังไง จะเอากันพอทำให้บ้านเมืองฉิบหายย่อยยับอย่างไร ในฐานะที่ไทยได้รับเกียรติเป็นพันธมิตรนอกนาโต้ของอเมริกา และเรารักอเมริกาอย่างสุดๆ อาจจะมีคนบางคนบอกว่าเมืองไทยไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร แต่มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งที่ตลอดเวลาที่เราติดต่อผูกพันกับอเมริกามาเป็นสิบๆ ปีนั้น เราเป็นสิ่งหนึ่งของอเมริกามาอย่างต่อเนื่อง
นั่นคือ การทำตัวเป็นเพียง Running Dog of Imperialist หรือ สุนัขรับใช้ธรรมดาตัวหนึ่งของจักรวรรดินิยม ตามการเรียกขานของท่านเหมาเจ๋อตง เพราะฉะนั้นถ้าหากไทยจะทำทุกอย่างใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามความต้องการของอเมริกาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร (โปรดอ่าน President Bush Presses Antiterror Agenda in Southeast Asia ; โดย Sheldon W. Simon, Professor of Political Sciencene, Arizona State University)
ความคิดความอ่าน การศึกษาอบรมของคนมุสลิมเหล่านี้ ควรจะได้มีการศึกษาเรื่องราวของพวกเขาอย่างมีสติปัญญาสักนิด เฉพาะอย่างยิ่งชีวิตความเป็นอยู่และความคิดความอ่านของเขาที่น่าศึกษาที่สุดก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องราวเกี่ยวกับ "Holy Warriors Mujahidin and Fighting for Islam" โดย Ralph H. Magnus and Eden Naby จะเข้าใจเรื่องราวของนักรบที่ยอมตายเพื่อพระผู้เป็นเจ้าเหล่านี้ได้ไม่ยากนัก จะมานั่งหลับหูหลับตาคิดเอาแต่ในทำเนียบหรือกระทรวงกลาโหมของเราย่อมไม่มีทางพอที่จะทำอะไรให้เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาได้
ความขัดแย้งและความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างมนุษย์นั้นไม่จำเป็นจะต้องมีสาเหตุอะไรมากนัก บางทีบางเรื่องไม่เคยมีเหตุผล บางครั้งบางเรื่องก็แสดงความมีอำนาจที่ใช้วิธีการเบียดเบียนเป็นทางออก ก็ทำให้การต่อสู้เข่นฆ่ากันระหว่างมนุษย์ดำเนินติดต่อกันมาซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องมีเหตุผลมากมายแต่อย่างใด
เฉพาะอย่างยิ่ง ความขัดแย้งระหว่างคนมุสลิมและคนที่ไม่ใช่มุสลิมหรือคนนอกศาสนา (Infide) เป็นเรื่องเก่าแก่หลายต่อหลายพันปีที่ผ่านมา แพ้แล้วชนะเล่า ฆ่ากันมาเป็นเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์ และในยุคปัจจุบันนี้ หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา เป็นยุคที่มนุษย์มีความรู้ความเจริญมากขึ้น ซึ่งไม่ทำให้มนุษย์เหล่านี้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากความต้องการฆ่า และต้องการเอาชนะกันในระหว่างคนมุสลิมและคนนอกศาสนาเหล่านี้ และความขัดแย้งการมุ่งหน้าทำลายล้างซึ่งกันและกันมีมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเอเชียซึ่งมีประเทศเล็กๆ และประเทศที่มีชาวมุสลิมปะปนกันอยู่นับสิบประเทศ ซึ่งมีบางประเทศที่มีความขัดแย้งกันอย่างยาวนาน อย่างในอาเจะห์ อินโดนีเซีย มีการต่อสู้ระหว่างคนมุสลิมกับชนชั้นปกครองของอินโดนีเซียที่นั่นเป็นเวลา 30 ปี มาแล้วไม่ได้หยุด
เช่นเดียวกับในฟิลิปปินส์ ขบวนการโมโรในฟิลิปปินส์ก็มีองค์การก่อการร้ายของตัวเองที่ต่อสู้กับเจ้าของประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 จนกระทั่งทุกวันนี้ซึ่งชาวมุสลิมในประเทศใกล้เคียงที่รู้สึกว่าพวกตัวเองได้รับการกดขี่ และได้รับความไม่เป็นธรรม ก็ได้อาศัยเลียนแบบและมีความคิด ที่จะต้องจัดตั้งองค์การก่อการร้าย หรือในมาเลเซียซึ่งก็เป็นแผ่นดินของชาวมุสลิมเช่นเดียวกัน แต่เพราะทางรัฐบาลซึ่งเป็นชาวมุสลิมด้วยกันมีความสามารถเพียงพอที่จะปกครองดูแลกันมาอย่างดีโดยไม่ยอมให้เกิดความขัดแย้งกันมากขึ้น และประเทศสุดท้ายที่กำลังมีปัญหาอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้คือประเทศไทย ซึ่งบรรดาขบวนการก่อการร้ายต่างๆ ที่ตัวการจริงๆ นั้นไม่มีคนมุสลิมส่วนใหญ่ที่เกิดในเมืองไทย หรือถือว่า ตัวเองเป็นคนไทยเป็นตัวการ แต่เป็นชาวมุสลิมที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาจากโรงเรียนสอนศาสนาในต่างประเทศ และก็เชื่อโรงเรียนสอนศาสนาหรือปอเนาะในเมืองไทยบางแห่งก็ได้รับการเผยแพร่ และให้การศึกษาเกี่ยวกับคนนอกศาสนาในประเทศไทยหรือเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยด้วย ซึ่งสาเหตุใหญ่ๆ นั้นมาจากความผิด 4 ประการของรัฐบาลไทยหรือคนไทยเราเอง คือ
(1) ความไม่เป็นธรรม และความไม่เท่าเทียมทุกด้านที่รัฐบาลไทยไม่เคยให้ความเป็นธรรมหรือความเท่าเทียมแก่คนมุสลิม (2) การใช้อำนาจกดขี่คนมุสลิมในไทยของข้าราชการที่ทำกันมาเป็นระยะในประวัติศาสตร์ภาคใต้ (3) คนมุสลิมทั้งหมดที่เกิดในประเทศก็เป็นไทยเหมือนคนจีน และคนชาติอื่นๆ แต่เมื่อเกิดมาแล้วภาระที่สำคัญที่สุดของผู้ปกครองบ้านเมืองที่จะละเลยไม่ได้โดยเด็ดขาดก็คือ การให้การศึกษาอย่างเท่าเทียมกันแก่เด็กไทยทุกคน แต่รัฐบาลละเว้นที่จะทำสิ่งนี้ ปล่อยให้การศึกษาการเรียนรู้ในฐานะที่เป็นคนไทยอยู่ในการจัดการของปอเนาะ ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกันที่ทำให้ง่ายต่อการครอบงำ และการชักนำของผู้ที่มีผลประโยชน์แตกต่างกัน
และประการสุดท้ายคือ การแทรกแซงของต่างประเทศ เฉพาะ อเมริกา ที่ต้องการมีอำนาจเด็ดขาดเหนือประเทศเล็กๆ ในเอเชียทั้ง 10 ประเทศดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ซึ่งทำให้นักการเมือง ในประเทศสมุนบริวารเหล่านี้เหิมเกริมต่อการที่จะลืมความเป็นมนุษย์ของประชาชนส่วนน้อยภายในประเทศ และมีวิญญาณเป็นฝรั่งมากเกินไป
การกระทำเหล่านี้มากบ้างน้อยบ้างหรือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่จงใจ และไม่เจตนาของฝ่ายไทยหรือชนชั้นปกครองของไทย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าการกระทำต่างๆ ของชนชั้นปกครองไทยเป็นเรื่องที่จะให้อยู่ร่วมกันไม่ได้ระหว่างคนไทยและคนมุสลิมในภาคใต้ นั่นเป็นสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้ขบวนการก่อการร้ายมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้น และมีอยู่ในฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียที่ทำกันมานาน และถูกนำไปเผยแพร่ในกลุ่มมุสลิมผู้มีการศึกษาจากภายนอกประเทศ ซึ่งมีการจัดตั้งขบวนการต่อสู้ของชาวมุสลิมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่การก่อการร้ายเฮงซวยที่ทำกันเพื่อความสนุกสนานอย่างที่ชนชั้นปกครองของไทยเรา คิดกันอยู่ในขณะนี้
การก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่เรื่องจำอวดยี่เกที่จะเอาความสามารถขนาดจำอวดยี่เกไปแก้นั้น เป็นไปไม่ได้!!