xs
xsm
sm
md
lg

ทุจริต : มูลเหตุแห่งวิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาล

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ศรัทธา หรือความเชื่อมั่นตามนัยแห่งความหมายที่เข้าใจกันในคนทั่วไป เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการค้ำจุนความมั่นคงของบุคคลหรือสถาบันให้ดำรงอยู่ได้ โดยอาศัยเสียงสนับสนุนจากผู้เป็นเจ้าของแห่งศรัทธา

แต่โดยนัยแห่งคำสอนของพระพุทธองค์หมายถึง ความเชื่อที่เกิดขึ้นจากการใช้ปัญญาวิเคราะห์สิ่งที่เข้ามากระทบอายตนะภายใน เช่น เสียงที่หูได้ยิน และรสที่ลิ้นได้สัมผัส เป็นต้น แล้วเกิดความศรัทธาในสิ่งนั้น เนื่องจากมีเหตุผลรองรับควรค่าแก่ความเชื่อมั่น ในทางกลับกัน ความเชื่อถือที่ขาดปัญญากำกับ เช่น เชื่อในคำพูดของใครคนใดคนหนึ่งเพราะว่าคนคนนั้นเป็นครู เป็นศาสดาของตน เป็นต้น ไม่เรียกว่าศรัทธาตามความหมายของพระพุทธเจ้า แต่ความเชื่อในทำนองนี้เรียกว่า ความงมงาย อันได้แก่ ความหลงนั่นเอง

อนึ่ง ในคำสอนของพระพุทธศาสนายังมีคำว่า ปสาทะ หรือความเลื่อมใส ได้ใช้ควบคู่ไปกับคำว่า ศรัทธา ในลักษณะเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน กล่าวคือ เมื่อมีศรัทธาก็จะตามมาด้วยความมีปสาทะเสมอ

ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ท่านได้ฟังการบรรยายธรรมะในหัวข้อศรัทธา ก็จะได้ยินคำว่าปสาทะเกือบทุกครั้ง จนเกือบจะพูดได้ว่าปสาทะเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการมีศรัทธา ทั้งต่อบุคคลและสถาบันอันเป็นนิติบุคคล

อะไรทำให้บุคคลหรือสถาบันเป็นบ่อเกิดแห่งศรัทธา และปสาทะ ในทางกลับกันอะไรทำให้บุคคลหรือสถาบันเกิดวิกฤตศรัทธา?

เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มองเห็นมูลเหตุที่ทำให้บุคคล หรือสถาบันนั้นๆ เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาตามแนวทางแห่งคำสอนของพุทธศาสนา ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านได้ย้อนไปดูสัมปสาทนิยสูตร คือสูตรว่าด้วยคุณธรรมที่น่าเลื่อมใสของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเมื่อครั้งที่พระองค์ประทับอยู่ที่ปาวาริกัมพวัน โดยสรุปว่ามีธรรมะอยู่ 15 ประการที่ทำให้พระพุทธเจ้าเป็นผู้น่าเลื่อมใส และใน 15 ข้อนั้น มีอยู่ข้อหนึ่งที่สามารถนำมาอธิบายถึงมูลเหตุความเสื่อมศรัทธาที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ธรรมข้อนั้นก็คือ ธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพูด 4 ประการ คือ

1. ไม่พูดเท็จ อันหมายถึงการพูดด้วยเจตนาให้คนคล้อยตาม และเชื่อในสิ่งที่พูดนั้น และก่อให้เกิดความเสียหายจากการเชื่อเช่นนั้น ทั้งในส่วนของผู้พูด และผู้ฟัง

2. ไม่พูดส่อเสียด อันเป็นการยุยงให้แตกร้าวกัน

3. ไม่พูดแข่งดีเพื่อหวังได้ชัยชนะ เช่น เมื่อถูกว่าท่านเป็นคนทุศีล ก็ตอบว่าท่านน่ะสิเป็นคนทุศีล อาจารย์ของท่านก็ทุศีล

4. พูดด้วยใช้ปัญญา มีข้ออ้างอิงถูกต้องตามกาล จากธรรมะดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าใครก็ตามที่สามารถปฏิบัติในข้อธรรมนี้ จะเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาและปสาทะ

ในทางกลับกัน ไม่ว่าใครก็ตามปฏิบัติตนในทางตรงกันข้ามกับธรรม 4 ประการนี้แม้เพียงข้อใดข้อหนึ่ง ก็จะกลายเป็นเหตุแห่งความเสื่อมศรัทธา และไม่เป็นบ่อเกิดแห่งปสาทะ

เมื่อบุคคลหรือสถาบันประสบกับปัญหาวิกฤตศรัทธา สิ่งที่จะตามมาก็คือ ความไม่มั่นคง และสุดท้ายก็จะจบลงด้วยการล่มสลายจากภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนจะช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้

1. ความเข้มหรือความรุนแรงของเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตศรัทธา กล่าวคือ ถ้าเหตุแห่งความเสื่อมศรัทธานั้นเป็นเรื่องที่คนหมู่มากเข้าใจได้ง่าย และผลที่เกิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม เช่น การทุจริตของบุคคลสาธารณะ อันได้แก่ นักการเมือง เป็นต้น และผลแห่งทุจริตนั้นก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง ดังเช่นกรณีทุจริตกล้ายางพาราในกระทรวงเกษตรฯ ที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ความเสื่อมศรัทธาก็เกิดขึ้นเร็ว เนื่องจากเกษตรกรทุกคนที่เข้าร่วมโครงการได้รับผลกระทบโดยรวม

ในขณะเดียวกัน ถ้าเหตุแห่งความเสื่อมศรัทธาเป็นเรื่องเฉพาะตัว เช่น เกิดจากพฤติกรรมก้าวร้าวอันเนื่องมาจากมีความถือตัวถือตนสูง หรือที่เรียกว่า อัสมิมานะเกินไป ดังจะเห็นได้จากกรณีขัดแย้งระหว่างผู้นำรัฐบาลกับผู้นำเอแบคโพลล์ที่ออกมาตอบโต้กันในทำนองอวดเก่งใส่กัน จนทำให้ชาวบ้านสับสนในภาวะผู้นำรัฐบาลที่ขาดวุฒิภาวะที่ผู้นำควรจะมีในภาวะวิกฤต ด้วยการสงบนิ่งและตอบรับคำวิพากษ์ด้วยเหตุด้วยผลมากกว่าที่จะลุกขึ้นตอบโต้เพื่อหวังเอาชนะ

2. ระยะเวลาแห่งการคงอยู่ของเหตุแห่งความเสื่อมศรัทธา ถ้าเหตุแห่งความเสื่อมศรัทธาคงอยู่ในความทรงจำของประชาชนมานาน และพัฒนาไปในทิศทางที่ก่อให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่จะทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาเกิดได้ไม่ยาก ดังเช่นที่เกิดขึ้นในกรณีของเครื่องตรวจสอบอาวุธในโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น

ในทางกลับกัน ถ้าเหตุแห่งความเสื่อมศรัทธาเกิดขึ้นและคงอยู่ไม่นาน ทั้งไม่มีทีท่าว่าจะพัฒนาไปในทิศทางที่จะแรงเพิ่มขึ้น โอกาสเกิดวิกฤตศรัทธาก็จะน้อยลง จะเห็นได้จากกรณีที่ ครม.ไปประชุมที่ปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นต้น

เมื่อนำมูลเหตุแห่งความเสื่อมที่เกิดขึ้นในส่วนของเครื่องตรวจสอบอาวุธ และการประชุม ครม.ที่ประสาทหินพนมรุ้งแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่ากรณีแรกถือได้ว่าคงอยู่นาน และก่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อภาวะผู้นำรัฐบาลในฐานะปัจเจกบุคคล และรัฐบาลในฐานะเป็นนิติบุคคลหรือในฐานะสถาบันรุนแรงกว่ากรณีที่สอง คือการประชุม ครม.ที่เขาพนมรุ้งอย่างเห็นได้ชัด
ทำไมทุจริตจึงเป็นมูลเหตุแห่งความเสื่อมศรัทธา และถ้าจะแก้ไขสิ่งนี้จะทำได้อย่างไร?

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผู้เขียนขอให้ท่านผู้อ่านลองย้อนไปดูข้อธรรมะ 4 ประการ และนำมาวิเคราะห์เหตุแห่งความเสื่อมของรัฐบาล ทั้งในฐานะองค์กรโดยรวมหรือนิติบุคคล และในฐานะปัจเจกบุคคลซึ่งประกอบเป็นรัฐบาล ก็จะเห็นได้ว่า เหตุแห่งความเสื่อมศรัทธาเกิดขึ้น และคงอยู่มานานเพราะมีปัจจัยเสริมให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังต่อไปนี้

1. คณะรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย และเป็นรัฐบาลพรรคเดียวโดยมีรัฐมนตรีหน้าเก่าจากรัฐบาลชุดก่อนเป็นส่วนใหญ่ และที่สำคัญที่สุด รัฐบาลส่วนหนึ่งยังคงดำรงตำแหน่งในกระทรวงเดิม เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น และรัฐมนตรีที่ว่านี้ในเทอมแรกบางท่านก็มีพฤติกรรมเป็นที่กังขาของประชาชนในเรื่องความไม่โปร่งใสบ้างแล้ว

ดังนั้น เมื่อเข้ารับตำแหน่งในเทอมสอง ถึงแม้จะปฏิบัติงานได้เพียงสามเดือนกว่า ก็มีข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลออกมา เช่น ในกระทรวงคมนาคมก็เรื่องจัดซื้อเครื่องตรวจสอบอาวุธที่สนามบินสุวรรณภูมิ และที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็เกิดเรื่องกล้ายางพารา เป็นต้น

จึงเป็นการง่ายที่ข่าวเรื่องทุจริตจากกระทรวงที่ว่านี้จะเป็นเหตุให้คนฟังแล้วเกิดความเสื่อมศรัทธาต่อรัฐบาล และเป็นการเสื่อมศรัทธาที่เกิดได้อย่างรวดเร็ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะพฤติกรรมที่ส่อเค้าทุจริตที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนกรรมเก่าที่ถูกนำมาต่อยอดด้วยกรรมใหม่เพียงเล็กน้อยก็ผลิดอกออกผลในทันที

2. เมื่อข่าวทุจริตแพร่กระจายออกไปสู่ประชาชน แทนที่รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่แหล่งข่าวเกิดขึ้น จะได้เข้ามาดูแลแก้ไขโดยตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงด้วยการตั้งบุคคลที่สังคมเชื่อถือ และให้การยอมรับเป็นกรรมการ แล้วนำผลสอบที่ได้มาเปิดเผยต่อประชาชนอย่างตรงไปตรงมา

แต่กลับออกมาพูดในทำนองปกป้องคนผิด และพยายามดำเนินการในทำนองกลบเกลื่อนความผิด ความบกพร่องที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเห็นได้ชัดในกรณีต้องการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบอาวุธซีทีเอ็กซ์ 9000 ในทันทีที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีการทุจริต ผู้นำรัฐบาลได้ออกมาพูดว่า ได้ส่งคนไปสืบในทางลับแล้วตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2547 และไม่ปรากฏว่ามีการทุจริตแต่อย่างใด

แต่การออกมาพูดของผู้นำรัฐบาลในครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อการทำให้กระแสแห่งความเชื่อว่ามีการทุจริตเบาบางลงแต่ประการใด

ในทางตรงกันข้าม กระแสที่ว่านี้กลับรุนแรงขึ้น และมีการขยายวงออกไปจากคนที่ไม่ชอบรัฐบาลนี้อยู่เป็นทุนเดิม และด่าทุกเรื่องที่เห็นว่าเป็นความผิด ความบกพร่องจนได้ชื่อว่าประเภทขาประจำ ไปยังคนที่เป็นกลาง คือไม่ถึงกับชอบรัฐบาลชุดนี้ แต่ไม่ถึงกับด่าทุกเรื่องเหมือนประเภทขาประจำ และสุดท้ายในขณะนี้กระแสแห่งความเชื่อที่ว่ามีการทุจริตจริงได้แทรกซึมเข้าไปสู่วงการของคนที่นิยมยกย่องรัฐบาลชุดนี้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นมิตรก็ได้แล้วเรียบร้อย

แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ยังพยายามที่จะแก้ไขกระแสแห่งวิกฤตศรัทธาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และล่าสุดได้ทำหนังสือขอข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาเพื่อนำมาเป็นหลักฐานชี้แจงฝ่ายค้าน และประชาชน ส่วนว่าผลจะลงเอยอย่างไรนั้น คงต้องรอต่อไปอีกระยะหนึ่ง

3. ปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้กระทำเหตุแห่งความเสื่อมศรัทธาในหลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำรัฐบาลที่น่าจะถือได้ว่าเป็นปัจเจกบุคคลที่สำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดวิกฤตศรัทธาด้วยเหตุต่างๆ ซึ่งพออนุมานได้ดังต่อไปนี้

3.1 ในการกำหนดนโยบายเพื่อประกาศต่อประชาชนในการปราศรัยหาเสียงในครั้งแรก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศอย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรมน่าเชื่อถืออย่างยิ่งเกี่ยวกับการปราบปรามการทุจริตในหมู่นักการเมือง ด้วยวลีที่ว่า ไม่ต้องมีใบเสร็จก็จะลงโทษผู้กระทำผิด และมาถึงวันนี้เมื่อเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการกระทำผิดในข้อหาทุจริตในกระทรวงคมนาคม ในกรณีจัดซื้อเครื่องตรวจสอบอาวุธซีทีเอ็กซ์ 9000 มีมูลเหตุแห่งกระแสที่ว่านี้เกิดจากผู้ผลิตเครื่องที่ว่านี้ได้ยอมรับผิด และเสียค่าปรับต่อ ก.ล.ต.ของอเมริกาที่เข้ามาสอบสวนเรื่องนี้เพื่อการรวมธุรกิจกับบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ดังที่ปรากฏรายละเอียดตามที่สื่อต่างๆ ได้เสนอไปแล้วจึงไม่ต้องการนำมาตอกย้ำอีก

เพียงแต่ที่นำเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า หลักฐานการยอมเสียค่าปรับของผู้ขายเครื่องตรวจสอบอาวุธ น่าจะถือได้ว่าเป็นหลักฐานแห่งการทุจริตของผู้รับสินบนในเมืองไทยได้ไม่น้อยไปกว่าใบเสร็จ

แต่ทำไมรัฐบาลเจ้าของวลีไม่ต้องมีใบเสร็จ จึงไม่ได้ดำเนินการสอบสวนความผิด โดยยึดหลักฐานที่เจ้าหน้าที่อเมริกาสอบสวนไว้ จะมาเริ่มตั้งกรรมการสอบสวนโดยเริ่มนับหนึ่งใหม่ทำไม ถ้ามีความจริงใจและจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำได้ไม่ยาก แต่ที่ยากและเป็นอยู่ในขณะนี้อนุมานได้ว่า คือการหาวิธีทำให้กระแสเสื่อมศรัทธาลดลง และเพื่อมิให้ความผิดแผ่ขยายออกไปถึงใครต่อใครที่รัฐบาลไม่ต้องการหรือไม่เท่านั้น

3.2 เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว และมีเสียงสนับสนุนถึง 377 เสียง จึงมีเสียงเหลือให้ฝ่ายค้านไม่ถึง 123 เสียง ซึ่งเป็นจำนวนที่รัฐธรรมนูญระบุให้เป็นตัวกำหนดโดยการยื่นอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลในข้อหาทุจริตไม่ได้

เนื่องจากข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถือได้ว่าเป็นโอกาสให้ฝ่ายรัฐบาลหลบหลีกการซักฟอกของฝ่ายค้านได้โดยถูกกฎหมาย และในเรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกันกับข้อ 3.1 คือถ้าผู้นำรัฐบาลเคยบอกว่า ถ้าฝ่ายค้านเสียงไม่พอจะอนุญาตให้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลลงชื่อร่วมได้ แต่ถ้ามองในแง่ของพฤติกรรมประกอบกับสัจธรรมในส่วนที่เป็นโลกียะแล้ว จะมีผู้นำรัฐบาลคนใดให้ยืมมีดหรืออุปกรณ์แห่งการฆ่าไปสังหารลูกของตนเอง ต่อให้มีความผิดปรากฏต่อหน้าต่อตาก็คงไม่ทำ และการที่พ่อแม่คนใดคนหนึ่งไม่ทำเช่นนี้ ก็ไม่ถือว่าผิดปกติแต่ประการใด นั่นคือคนมีกิเลสที่จะต้องยึดติดตัวตน และสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับตัวตนไว้เพื่อประโยชน์แห่งตน

ดังนั้น ผู้เขียนจึงเชื่อว่าเหตุแห่งวิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้นแก่รัฐบาลอยู่ในขณะนี้ คงจะไม่ลดลงจนกว่าผู้นำรัฐบาลจะได้กระทำในสิ่งที่ตนเองเคยพูด หรือไม่รัฐบาลก็จบลงด้วยกระแสแห่งการคัดค้่านของปวงชน เพื่อผลประโยชน์ของปวงชนเอง ส่วนว่าจะเป็นเมื่อไหร่และด้วยวิธีไหนนั้น คงต้องรอดูกันต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น