เอเอฟพี – บรรดาเทรดเดอร์และดีลเลอร์ในตลาดการเงินในลอนดอนต่างพากันคาดเก็งกันถึงประเด็นคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นใหม่คือ เงินยูโรของอียู จะล่มสลายไปหรือไม่ หลังฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ลงประชามติปฏิเสธไม่รับธรรมนูญยุโรป
ที่ผ่านมา นักลงทุนในตลาดลอนดอนมักเคลือบแคลงสงสัยมาตลอดเกี่ยวกับโครงการการใช้สกุลเงินร่วมกันระหว่างชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) 12 ประเทศ ทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงขณะนี้กลับมีน้อยคนนักที่จะนึกฝันว่า การใช้เงินยูโรจะล่มสลายลง และบรรดาสมาชิกจะหวนกลับไปใช้สกุลเงินมาร์ก ฟรังก์ เปเซต้า ดราชมา และค่าเงินเดิมของแต่ละประเทศอีก
นักเศรษฐศาสตร์จากวาณิชธนกิจแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์ออกนามเมื่อมีการถกเถียงในเรื่องนี้กล่าวว่า “คำถามนี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องทางการเมืองมาก”
ทั้งนี้การออกเสียงปฏิเสธธรรมนูญยุโรปมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งคำพูดเสียงวิจารณ์ต่างๆ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สหภาพทางการเงินนี้อาจล้มพับ หรือหยุดชะงักไปชั่วคราว ได้กระตุ้นให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล้าครุ่นคิดถึงเรื่องนี้กันอีก เทรดเดอร์ในลอนดอนจำนวนมากถึงขั้นสงสัยว่า เงินยูโรจะยังมีอนาคตอยู่หรือไม่ และตอนนี้พวกเขาก็พร้อมที่จะเงี่ยหูรับฟังข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับอนาคตของเงินยูโรที่กำลังจะเกิดขึ้น
จูเลียน ซีทาแรมดู นักเศรษฐศาสตร์จากแคปิตัล อิโคโนมิกส์ชี้ว่า การกะเก็งเกี่ยวกับการพังทลายของสหภาพทางการเงินรุนแรงขึ้นทุกขณะ เมื่อมีการนำเรื่องคำปฏิเสธธรรมนูญยุโรปของฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์เข้ามาพิจารณา
เขาเสริมต่อว่า และถึงแม้จะไม่มีความเป็นไปได้เกี่ยวกับการยุติการใช้ค่าเงินร่วม แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรดาดีลเลอร์ในตลาดลอนดอนและนักเศรษฐศาสตร์หยุดพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
“ความคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีจุดดึงดูดที่เห็นได้ชัด จึงนับเป็นเรื่องอันตรายเนื่องจากประเด็นดังกล่าวอาจถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันถึงความเป็นไปได้อย่างจริงจังในบางประเทศได้” เขากล่าว
ด้านสจ็วต ทอมสัน นักเศรษฐศาตร์แห่งชาร์ลส สแตนเลย์มองว่า เรื่องดังกล่าวมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ แม้ไม่มากนักก็ตาม พร้อมเสริมว่า ไม่เพียงแต่บางประเทศอาจต้องการถอนตัวจากการใช้สกุลเงินยูโรภายในปี 2008 เท่านั้น แต่หากปราศจากการรวมกลุ่มทางการเมืองด้วยแล้ว การยุติการใช้เงินยูโรก็อาจเป็นเรื่อง “หลีกเลี่ยงไม่ได้” ในปี 2020
ทอมสันระบุว่า ปัจจัยสำคัญอยู่ที่เอเชียซึ่งต้องถือว่ามีการรวมกลุ่มด้านการเงินอยู่ในบางระดับ เนื่องจากบรรดาธนาคารกลางมักเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อคงอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว โดยหากเกิดปัญหาต่อเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ในเอเชีย อาจทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรปอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถควบคุมได้
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีการปรับค่าเงินหยวนให้ไม่ขึ้นกับเงินดอลลาร์ และหากการรวมตัวทางการเงินในเอเชียล่มสลายลง ก็จะทำให้ดอลลาร์อ่อนแอลง
เขาแจงต่อว่า ด้านเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นราว 20-30% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ และจะทำให้ประเทศในแถบยูโรโซน (ประเทศที่ใช้เงินยูโร) โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิตาลี กรีซ และโปรตุเกส ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาได้เคยใช้มาตรการลดค่าเงินมานาน แต่เมื่ออยู่ในยูโรโซน พวกเขาก็ไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อีก ดังนั้นจึงอาจทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องการเลิกใช้เงินยูโร
อย่างไรก็ตาม คริส เฟอร์เนสส์ นักเศรษฐศาสตร์จาก 4CAST ชี้ว่า “ไม่น่าประหลาดใจที่มีการถกเถียงกันเรื่องนี้ เพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ” พร้อมแนะว่า “แน่นอนที่คนส่วนใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศย่อมต้องอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ดังนั้นอย่าไปเชื่อถ้อยคำเหล่านี้ให้มากนัก”
ที่ผ่านมา นักลงทุนในตลาดลอนดอนมักเคลือบแคลงสงสัยมาตลอดเกี่ยวกับโครงการการใช้สกุลเงินร่วมกันระหว่างชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) 12 ประเทศ ทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงขณะนี้กลับมีน้อยคนนักที่จะนึกฝันว่า การใช้เงินยูโรจะล่มสลายลง และบรรดาสมาชิกจะหวนกลับไปใช้สกุลเงินมาร์ก ฟรังก์ เปเซต้า ดราชมา และค่าเงินเดิมของแต่ละประเทศอีก
นักเศรษฐศาสตร์จากวาณิชธนกิจแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์ออกนามเมื่อมีการถกเถียงในเรื่องนี้กล่าวว่า “คำถามนี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องทางการเมืองมาก”
ทั้งนี้การออกเสียงปฏิเสธธรรมนูญยุโรปมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งคำพูดเสียงวิจารณ์ต่างๆ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สหภาพทางการเงินนี้อาจล้มพับ หรือหยุดชะงักไปชั่วคราว ได้กระตุ้นให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล้าครุ่นคิดถึงเรื่องนี้กันอีก เทรดเดอร์ในลอนดอนจำนวนมากถึงขั้นสงสัยว่า เงินยูโรจะยังมีอนาคตอยู่หรือไม่ และตอนนี้พวกเขาก็พร้อมที่จะเงี่ยหูรับฟังข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับอนาคตของเงินยูโรที่กำลังจะเกิดขึ้น
จูเลียน ซีทาแรมดู นักเศรษฐศาสตร์จากแคปิตัล อิโคโนมิกส์ชี้ว่า การกะเก็งเกี่ยวกับการพังทลายของสหภาพทางการเงินรุนแรงขึ้นทุกขณะ เมื่อมีการนำเรื่องคำปฏิเสธธรรมนูญยุโรปของฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์เข้ามาพิจารณา
เขาเสริมต่อว่า และถึงแม้จะไม่มีความเป็นไปได้เกี่ยวกับการยุติการใช้ค่าเงินร่วม แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรดาดีลเลอร์ในตลาดลอนดอนและนักเศรษฐศาสตร์หยุดพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
“ความคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีจุดดึงดูดที่เห็นได้ชัด จึงนับเป็นเรื่องอันตรายเนื่องจากประเด็นดังกล่าวอาจถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันถึงความเป็นไปได้อย่างจริงจังในบางประเทศได้” เขากล่าว
ด้านสจ็วต ทอมสัน นักเศรษฐศาตร์แห่งชาร์ลส สแตนเลย์มองว่า เรื่องดังกล่าวมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ แม้ไม่มากนักก็ตาม พร้อมเสริมว่า ไม่เพียงแต่บางประเทศอาจต้องการถอนตัวจากการใช้สกุลเงินยูโรภายในปี 2008 เท่านั้น แต่หากปราศจากการรวมกลุ่มทางการเมืองด้วยแล้ว การยุติการใช้เงินยูโรก็อาจเป็นเรื่อง “หลีกเลี่ยงไม่ได้” ในปี 2020
ทอมสันระบุว่า ปัจจัยสำคัญอยู่ที่เอเชียซึ่งต้องถือว่ามีการรวมกลุ่มด้านการเงินอยู่ในบางระดับ เนื่องจากบรรดาธนาคารกลางมักเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อคงอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว โดยหากเกิดปัญหาต่อเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ในเอเชีย อาจทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรปอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถควบคุมได้
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีการปรับค่าเงินหยวนให้ไม่ขึ้นกับเงินดอลลาร์ และหากการรวมตัวทางการเงินในเอเชียล่มสลายลง ก็จะทำให้ดอลลาร์อ่อนแอลง
เขาแจงต่อว่า ด้านเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นราว 20-30% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ และจะทำให้ประเทศในแถบยูโรโซน (ประเทศที่ใช้เงินยูโร) โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิตาลี กรีซ และโปรตุเกส ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาได้เคยใช้มาตรการลดค่าเงินมานาน แต่เมื่ออยู่ในยูโรโซน พวกเขาก็ไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อีก ดังนั้นจึงอาจทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องการเลิกใช้เงินยูโร
อย่างไรก็ตาม คริส เฟอร์เนสส์ นักเศรษฐศาสตร์จาก 4CAST ชี้ว่า “ไม่น่าประหลาดใจที่มีการถกเถียงกันเรื่องนี้ เพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ” พร้อมแนะว่า “แน่นอนที่คนส่วนใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศย่อมต้องอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ดังนั้นอย่าไปเชื่อถ้อยคำเหล่านี้ให้มากนัก”