ป่วน 4จุดในยะลา"ถล่มฐาน นปพ.-ตชด.-ระเบิดเสาไฟฟ้า-ฆ่าตัดคอประจาน"นราธิวาส ไม่น้อยหน้าใช้ จยย.บอมบ์ส่วนสาธารณะ สุไหงโก-ลก จนท.-ประชาชนเจ็บ 5 แม่พิมพ์ของชาติผวาหนัก สมาพันธ์ครู 3 จังหวัดใต้เรียกร้องฝ่ายความมั่นคงปรับแผนคุ้มครองครูอย่างเข้มงวด "ชิดชัย"กระตุ้นตำรวจ-ทหาร-ผู้ว่าฯทำงานเชิงรุก เตรียมลงใต้ให้กำลังใจสัปดาห์หน้า
กลุ่มคนร้ายยังคงเดินหน้าสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อคืนวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา เกิดเหตุความไม่สงบขึ้น 4 จุดด้วยกัน จนกระทั่งเช้าวานนี้ (6 มิ.ย.) พ.ต.ท.ทศพล เทพพิชัยยานนท์ สว.แผนก 4 งานตรวจที่เกิดเหตุ วท.เขต 12 ยะลา จึงได้นำกำลังเข้าตรวจยังที่เกิดเหตุ บริเวณริมถนนสายยะหา-ปะแต ม.2 ในเขตเทศบาล ต.ยะหา หลังจากที่คนร้ายลอบวางระเบิดเสาติดตั้งเครื่องตัดตอนไฟฟ้า จนเป็นเหตุให้เสาไฟฟ้าและเครื่องตัดตอนควบคุมการจ่ายไฟล้มลง อีกทั้งเกิดเพลิงไหม้ที่หม้อแปลงไฟฟ้า ทำให้การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ไฟดับในเขตพื้นที่ 5 ตำบลของ อ.ยะหา ตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อเวลา 21.30 น.คืนวันดังกล่าว
จากการตรวจสอบพบเสาไฟฟ้าหัก 2 ต้น มีเครื่องตัดตอนควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าและหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ล้มลงกองอยู่กับพื้น นอกจากนี้ห่างกันประมาณ 10 เมตร พบสายไฟสีขาว มีปลั๊กเชื่อมและลากยาวประมาณ 50 เมตรเข้าไปในป่ารกและพบแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ ที่ใช้เป็นเครื่องจุดระเบิด 1 อัน
เบื้องต้นสันนิษฐานว่า คนร้ายอาจจะก่อเหตุเพื่อเป็นกับดักเจ้าหน้าที่ เนื่องจากว่าก่อนหน้าเกิดเหตุมีคนร้ายใช้อาวุธสงครามลอบยิงเข้าไปที่ฐานตำรวจนปพ.จาก จ.สุพรรณบุรี ที่มาตั้งฐานชั่วคราว ริมถนนสายยะหา-บันนังสตา บ้านคอรอราแม ม.6 ต.ปะแต อ.ยะหา อีกทั้งยังยิงเข้าไปยังฐานปฏิบัติการ ตชด.มว.1321 ซึ่งมี ร.ต.ต.วินัย ภูมิพันธ์ เป็น ผบ.หมวดตั้งอยู่ริมถนนสาย บ้านคอรอราแม-ยะหา ม.4 บ.ปะแต ต.ปะแต อ.ยะหา แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
นอกจากนี้ ในเวลาไล่เลี่ยกัน คนร้ายยังได้ฆ่าตัดคอ นายบุญจันทร์ สายเพชร อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12/8 ต.ยาง อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ที่เดินทางมารับจ้างกรีดยาง ขณะที่นอนหลับอยู่บนกระท่อมในสวนยาง ที่บ้านปะแต ม.4 ต.ปะแต แล้วนำหัวมาประจานข้างถนนด้วย ชาวบ้านที่พบเหตุการณ์ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.ยะหา มาตรวจชันสูตรแล้วนำศพไปเก็บไว้ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ยะหาและประสานให้ญาติรับทราบ
ขณะที่เช้าวันเดียวกัน คนร้ายได้ลอบนำระเบิดแสวงเครื่องพ่วงวงจรจุดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือซุกซ่อนในรถจักรยานยนต์ นำไปจอดที่ลานจอดรถสวนสิรินธร ซึ่ง เป็นสวนสุขภาพของเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส แรงระเบิดทำให้มีผู้บาดเจ็บ 5 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลความปลอดภัยในบริเวณดังกล่าว 3 ราย และประชาชนที่มาออกกำลังกายอีก 2 ราย คือ พ.ต.ท.เวช สุวรรณราช สารวัตรป้องกันและปราบปรามประจำ สภ.อ.สุไหงโก-ลก ส.ต.ท.บรรจง ซุ้นสุวรรณ ผบ.หมู่ ป.สภ.อ.สุไหงโก-ลก ส.ต.ต.นิคม ตาลเลี่ยม ผบ.หมู่ ป.สภ.อ.สุไหงโก-ลก นายทวีเขต ปานประสงค์ ข้าราชการบำนาญ และนางพรรณี ปานประสงค์
**ครูขอให้ปรับแผนคุ้มครอง
ด้านนายสุนันท์ เทพศรี ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับครูว่า ตนได้แจ้งไปยัง นายรุ่ง แก้วแดง รมช.ศึกษาธิการ ถึงผลการหารือร่วมกับสมาพันธ์ครูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว โดยขอให้เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงมีการปรับแผนรักษาความปลอดภัยครูและขอให้รัฐบาลมีความเข้มงวดในการแก้ปัญหาความไม่สงบเพราะขณะนี้ สถานการณ์มีความรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะต่อครูและโรงเรียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
"นอกจากนี้ผมยังได้กำชับให้ครูทุกคนใน 3 จังหวัด ต้องปฏิบัติตามแผนรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยเดินทางเป็นกลุ่มตลอดเวลา หากมีความจำเป็น มีกิจธุระเร่งด่วน เจ็บป่วยไม่สบาย จนต้องแยกเดินทางคนเดียว ให้ครูและโรงเรียนประสานไปยังหน่วยเฉพาะกิจที่ประจำอยู่ในพื้นที่โรงเรียน เพื่อขอให้จัดส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมเดินทางกับครูเป็นกรณีเฉพาะ เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเหตุลอบทำร้ายครู เกิดจากการที่ครูแยกเดินทางคนเดียวลำพัง ซึ่งในเรื่องนี้ถือเป็นการกำชับอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของครู" นายสุนันท์ กล่าว
ด้านนายโสภณ มงคลศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าน้ำ ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เปิดเผยถึงผลการประชุมหารือร่วมกันของคณะครูจาก 3 โรงเรียน ในพื้นที่ ต.ท่าน้ำภายหลังจากครูในพื้นที่ถูกยิงเสียชีวิตแล้ว 3 รายว่า ขณะนี้ครูยังมีความรู้สึกหวาดกลัว และไม่มั่นใจในความปลอดภัย ถึงแม้จะมีตำรวจ ทหาร คอยคุ้มครอง จึงยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเปิดการเรียนการสอนเมื่อใด และวันนี้ (7 มิ.ย.) เวลา 10.00 น.ทางคณะครูจะประชุมร่วมกับผู้ปกครองนักเรียน ผู้นำชุมชน ฝ่ายปกครอง อีกครั้งที่ ต.ท่าน้ำ เพื่อขอความชัดเจนในการคุ้มครองความปลอดภัยครู
**ประสานกำลัง ตร.-ทหาร-ผู้ว่าฯ
ด้านพล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมกระทรวงมหาดไทย ประจำเดือนมิ.ย.48 ถ่ายทอดผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ โดยสรุปถึงการปรับโครงสร้าง กอ.สสส.จชต.ใหม่ว่า มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กสชต.) เพื่อกำกับยุทธศาสตร์ โดยตนเป็นประธานเพื่อคุมนโยบาย กอ.สสส.จชต.ที่มีแม่ทัพภาคที่ 4 ร่วมกับรองปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลงานด้านความมั่นคง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 รองผู้บัญชาการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และมีผู้ว่าฯ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นรองประธาน โดยการทำงานจะทำในเชิงรุก เพื่อสร้างความมั่นใจในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งต่อไปนี้จะมีการประชุมทุกวันจันทร์ เวลา10.00-12.00น.
"ผมขอเอาใจช่วยผู้ว่าฯ ที่จะต้องควบคุมพื้นที่เหล่านี้ให้ได้ โดยขอให้ประสานงานร่วมกับแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 สำนักข่าวกรองฯ ที่ลงไปในพื้นที่ ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสนใจระดับประเทศ และภายในสัปดาห์นี้ ผมจะลงไปเยี่ยมและให้กำลังใจในการทำงานเจ้าหน้าที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะสลับคนละสัปดาห์กับ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม" พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าว
**อานันท์ชี้นโยบายแก้ขาดเอกภาพ
นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ(กอส.) กล่าวว่า การประชุมได้มีการหารือในประเด็นต่างๆ ทั้งเรื่องความคืบหน้าคดีตากใบ การเยียวยา และความคืบหน้าหลังจากศาลได้ตัดสินยกฟ้องคดีของ น.พ.แวมะหะดี แวดาโอ๊ะ ซึ่งขั้นตอนนี้ทำให้เกิดความรู้สึกในทางที่ดีต่อกระบวนการยุติธรรมของเมืองไทย ในเรื่องของความอิสระ และความศักดิ์สิทธิของกระบวนการยุติธรรม ในขณะเดียวกันก็รู้สึกชื่นชมการให้สัมภาษณ์ของ น.พ. แวะมะหะดี หลังจากได้ถูกปล่อยตัว และได้รับการประกันตัวไปแล้ว ลักษณะของการที่ไม่โกรธเคือง ไม่กล่าวโทษผู้ใด ซึ่งตามหลักการของการสร้างความสมานฉันท์นั้นก็อยู่ที่ความจริง ซึ่งศาลจะต้องพิสูจน์เรื่องความโปร่งใสและยุติธรรม รวมทั้งคำนึงถึงเรื่องหลักการอภัยโทษซึ่งกันและกัน
ส่วนปัญหาการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร ทนายมุสลิมนั้น ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาหารือ เนื่องจากสภาทนายความติดตามเรื่องนี้อยู่แล้ว และได้นำเรื่องต่างๆเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในทางที่เหมาะสมและในทางที่ถูกต้อง ส่วนแนวทางในการติดตามกอส.ไม่ได้เสนออะไร และไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ จากเท่าที่เคยตาม เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมขึ้นอยู่ที่ศาล แต่สามารถพูดในหลักการใหญ่ได้ว่า นอกเหนือจากคดีนายสมชายแล้ว ก็ยังมีคดีอุ้มตัวต่างๆ ซึ่งจำนวนอาจจะแตกต่างกัน บางคนอาจจะบอกว่า 50 บางคนอาจบอกว่า 150 แต่อย่างน้อยสิ่งที่ต้องการพิสูจน์ก็คือว่า ไม่ใช่เป็นการกล่าวหาว่าอุ้มไปฆ่า หรือ การอุ้มไปทรมาน
"สิ่งที่ต้องการ คือกระบวนการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ว่า การหายตัวไปของบุคคลเหล่านั้นไม่ใช่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือในทางที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งที่สำคัญ คือ จะต้องเอาความจริงออกมาพูด" ประธาน กอส.กล่าว
นายอานันท์ กล่าวด้วยว่า วันนี้คณะโอไอซีจะมาพบ และคงจะมีการคุยในเรื่องการเสนอมาตรการลดความรุนแรงในระยะ 3-4 วันที่ผ่านมา ส่วนการปล่อยตัวผู้ต้องหาในกรณีตากใบนั้น นายอานันท์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งไปยังรัฐบาลให้ช่วยคลี่คลายแล้ว แต่ยอมรับว่าล่าช้าไปหน่อย หลายสิ่งหลายอย่างไม่ทันต่อเหตุการณ์ แต่ทั้งนี้คนไหนที่ถูกพาดพิงหรือมีคดีติดตัวก็ต้องถูกดำเนินการไปตามกฎหมาย
"หน้าที่ของรัฐบาล คือการรักษาสันติภาพ และรัฐบาลก็มีทหาร กองทัพ หน่วยข่าวกรองและกระบวนการยุติธรรมอยู่ในมือแล้ว ขณที่กอส.มีหน้าที่ในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ หากรัฐไม่สามารถรักษาความสงบได้ กอส.คงจะต้องทำงานหนัก ตรงนี้ก็จะทำให้เกิดข้อกังขาว่า เป็นเพราะรัฐบาลไม่มีเอกภาพด้านนโยบายและ การดำเนินนโยบายหรือไม่”นายอานันท์ กล่าว
กลุ่มคนร้ายยังคงเดินหน้าสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อคืนวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา เกิดเหตุความไม่สงบขึ้น 4 จุดด้วยกัน จนกระทั่งเช้าวานนี้ (6 มิ.ย.) พ.ต.ท.ทศพล เทพพิชัยยานนท์ สว.แผนก 4 งานตรวจที่เกิดเหตุ วท.เขต 12 ยะลา จึงได้นำกำลังเข้าตรวจยังที่เกิดเหตุ บริเวณริมถนนสายยะหา-ปะแต ม.2 ในเขตเทศบาล ต.ยะหา หลังจากที่คนร้ายลอบวางระเบิดเสาติดตั้งเครื่องตัดตอนไฟฟ้า จนเป็นเหตุให้เสาไฟฟ้าและเครื่องตัดตอนควบคุมการจ่ายไฟล้มลง อีกทั้งเกิดเพลิงไหม้ที่หม้อแปลงไฟฟ้า ทำให้การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ไฟดับในเขตพื้นที่ 5 ตำบลของ อ.ยะหา ตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อเวลา 21.30 น.คืนวันดังกล่าว
จากการตรวจสอบพบเสาไฟฟ้าหัก 2 ต้น มีเครื่องตัดตอนควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าและหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ล้มลงกองอยู่กับพื้น นอกจากนี้ห่างกันประมาณ 10 เมตร พบสายไฟสีขาว มีปลั๊กเชื่อมและลากยาวประมาณ 50 เมตรเข้าไปในป่ารกและพบแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ ที่ใช้เป็นเครื่องจุดระเบิด 1 อัน
เบื้องต้นสันนิษฐานว่า คนร้ายอาจจะก่อเหตุเพื่อเป็นกับดักเจ้าหน้าที่ เนื่องจากว่าก่อนหน้าเกิดเหตุมีคนร้ายใช้อาวุธสงครามลอบยิงเข้าไปที่ฐานตำรวจนปพ.จาก จ.สุพรรณบุรี ที่มาตั้งฐานชั่วคราว ริมถนนสายยะหา-บันนังสตา บ้านคอรอราแม ม.6 ต.ปะแต อ.ยะหา อีกทั้งยังยิงเข้าไปยังฐานปฏิบัติการ ตชด.มว.1321 ซึ่งมี ร.ต.ต.วินัย ภูมิพันธ์ เป็น ผบ.หมวดตั้งอยู่ริมถนนสาย บ้านคอรอราแม-ยะหา ม.4 บ.ปะแต ต.ปะแต อ.ยะหา แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
นอกจากนี้ ในเวลาไล่เลี่ยกัน คนร้ายยังได้ฆ่าตัดคอ นายบุญจันทร์ สายเพชร อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12/8 ต.ยาง อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ที่เดินทางมารับจ้างกรีดยาง ขณะที่นอนหลับอยู่บนกระท่อมในสวนยาง ที่บ้านปะแต ม.4 ต.ปะแต แล้วนำหัวมาประจานข้างถนนด้วย ชาวบ้านที่พบเหตุการณ์ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.ยะหา มาตรวจชันสูตรแล้วนำศพไปเก็บไว้ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ยะหาและประสานให้ญาติรับทราบ
ขณะที่เช้าวันเดียวกัน คนร้ายได้ลอบนำระเบิดแสวงเครื่องพ่วงวงจรจุดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือซุกซ่อนในรถจักรยานยนต์ นำไปจอดที่ลานจอดรถสวนสิรินธร ซึ่ง เป็นสวนสุขภาพของเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส แรงระเบิดทำให้มีผู้บาดเจ็บ 5 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลความปลอดภัยในบริเวณดังกล่าว 3 ราย และประชาชนที่มาออกกำลังกายอีก 2 ราย คือ พ.ต.ท.เวช สุวรรณราช สารวัตรป้องกันและปราบปรามประจำ สภ.อ.สุไหงโก-ลก ส.ต.ท.บรรจง ซุ้นสุวรรณ ผบ.หมู่ ป.สภ.อ.สุไหงโก-ลก ส.ต.ต.นิคม ตาลเลี่ยม ผบ.หมู่ ป.สภ.อ.สุไหงโก-ลก นายทวีเขต ปานประสงค์ ข้าราชการบำนาญ และนางพรรณี ปานประสงค์
**ครูขอให้ปรับแผนคุ้มครอง
ด้านนายสุนันท์ เทพศรี ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับครูว่า ตนได้แจ้งไปยัง นายรุ่ง แก้วแดง รมช.ศึกษาธิการ ถึงผลการหารือร่วมกับสมาพันธ์ครูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว โดยขอให้เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงมีการปรับแผนรักษาความปลอดภัยครูและขอให้รัฐบาลมีความเข้มงวดในการแก้ปัญหาความไม่สงบเพราะขณะนี้ สถานการณ์มีความรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะต่อครูและโรงเรียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
"นอกจากนี้ผมยังได้กำชับให้ครูทุกคนใน 3 จังหวัด ต้องปฏิบัติตามแผนรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยเดินทางเป็นกลุ่มตลอดเวลา หากมีความจำเป็น มีกิจธุระเร่งด่วน เจ็บป่วยไม่สบาย จนต้องแยกเดินทางคนเดียว ให้ครูและโรงเรียนประสานไปยังหน่วยเฉพาะกิจที่ประจำอยู่ในพื้นที่โรงเรียน เพื่อขอให้จัดส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมเดินทางกับครูเป็นกรณีเฉพาะ เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเหตุลอบทำร้ายครู เกิดจากการที่ครูแยกเดินทางคนเดียวลำพัง ซึ่งในเรื่องนี้ถือเป็นการกำชับอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของครู" นายสุนันท์ กล่าว
ด้านนายโสภณ มงคลศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าน้ำ ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เปิดเผยถึงผลการประชุมหารือร่วมกันของคณะครูจาก 3 โรงเรียน ในพื้นที่ ต.ท่าน้ำภายหลังจากครูในพื้นที่ถูกยิงเสียชีวิตแล้ว 3 รายว่า ขณะนี้ครูยังมีความรู้สึกหวาดกลัว และไม่มั่นใจในความปลอดภัย ถึงแม้จะมีตำรวจ ทหาร คอยคุ้มครอง จึงยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเปิดการเรียนการสอนเมื่อใด และวันนี้ (7 มิ.ย.) เวลา 10.00 น.ทางคณะครูจะประชุมร่วมกับผู้ปกครองนักเรียน ผู้นำชุมชน ฝ่ายปกครอง อีกครั้งที่ ต.ท่าน้ำ เพื่อขอความชัดเจนในการคุ้มครองความปลอดภัยครู
**ประสานกำลัง ตร.-ทหาร-ผู้ว่าฯ
ด้านพล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมกระทรวงมหาดไทย ประจำเดือนมิ.ย.48 ถ่ายทอดผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ โดยสรุปถึงการปรับโครงสร้าง กอ.สสส.จชต.ใหม่ว่า มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กสชต.) เพื่อกำกับยุทธศาสตร์ โดยตนเป็นประธานเพื่อคุมนโยบาย กอ.สสส.จชต.ที่มีแม่ทัพภาคที่ 4 ร่วมกับรองปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลงานด้านความมั่นคง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 รองผู้บัญชาการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และมีผู้ว่าฯ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นรองประธาน โดยการทำงานจะทำในเชิงรุก เพื่อสร้างความมั่นใจในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งต่อไปนี้จะมีการประชุมทุกวันจันทร์ เวลา10.00-12.00น.
"ผมขอเอาใจช่วยผู้ว่าฯ ที่จะต้องควบคุมพื้นที่เหล่านี้ให้ได้ โดยขอให้ประสานงานร่วมกับแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 สำนักข่าวกรองฯ ที่ลงไปในพื้นที่ ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสนใจระดับประเทศ และภายในสัปดาห์นี้ ผมจะลงไปเยี่ยมและให้กำลังใจในการทำงานเจ้าหน้าที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะสลับคนละสัปดาห์กับ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม" พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าว
**อานันท์ชี้นโยบายแก้ขาดเอกภาพ
นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ(กอส.) กล่าวว่า การประชุมได้มีการหารือในประเด็นต่างๆ ทั้งเรื่องความคืบหน้าคดีตากใบ การเยียวยา และความคืบหน้าหลังจากศาลได้ตัดสินยกฟ้องคดีของ น.พ.แวมะหะดี แวดาโอ๊ะ ซึ่งขั้นตอนนี้ทำให้เกิดความรู้สึกในทางที่ดีต่อกระบวนการยุติธรรมของเมืองไทย ในเรื่องของความอิสระ และความศักดิ์สิทธิของกระบวนการยุติธรรม ในขณะเดียวกันก็รู้สึกชื่นชมการให้สัมภาษณ์ของ น.พ. แวะมะหะดี หลังจากได้ถูกปล่อยตัว และได้รับการประกันตัวไปแล้ว ลักษณะของการที่ไม่โกรธเคือง ไม่กล่าวโทษผู้ใด ซึ่งตามหลักการของการสร้างความสมานฉันท์นั้นก็อยู่ที่ความจริง ซึ่งศาลจะต้องพิสูจน์เรื่องความโปร่งใสและยุติธรรม รวมทั้งคำนึงถึงเรื่องหลักการอภัยโทษซึ่งกันและกัน
ส่วนปัญหาการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร ทนายมุสลิมนั้น ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาหารือ เนื่องจากสภาทนายความติดตามเรื่องนี้อยู่แล้ว และได้นำเรื่องต่างๆเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในทางที่เหมาะสมและในทางที่ถูกต้อง ส่วนแนวทางในการติดตามกอส.ไม่ได้เสนออะไร และไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ จากเท่าที่เคยตาม เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมขึ้นอยู่ที่ศาล แต่สามารถพูดในหลักการใหญ่ได้ว่า นอกเหนือจากคดีนายสมชายแล้ว ก็ยังมีคดีอุ้มตัวต่างๆ ซึ่งจำนวนอาจจะแตกต่างกัน บางคนอาจจะบอกว่า 50 บางคนอาจบอกว่า 150 แต่อย่างน้อยสิ่งที่ต้องการพิสูจน์ก็คือว่า ไม่ใช่เป็นการกล่าวหาว่าอุ้มไปฆ่า หรือ การอุ้มไปทรมาน
"สิ่งที่ต้องการ คือกระบวนการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ว่า การหายตัวไปของบุคคลเหล่านั้นไม่ใช่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือในทางที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งที่สำคัญ คือ จะต้องเอาความจริงออกมาพูด" ประธาน กอส.กล่าว
นายอานันท์ กล่าวด้วยว่า วันนี้คณะโอไอซีจะมาพบ และคงจะมีการคุยในเรื่องการเสนอมาตรการลดความรุนแรงในระยะ 3-4 วันที่ผ่านมา ส่วนการปล่อยตัวผู้ต้องหาในกรณีตากใบนั้น นายอานันท์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เร่งไปยังรัฐบาลให้ช่วยคลี่คลายแล้ว แต่ยอมรับว่าล่าช้าไปหน่อย หลายสิ่งหลายอย่างไม่ทันต่อเหตุการณ์ แต่ทั้งนี้คนไหนที่ถูกพาดพิงหรือมีคดีติดตัวก็ต้องถูกดำเนินการไปตามกฎหมาย
"หน้าที่ของรัฐบาล คือการรักษาสันติภาพ และรัฐบาลก็มีทหาร กองทัพ หน่วยข่าวกรองและกระบวนการยุติธรรมอยู่ในมือแล้ว ขณที่กอส.มีหน้าที่ในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ หากรัฐไม่สามารถรักษาความสงบได้ กอส.คงจะต้องทำงานหนัก ตรงนี้ก็จะทำให้เกิดข้อกังขาว่า เป็นเพราะรัฐบาลไม่มีเอกภาพด้านนโยบายและ การดำเนินนโยบายหรือไม่”นายอานันท์ กล่าว