xs
xsm
sm
md
lg

สุดคอหอย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงบทความนี้โดยเจ้าของคอลัมน์

แน่นอนครับว่า “สุดคอหอย” หรือ ดีพโทรท (Deep Throat) นั้นเป็นภาพยนตร์โป๊ชื่อดังที่สุดแห่งยุคหนังโป๊คลาสสิก

แต่ว่า “สุดคอหอย” ที่ว่านี้ ทำให้อดีตประธานาธิบดีนิกสันตกเก้าอี้ ต้องลาออกจากตำแหน่งมาแล้วครับ

เพราะอะไรหรือครับ

ก็เพราะ “สุดคอหอย” เป็นนามแฝงของแหล่งข่าวลับสุดยอดของนักข่าว 2 นาย คือบ๊อบ วูดวาร์ด และคาร์ล เบิร์นสตีน ผู้พลิกโฉมการทำข่าวเจาะยุคใหม่ในคดีวอเตอร์เกทอันโด่งดัง จนทำให้นิกสันถึงกับต้องประสบความหายนะลาออกไปจากตำแหน่ง จนกลายเป็นตำนานและประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้เลยครับ

หลังจากนั้น นักข่าวสองคนนี้ก็แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพต่างคนก็ร่ำรวยแล้วนะครับ

ใครที่อยากรู้เรื่องคดีนี้ไปเช่าวิดีโอมาดูก็ได้นะครับ เพราะเขาสร้างเป็นภาพยนตร์ครับ คนสร้างก็คือโรเบิร์ต เรดฟอร์ด ไงครับ โดยโรเบิร์ต เรดฟอร์ดนั้นแสดงเป็นบ๊อบ วูดวาร์ดด้วย

กล่าวกันว่านิสัยส่วนตัวของบ๊อบนั้นมีสีสันมาก ส่วนคาร์ลนั้นมีสัญชาตญาณนักฆ่าอยู่ในตัว

สำหรับตัว “สุดคอหอย” ที่เก็บความลับมายาวนานนั้นเวลานี้ก็เปิดเผยตัวออกมาแล้วครับว่าคือ มาร์ก เฟลท์ ซึ่งเป็นถึงรองผู้อำนวยการของเอฟบีไอเลยทีเดียว

ดูเหมือนว่า จะมีข่าวว่ากำลังจะร่วมกันเขียนหนังสือร่วมกันกับคาร์ล เบิร์นสตีน ซึ่งจะออกมาไม่นานนี้แหละครับ และแน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้ย่อมจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างแน่นอน

ตามโครงการเขียนหนังสือที่ว่านี้ เบิร์นสตีน คงจะเขียนด้วยข้อมูลใหม่ๆ และจะได้เครดิตบนหน้าปก แต่หนังสือเล่มนี้ทางคาร์ลบอกว่าเขาจะเขียนร่วมกับมาร์ก เฟลท์ครับ ส่วนบ๊อบ วูดวาร์ด นั้นก็ว่าจะเขียนหนังสือใหม่เหมือนกัน แต่จะว่าด้วยประธานาธิบดีบุชในสมัยที่สอง

แน่นอนว่าความลับเกี่ยวกับ “สุดคอหอย” นี้ถูกเก็บมายาวนานถึง 33 ปีเต็มๆ

นักข่าวไปถามว่า เมื่อเปิดออกมาแล้วรู้สึกว่ามันโล่งใจบ้างหรือเปล่า วูดวาร์ดกำลังจะตอบอยู่ก็พอดี เบิร์นสตีน ชิงพูดว่า มันเหมือนกับว่าเราพยายามเก็บความลับพกติดตัวมายาวนานไว้ในกระเป๋า แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีอะไรอยู่แล้ว มันรู้สึกแปลกๆ ไป...ก็เท่านั้นแหละ

ทั้งสองคนนั้นทำให้หนังสือที่เขาสังกัดอยู่ในเวลานั้น คือ วอชิงตัน โพสต์ ดังระเบิดขายดีมาก

บ๊อบ วูดวาร์ด เติบโตขึ้นหลังจากกรณีวอเตอร์เกท และขึ้นไปสู่สายการบริหาร หลังจากนั้นก็มีอาชีพเขียนหนังสือขายดีติดอันดับ ตอนแรกเขียนกับเบิร์นสตีน แต่ระยะต่อมาเขาก็ฉายเดี่ยว

ส่วนเบิร์นสตีนนั้น ต่อมาออกจากวอชิงตัน โพสต์ แล้วมาทำงานกับเอบีซี นิวส์ มาอยู่ไทม์ แมกกาซีน แล้วย้ายมาอยู่วานิตี้ แฟร์ ซึ่งเปิดเป็นนิตยสารเปิดเผยตัว “สุดคอหอย” จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วอเมริกาและทั่วโลกอยู่ในขณะนี้

เวลานี้เบิร์นสตีน ก็ยึดอาชีพเป็นนักเขียนด้วย และก็เขียนบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวของพ่อแม่เขาที่ต่อสู้ในฐานะนักสหภาพแรงงานกับผู้มีบัญชีดำยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์ และเป็นนักเขียนร่วมเกี่ยวกับโป๊ป จอห์น ปอล ที่ 2 กับบทบาทของพระองค์ที่ต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้เบิร์นสตีน ยังทำงานเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติของฮิลลารี่ คลินตัน อยู่ด้วย

เบิร์นสตีนนั้นว่ากันว่าไม่ค่อยซีเรียส ทำงานไม่ค่อยสม่ำเสมอ แต่มีความสร้างสรรค์มาก และเพื่อนร่วมงานของเขาบอกว่า เขาเป็นนักข่าวที่ดีมาก

สำหรับตัว มาร์ก เฟลท์ นั้น ก็น่าสนใจครับ เพราะเหตุที่เขามีตำแหน่งสูงอยู่ในเอฟบีไอ ในขณะที่อดีตประธานาธิบดีนิกสันอยู่ในตำแหน่ง

แน่นอนว่า หนังสือเรื่อง All the President’s Men ของบ๊อบและคาร์ล ช่วยทำให้บทบาทของ มาร์ก เฟลท์ มีชีวิตขึ้นมาในวงวรรณกรรมชิ้นที่ได้ชื่อว่า คลาสสิกไปแล้วในยุคนั้น และก็ส่งผลให้ “สุดคอหอย” กลายเป็นแหล่งข่าวที่ไม่มีใครที่ทัดเทียมได้เลยในบรรดาแหล่งข่าวทั้งหมด

แน่นอนว่าในสมัยนั้น อดีตประธานาธิบดีนิกสันสั่งล่าตัวแหล่งข่าว “สุดคอหอย” เป็นการใหญ่ สงสัยแม้กระทั่งคนใกล้ชิดของตัวเองก็ยังเคย

ปัจจุบัน มาร์ก เฟลท์ อายุได้ 91 ปี แล้วละครับ และว่ากันตามจริงแล้ว เขาเคยถูกสงสัยด้วยซ้ำไปว่าน่าจะเป็น “สุดคอหอย” เมื่อหนังสือเรื่อง All the President’s Men ตีพิมพ์ออกมาใหม่ๆ เพราะเหตุผลว่าโดยตำแหน่งของเขาในเอฟบีไอ มาร์ก เฟลท์ เป็นคนที่สามารถจะเข้าถึงการสืบสวนทั้งหมดเกี่ยวกับคดีวอเตอร์เกทได้หลังจากเริ่มเปิดคดีและสำนวนอยู่ที่เอฟบีไอ

จริงๆ แล้วในยุคนิกสันความสัมพันธ์ระหว่างทำเนียบขาวกับเอฟบีไอไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะในส่วนข้าราชการประจำของเอฟบีไอ และเอฟบีไอมักปฏิเสธที่จะดักฟังโทรศัพท์ถ้าไม่จำเป็น นอกจากนั้นทางทำเนียบขาวก็ไม่พึ่งเอฟบีไอด้านข่าวกรองแต่จ้างนักสืบเอาเองด้วย แถมเมื่อเกิดคดีวอเตอร์เกท พวกนิกสักก็พยายามไม่ให้เอฟบีไอเข้ามาทำการสอบสวนคดีนี้ด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำเนียบขาวเริ่มบีบนี้เอง มาร์ก เฟลท์ ได้เริ่มพบกับสองนักข่าวเป็นครั้งแรก

ทั้งหมดของการเปิดตัว “สุดคอหอย” ในขณะที่เขามีชีวิตอยู่นี้ ว่ากันว่ามันเกิดขึ้นเพราะทางครอบครัวเห็นว่าเขาควรเปิดโอกาสให้สาธารณชนได้รับรู้ จริงๆ แล้ว เดิมทีนั้น มาร์ก เฟลท์ ต้องการให้ความลับตายไปกับตัว แต่ลูกหลานมองว่า การเปิดตัวว่าจะเป็นผลดีกว่า และแน่นอนว่ามันจะมีผลต่อการพิสูจน์ชื่อเสียงและน่าจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนด้วย ซึ่งก็จริงครับ เพราะว่าหลายคนมองว่าเขาเป็นฮีโร่ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น